Saturday, 4 May 2024
Covid19

กองทัพเรือจัดกิจกรรมรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น ให้แก่กำลังพลเพื่อลดการเจ็บป่วยที่รุนแรงจากสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง

วันที่ 1 ก.พ. 66 พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ และประธานคณะกรรมการบริหารวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาร่วมกิจกรรมรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน ถ.อิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

‘มะกัน’ กลับลำ!! ตราหน้า ‘จีน’ ต้นเหตุโควิดระบาด แม้ภายในสหรัฐฯ ยังไร้ข้อยุติ หลุดจากแล็บอู่ฮั่นจริงหรือไม่

(27 ก.พ. 66) จีนปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่า โรคระบาดใหญ่โควิด-19 มีสาเหตุจากการรั่วไหล หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการหนึ่งของปักกิ่ง ภายหลังสื่อมวลชนตะวันตก รายงานกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สรุปแล้วว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุด ว่ากรณีนี้จะเป็นต้นตอของโรคระบาด ทั้งที่ทางทำเนียบขาวและประชาคมข่าวกรองของอเมริกายังไม่ฟันธงในเรื่องนี้

ข้อสรุปดังกล่าว ซึ่งบันทึกอยู่ในรายงานลับสุดยอดของสำนักงานของนางแอฟริล เฮนส์ (Avril Haines) ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ตามรายงานของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ถือเป็นการกลับลำของกระทรวงพลังงานอเมริกา ที่ก่อนหน้านี้ เคยระบุว่ายังไม่ได้ข้อสรุปว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลและนิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างผู้คนที่ได้อ่านรายงานลับสุดยอดดังกล่าว ระบุกระทรวงพลังงานลงความเห็นในเรื่องนี้ภายใต้ ‘ความเชื่อมั่นระดับต่ำ’ เป็นการตอกย้ำว่าหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 และโรคระบาดใหญ่ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในช่วงต้นปี 2020

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งว่ากันว่ามีพื้นฐานจาก ‘ข้อมูลข่าวกรองใหม่’ ก็ยังนับว่ามีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทรวงพลังงานนั้น กำกับดูแลเครือข่ายห้องปฏิบัติการแห่งชาติ รวมถึงห้องแล็บบางแห่ง ซึ่งทำการศึกษาวิจัยด้านชีวภาพในระดับก้าวหน้า

ข้อสรุปนี้ ทำให้กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ที่เชื่อว่า โควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตประชากรโลกไปเกือบ 7 ล้านคน มีต้นตอจากความผิดพลาดในห้องแล็บของจีน ซึ่งทำให้เชื้อไวรัสรั่วไหลออกมาสู่ภายนอก

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด จอห์น เคอร์บี (John Kirby) โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อวันจันทร์ (27ก.พ. 66) ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงไม่บรรลุความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าโรคระบาดใหญ่ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร แม้มีรายงานข่าวอ้างกระทรวงพลังงาน สรุปว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุด ว่าไวรัสจะหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการหนึ่งในจีน

“ประชาคมข่าวกรองและหน่วยงานที่เหลือของรัฐบาล ยังคงตรวจสอบเรื่องนี้” นายจอห์น เคอร์บีกล่าว

“ยังไม่มีข้อสรุปอย่างชัดเจน ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะพูด หรือผมควรรู้สึกเช่นไร ที่ผมต้องออกมาปกป้องรายงานข่าวของสื่อมวลชน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของข้อบ่งชี้ในเบื้องต้น สิ่งที่ประธานาธิบดีต้องการคือ ข้อเท็จจริง”

โพลิติโก (Politico) เว็บไซต์ข่าวการเมืองสหรัฐฯ รายงานด้วยว่า มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางอื่น ๆ หลายแห่ง ที่เห็นแย้งกับข้อสรุปของทางกระทรวงพลังงาน โดย 4 หน่วยงานลงความเห็นภายใต้ ‘ความเชื่อมั่นระดับต่ำ’ ว่า ไวรัสติดต่อโดยธรรมชาติผ่านสัตว์ ส่วนอีก 2 หน่วยงาน ในนั้นรวมถึง ซีไอเอ (CIA) ยังไม่ลงความเห็นในข้อสรุประหว่าง 2 ทฤษฎีแหล่งที่มาของโควิด-19

นายเจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เน้นย้ำว่า ยังคงมีมุมมองในหลากหลายในประเด็นนี้

“ในตอนนี้ ยังคงไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนที่ปรากฏออกมาจากประชาคมนานาชาติ ในเรื่องเกี่ยวกับคำถามดังกล่าว” นายเจค ซัลลิแวน กล่าวกับซีเอ็นเอ็น

ในส่วนของจีน ได้ออกมาปฏิเสธอีกรอบ โดย นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องให้ “หยุดโหมกระพือคำกล่าวอ้างว่า โควิดมีต้นตอจากการรั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการ หยุดป้ายสีจีน และหยุดเล่นการเมืองในประเด็นแกะรอยหาแหล่งที่มาโควิด”

นางเหมา หนิง กล่าวระหว่างแถลงข่าวอีกว่า “ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ที่ร่างโดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญร่วมจากจีนและองค์การอนามัยโลก ไม่พบความเป็นไปได้ของการรั่วไหลหลุดจากห้องปฏิบัติการ”

‘หนุ่มไทย’ แชร์ประสบการณ์ติดโควิดสายพันธุ์ใหม่ในออสเตรเลีย เผย อาการหนัก ตาอักเสบรุนแรงจนแทบมองไม่เห็น!!

เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 66 มีรายงานว่า หนุ่มไทยรายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ได้ออกมาโพสต์ข้อความบอกเล่าอาการของตนเองหลังติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ‘Arcturus’ โดยมีลักษณะอาการที่หนัก ๆ คือ ตาอักเสบรุนแรง แทบมองไม่เห็น ทั้งนี้ผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า…

“บันทึกโควิดสายพันธุ์ใหม่ Arcturus

ไม่ได้มีการตรวจเชื้ออย่างเป็นทางการ (ตรวจเอทีเค) แต่คาดว่าโดนตัวนี้เพราะกำลังระบาดในออสเตรเลีย และสายพันธุ์นี้จะทำลาย soft tissue บริเวณใกล้เคียงที่ติดเชื้อ เช่น ตา และโพรงจมูก

วัคซีนไฟเซอร์ 3 เข็มแทบไม่ช่วยอะไร หรือช่วยไม่ได้เลย อาการหนักเหมือนคนที่ติดแรก ๆ สมัยยังไม่มีวัคซีน

วันแรกรู้สึกแปลก ๆ ในลำคอ แต่ตรวจ ATK ผลยังเป็นลบ

วันที่ 2 รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เลยตรวจอีกที ผลบวกแล้ว เลยรีบกักตัวเองทันที และจากนั้นไข้ขึ้นสูงตลอดระยะเวลา 3 วัน โดยยาพาราฯ สามารถลดไข้ได้เพียงไม่เกิน 2 ชม.ไข้จะกลับมาสูงปรี๊ดใหม่ ต้องนอนทนอยู่แบบนั้น โดยไม่สามารถขยับหรือช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะไม่สามารถให้ใครเข้ามาช่วยเช็ดตัวลดไข้ได้ ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่เหมือนจะขาดใจตายได้ตลอดเวลา

โดยตั้งแต่วันที่ 2 เป็นต้นมาอาการไอแบบมีเสมหะสีเขียวข้น ขากออกมาเป็นก้อน ๆ มีน้ำมูกสีเขียวข้นสั่งออกมาได้จำนวนมากทุกเช้า ถ้าเทียบปริมาณก็เหมือนได้เต็มถ้วยน้ำจิ้มขนาดพอเหมาะหรือประมาณ 1 กอบมือ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นชา ชาแบบรู้สึกว่ามันชา

วันที่ 4 เริ่มมีอาการเคืองตา จากนั้นตาทั้ง 2 ข้างก็อักเสบรุนแรงแทบมองอะไรไม่เห็น เหมือนมองผ่านผ้าม่านบาง ๆ สีขาว

วันที่ 6 เริ่มมีเลือดสดออกมากับน้ำมูกเขียว บางทีไอแรงมีเลือดพุ่งออกมาจากจมูกจำนวนมาก คาดว่าเป็นเลือดกำเดา แต่เข้าใจว่าน่าจะมีอาการไซนัสอักเสบ เพราะเลือดนึกจะไหลออกมาก็ไหลซะงั้น แต่แค่ซึม ๆ ออกมา ไม่น่าใช่เลือดกำเดา

หลังจากผ่านอาทิตย์แรกไป ยังคงมีไข้ต่ำ ๆ เวลากลางคืน เลือดยังออกจากจมูกเป็นบางครั้ง ยังไอมีเสมหะพร้อมน้ำมูกเขียวปนเลือดจำนวนมาก ตายังคงแดงแต่อาการดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะหยอดตาตลอด เริ่มรู้สึกแข็งแรงขึ้นหลังผ่านไป 13 วัน”

‘บิ๊กตู่’ หวั่นยอด ‘โควิด-19’ พุ่ง!! ห่วงกลุ่มเสี่ยง 608 ขอเร่งให้รับวัคซีน กำชับ สธ. ติดตามการระบาดสายพันธุ์ XBB.1.16 ใกล้ชิด คาดยอดเพิ่มช่วงหน้าฝน

(26 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยขณะนี้ และรับทราบสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ภายในประเทศรายสัปดาห์ (วันที่ 16-22 เมษายน 2566) ตามรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ขอให้รีบเข้ารับวัคซีนที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้านโดยเร็ว พร้อมสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 และการระบาดของเชื้อสายพันธุ์โควิด XBB.1.16 อย่างใกล้ชิด 

นายอนุชา กล่าวว่า จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ผู้ป่วยโควิด 19 ภายในประเทศสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 16 - 22 เมษายน 2566) พบผู้ป่วยรายใหม่ 1,088 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 73 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 35 ราย และผู้เสียชีวิต 5 ราย เฉลี่ยน้อยกว่า 1 คนต่อวัน ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล สะสม 6,571 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) ผู้เสียชีวิต สะสม 278 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) ผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนกว่า 2 เท่า พบกระจายในหลายจังหวัดโดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในสมาชิกครอบครัว และการร่วมกิจกรรมที่รวมกลุ่มคนจำนวนมาก สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ราย พบว่าเป็นกลุ่ม 608 อายุเฉลี่ย 75 ปี โดย 4 รายที่เสียชีวิตเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน และอีก 1 ราย ยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วเกิดอาการรุนแรง ดังนั้น การฉีดวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันจึงยังมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 จะช่วยลดอาการหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ LAAB ได้เช่นกัน โดยติดต่อขอรับบริการได้ที่สถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน 

นายอนุชา กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้เผยข้อมูลของเชื้อโควิด XBB.1.16 ซึ่งเป็นลูกผสมของสายพันธุ์โอมิครอน BA.2.10.1 และ BA.2.75 การระบาดมีแนวโน้มพบเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ดีกว่า XBB.1.5 มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าทำให้โรครุนแรงขึ้น อาการที่พบคือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก อาจพบเยื่อบุตาอักเสบ คันตา ตาเหนียวร่วมด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าอาการดังกล่าวเป็นลักษณะจำเพาะที่เกิดจากสายพันธุ์ XBB.1.16 

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่ากรณีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลและหลายคนวิตกนั้น เป็นธรรมชาติของเชื้อไวรัสที่จะมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา แต่ยังคงเป็นลูกผสมของสายพันธุ์โอมิครอนเดิม และไม่ได้มีความรุนแรงไปกว่าสายพันธุ์เดิม ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดเพิ่มขึ้น เป็นไปตามการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค และไม่ได้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน ทั้งจากการติดเชื้อและการได้รับวัคซีน 

อัยการเท็กซัสฟ้องเอาผิด ‘ไฟเซอร์’ บิดเบือนข้อมูลวัคซีน หลังข้อมูลชี้!! มีประสิทธิภาพป้องกันโควิดแค่ 0.85%

เมื่อไม่นานนี้ อัยการสูงสุดของรัฐเท็กซัส ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ‘ไฟเซอร์’ บริษัทยายักษ์ใหญ่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้ บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 และหาทางปกปิดการพูดคุยของสาธารณชน เกี่ยวกับความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์ของบริษัท

การยื่นฟ้องครั้งนี้ มีขึ้นตามหลังการสืบสวนนาน 6 เดือนของอัยการสูงสุด ‘เคน แฟ็กซ์ตัน’ (Ken Paxton) ในคำกล่าวหาที่มีต่อการวิจัยแบบ ‘Gain of Function’ (GOF) โดยไฟเซอร์ รวมถึงบรรดาผู้พัฒนาวัคซีนอื่นๆ ได้แก่ โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน

“ไฟเซอร์มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำและแนวทางปฏิบัติที่ผิดพลาด การหลอกลวงและชี้นำผิดๆ ด้วยการจัดทำคำกล่าวอ้างที่ไม่มีอะไรสนับสนุนในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยพฤติกรรมทางการค้าที่ทำให้เข้าใจผิดของรัฐเท็กซัส จากการเปิดเผยของแฟ็กซ์ตัน พร้อมอ้างว่า บริษัทแห่งนี้โกยเงินอย่างผิดกฎหมายไปหลายพันล้านดอลลาร์”

แฟ็กซ์ตัน ท้าทายอย่างเจาะจงต่อคำกล่าวอ้างของไฟเซอร์ที่ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถึง 95% โดยชี้ว่า มันเป็น ‘กลลวงทางสถิติ’ ที่ใช้คำว่า ‘ค่อนข้างลดความเสี่ยง’ ซึ่ง ‘สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ’ (เอฟดีเอ) ยอมรับว่ามันอาจชี้นำผู้บริโภคผิดๆ ด้วยการนำเสนอว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข้อมูลการทดลองทางเทคนิค เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว มันลดความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิด-19 เพียงแค่ 0.85% เท่านั้น

ในคำร้องระบุว่า โรคระบาดใหญ่ ‘เลวร้ายลง’ หลังจากประชาชนชาวสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยชี้ว่า “รายงานอย่างไม่เป็นทางการของรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า ในบางพื้นที่มีเปอร์เซ็นต์ของผู้ฉีดวัคซีนเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่าคนที่ไม่ฉีดวัคซีนหลายเท่า”

คำร้องอ้างด้วยว่า “ไฟเซอร์รู้ตัวดีว่าได้กล่าวอ้างเป็นเท็จและไม่มีข้อมูลสนับสนุน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนกับตัวกลายพันธุ์ทั้งหลายในนั้น โดยเฉพาะกับไวรัสตัวกลายพันธุ์ที่เรียกว่า ‘เดลตา’ แถมยังกล่าวหาพวกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘อาชญากร’ และกล่าวหาคนเหล่านั้นว่าเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเสียอีก”

แฟ็กซ์ตัน เสนอลงโทษทางการเงินและคำตักเตือน เพื่อป้องกันไฟเซอร์จากการเดินหน้านำเสนอข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

‘หมอยง’ กางข้อมูล วัคซีนโควิด-19 ทุกยี่ห้อ ประสิทธิภาพพอๆ กัน ‘ลดป่วยหนัก-เสียชีวิต’ แต่ไม่มียี่ห้อไหน ‘ป้องกันการติดเชื้อ’

(7 ธ.ค. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ โพสต์รูปพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊ก เรื่อง ‘โควิด-19 บทสรุปขององค์การอนามัยโลก เกี่ยวกับโควิด 19 วัคซีน’ ระบุว่า…

“เป็นไปตามคาดและอย่างที่เคยเสนอเรื่องโควิด-19 วัคซีนมาโดยตลอด วัคซีนโควิด-19 ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ลดความรุนแรงของโรคได้ รวมทั้ง ลดการเสียชีวิตลงได้ และไม่มีความแตกต่างของชนิดวัคซีน ดังที่คนจำนวนมากเคยคิด และใฝ่ฝันอยากได้วัคซีนเทพ ประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปเป็นจำนวนมากน่าจะถึงร้อยละ 90 แล้ว โรคก็ได้ลดความรุนแรงลง จากตัวไวรัสเองด้วย จนปัจจุบันเห็นได้ชัดเจน อัตราผู้เสียชีวิตน่าจะเท่า ๆ กับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ในปีแรก ขณะนี้สัปดาห์ละ 1-3 คน

บทสรุปขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับโควิด-19 วัคซีน ธันวาคม 2566

1.ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน แนะนำให้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม

2.ผู้ที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแล้วโรคจะรุนแรง เช่นสูงอายุ มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ สตรีตั้งครรภ์ ควรได้รับวัคซีน ซ้ำอีก 1 ครั้งห่างจากเข็มสุดท้าย 6-12 เดือน

3.เด็กปกติแข็งแรงอายุ 6 เดือนถึง 17 ปี ถือว่าอยู่ในกลุ่มลำดับสำคัญต่ำ (low priority) ในการได้รับวัคซีน

4.เด็กที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนเลย ควรได้รับวัคซีน 1 เข็ม

5 ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกว่า โควิดวัคซีนต้องให้ประจำทุกปีต่อ ๆ ไปหรือเป็นวัคซีนประจำปี อย่างไข้หวัดใหญ่ คงต้องรอข้อมูลการศึกษาต่อไป จึงจะให้คำแนะนำต่อ

ข้อมูลรายละเอียดอ่านได้จากบทความ องค์การอนามัยโลก และสรุปที่แสดงในตารางดังรูป

มะกันช็อก!! ยอด ‘คนไร้บ้าน’ ทั่วประเทศ พุ่งสูงกว่าครึ่งล้านคน หลังค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงลิ่ว เซ่นพิษโควิด-รัฐบาลลดความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, วอชิงตัน รายงานว่า รายงานจากกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า จำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จนแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ผลการตรวจนับของกระทรวงฯ พบจำนวนคนไร้บ้านทั่วสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมอยู่ที่ราว 653,000 ราย ซึ่งมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้า 70,650 ราย และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มต้นการตรวจนับในปี 2007

รายงานระบุว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันครองสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของประชากรสหรัฐฯ แต่กลับครองสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมด

ขณะชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกกลายเป็นคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยครองสัดส่วนร้อยละ 28 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมดในช่วงปี 2022-2023 ส่วนการไร้บ้านยกครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2012

ทั้งนี้ ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นและความช่วยเหลือเนื่องด้วยการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ลดลง ถือเป็นปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตคนไร้บ้านในสหรัฐฯ

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยรายงาน ‘วัคซีน mRNA’ ยิ่งฉีดมาก ประสิทธิภาพยิ่งลด ชี้ อาจเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ย้ำ!! ใครฉีดกระตุ้นแล้วไม่จำเป็นฉีดอีก

(17 ธ.ค. 66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงนี้ ว่า เรื่องการฉีดวัคซีนโควิดสำหรับคนทั่วไปที่มีการฉีดกระตุ้นมาก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอีก

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม ว่า รายงานในวารสาร Science ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ธ.ค.2565 มีการอธิบายว่า เมื่อมีการฉีดวัคซีนชนิด mRNA มากขึ้น ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและการป้องกันอาการหนักจะยิ่งลดลงกว่าที่คิด และน่าจะอธิบายถึงว่าทำไมในยุคโอมิครอน จึงมีการติดซ้ำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมได้ ดังนี้

1.) จาก hybrid immune damping วัคซีนเมื่อฉีดไปแม้จะมากเข็มก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ทั้งแอนติบอดี ระบบบีและทีเซลล์ จะเป็นต่อสายพันธุ์บรรพบุรุษอู่ฮ้่น และเมื่อติดเชื้อโอมิครอนก็เป็นในลักษณะเช่นเดียวกัน (อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.science.org/doi/10.1126/science.abq1841?utm_campaign=SciMag&utm_source=Social&utm_medium=Twitter%20Hybrid%20immune%20damping )

2.) รายงานล่าสุด เมื่อได้รับวัคซีนมากขึ้น แอนติบอดีจะปรับเปลี่ยนเป็น IgG4 ซึ่งทำให้หน้าที่ในการฆ่าไวรัสด้อยลงเมื่อเทียบกับ IgG 1 และ 3 และ อาจอธิบายประสิทธิภาพที่ถูกจำกัดลง (อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.science.org/doi/10.1126/sciimmunol.ade2798)

“ยังเป็นไปได้ว่ายังมีระบบต่อสู้กับไวรัสที่ไม่ผ่านทางเส้นทางดังกล่าว ที่เป็นระบบนักฆ่า จาก innate immunity ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติมากกว่าที่ได้จากวัคซีน หมายความว่า ถ้าติดตามธรรมชาติและอาการไม่หนักและไม่เกิดภาวะลองโควิด ก็จะส่งผลดีได้” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว และว่า จากการที่เบี่ยงเบนไปเป็น IgG4 และอาจเกี่ยวเนื่องไปถึงปรากฏการณ์ของโรคที่เกิดขึ้นหลากหลาย และที่เราเห็นในโรคทางระบบประสาทและโรคทางสมองอีกหลายชนิด

3.) รายงานจาก รศ.พญ.ปารวี ชีวะอิสระกุล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ใน วารสาร Nature Scientific report วันที่ 15 มกราคม 2023 พูดถึงวัคซีนหลังเข็ม 3 จะทำให้ T cell exhaustion หรือ T เซลล์ หมดแรง แม้ว่าแอนติบอดีจะขึ้นก็ตาม

ในคนที่ใกล้ชิดผู้ที่ติดเชื้อมีถึง 24.4% ที่มีการติดเชื้อโดยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น และผลของการติดเชื้อแม้ว่าไม่มีอาการ จะทำให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเหมือนคนที่ติดเชื้อ

แต่จุดใหญ่สำคัญในรายงานนี้ก็คือ เมื่อพิจารณาถึงการตอบสนองในระบบทีเซลล์ T cell ซึ่งเป็นตัวสำคัญในระบบความจำและเป็นระบบเพชฌฆาตนักฆ่า การฉีดวัคซีนหลายเข็ม และเมื่อมีการติดเชื้อกลับทำให้ทีเซลล์หมดแรง เรียกว่า T cell exhaustion (https://www.nature.com/articles/s41598-023-28101-5)

ข้อมูลการศึกษาของรัฐบาลออสเตรเลียเอง ในสัตว์ทดลองจากการฉีดวัคซีน mRNA เข้าที่กล้ามเนื้อและดูการกระจายตัวของวัคซีนจากการติดตามตัวด้วย radioactive particle ซึ่งเป็นมาตรฐานในการศึกษาทั่วไป ทำในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 และข้อมูลไม่มีการเปิดเผยจนกระทั่งในปี 2023 ตามกฏหมายที่ต้องมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลทุกชิ้นจึงทำให้ทราบความจริง

การศึกษาพบว่า แม้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อก็ตาม จะแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดและเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย หมายความว่า ตัววัคซีนนั้นจะเข้าไปกำหนดให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆ ผลิตโปรตีนหนามขึ้นมา และหมายความว่าจะสามารถอยู่ในร่างกายได้นานกว่าข้อมูลที่เราได้รับทราบแต่ต้นว่าวัคซีนจะอยู่เฉพาะที่กล้ามเนื้อที่แขนตรงตำแหน่งที่ฉีดเท่านั้นและจะสลายหายไปภายในสองถึงสามวัน

ความจริงดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการติดตามผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ และรายงานในปี 2023 โดยพบว่าจะมีวัคซีนล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดได้นานอย่างน้อย 28 วันด้วยกัน และอาจจะเป็นเครื่องอธิบายได้ว่า ทำไมผลแทรกซ้อนของวัคซีนซึ่งดูเหมือนว่าตามรายงานว่าจะไม่มากก็ตาม แต่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังเกิดได้ในระยะเวลาที่ห่างจากการฉีดได้เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้ (จากผู้ป่วยที่เราได้รับและพิสูจน์ว่ามีส่วนของวัคซีนจริงในอวัยวะสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง) [https://youtu.be/fVNFFtmb9gA 
Vaccine encephalitis and myocarditis
]

รายงานผู้เสียชีวิต 21 วัน หลังจากได้รับ mRNA วัคซีนซึ่งเป็นเข็มที่สาม ด้วยอาการสมองอักเสบและหัวใจอักเสบ ครอบครัวเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพิสูจน์ การพิสูจน์ศพ พบโปรตีนหนาม spike ในสมองและเนื้อเยื่อหัวใจ และการอักเสบ โดยไม่พบโปรตีนอื่นของโควิด nucleocapsid protein (NP) ซึ่งเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโควิดเพราะถ้าเกิดจากการติดเชื้อจะต้องพบ NP ด้วย

การเกิดในสักษณะเช่นนี้ พวกเราที่ดูผู้ป่วยมีความจำเป็นที่ต้องถามประวัติเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อและรวมทั้งประวัติการได้รับวัคซีนด้วย ทั้งนี้อาจจะมีการรักษาได้ทันท่วงที (https://www.mdpi.com/2076-393X/10/10/1651)

ดังนั้น การฉีดวัคซีน mRNA ต้องประเมินความเสี่ยงของหัวใจอักเสบ ถึงแม้เข้าใจว่าเกิดไม่มาก แต่ถ้าเกิดแล้วความรุนแรงอาจสูง

รายงานจากคณะแพทย์เยอรมัน ทางพยาธิวิทยาที่มีชื่อเสียง พิสูจน์จากการตรวจศพ ของผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA และเสียชีวิตเฉียบพลัน ภายใน 7 วัน จำนวน 25 ราย อายุ 45 -75 ปี โดยแสดงความผิดปกติในกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มหัวใจ มีการอักเสบเป็นหย่อมๆ และทำให้สามารถสรุปได้ว่าทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติ รายงานวันที่ 27 พฤศจิกายน 2022 [Clinical research in cardiology (Springer verlag)]

ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจจะมากกว่าที่ประเมิน และความรุนแรงของกล้ามเนื่อหัวใจอักเสบอาจจะมากกว่าที่เคยคิดหรือไม่ เนื่องจากการรายงานทั่วโลกเป็น retrospective แบบย้อนหลัง และมักตัดประเด็นเฉียบพลันออก โดยลักษณะของอาการเช่นนี้ เป็น sudden death คือหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน จากกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ไม่ใช่หัวใจวาย ทujพอมีเวลาและมีอาการให้เห็นก่อน

ผลแทรกซ้อนของวัคซีนจากความเป็นไปได้ จะเพ่งเล็งประเด็นที่ (1) และ (2) โดยอาจมองข้าม (3)

1.) เรื่องเส้นเลือดในหัวใจตัน หรือ
2.) ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป คือหัวใจวาย แต่ในกรณีนี้
3.) เป็นกระจุกของเซลล์อักเสบที่อยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจและเยี่อหุ้มหัวใจ ที่ไปขัดขวางเส้นใยประสาทนำไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หยุดเต้นกระทันหัน และถ้ากระตุ้นหัวใจ ขึ้นมาได้ จะตามต่อด้วยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป ทำให้หัวใจบีบตัวไม่ไหวตามด้วยหัวใจวาย

ศึกษาได้จาก VDO ซึ่งอธิบายรายละเอียดของรายงานชิ้นนี้ และ เอกสารตัวจริง และแสดงเนื้อเยื่อหัวใจที่มีการอักเสบเป็นหย่อมกระจุก
- https://youtu.be/j_DdSMn55cA
- https://link.springer.com/article/10.1007/s00392-022-02129-5#Sec3
- https://link.springer.com/article/10.1007/s00392-022-02129-5#Tab2

นอกจากนั้น มีการเปิดเผยผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีน mRNA ในเดือนกันยายน 2022 ในวารสาร vaccine ทั้งนี้เป็นข้อมูลจริงที่ได้ระหว่างมีการดำเนินการศึกษาเฟสที่สามในมนุษย์ แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยมาก่อน

ผู้ศึกษาและวิจัยได้เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสอย่างชัดเจนและต้องประเมินประโยชน์และผลข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งนี้โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิดซึ่งเชื้ออ่อนกำลังลงไปมาก เมื่อฉีดไปมากขึ้นเรื่อยๆ
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36055877/

13 มกราคม พ.ศ. 2563 ‘สธ.’ แถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในไทย เป็น ‘นักท่องเที่ยวชาวจีน’ เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น

วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของประเทศ เป็นเพศหญิง วัย 61 ปี จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน 

ย้อนกลับไปปลายเดือนธันวาคม 2562 มีรายงานว่า ประเทศจีนพบกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบ โดยยังไม่สามารถระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุ จำนวน 27 คน และเพิ่มเป็น 44 คน ในวันที่ 3 มกราคม 2563 และกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดนี้มีความเชื่อมโยงกับตลาดค้าส่งอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน และในวันเดียวกันนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงเริ่มมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น

ต่อมา วันที่ 8 มกราคม 2563 ไทยตรวจพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน มีไข้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อตรวจร่างกายแรกรับผู้ป่วยวัดอุณหภูมิได้ 38.6 องศาเซลเซียส และมีอาการไอแห้งเล็กน้อย ไม่มีน้ำมูก เมื่อสอบประวัติก็พบว่า เคยไปตลาดค้าส่งอาหารทะเลในอู่ฮั่น จนในที่สุด 13 มกราคม 2563 กระทรวงสาธารณสุข ออกมาแถลงยืนยันว่า พบเชื้อโควิด-19 เป็นรายแรกในไทย หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเชื้อโรคดังกล่าวเพียง 1 วัน โดยระบุว่า เชื้อโรคดังกล่าวเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เรียกว่า SARS-CoV-2 หรือที่องค์การอนามัยโลกประกาศชื่อภายหลังว่า COVID-19

แม้ รมว.สาธารณสุข จะแสดงความเชื่อมั่นในการหาวัคซีน หรือเพิ่มมาตรการป้องกัน แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของคนไทยทั้งประเทศตลอดหลายปีที่ผ่านมา

แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปประชาชนเริ่มมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น ป้องกันตัวเอง มีวินัยอยู่สม่ำเสมอ บวกกับมีการพัฒนาวัคซีน มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง และทำให้ประชาชนคนไทยได้กลับมาลืมตาอ้าปาก ออกไปใช้ชีวิต ทำมาหากิน ได้อย่างสบายใจมากขึ้นอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะผ่อนคลายลงกว่าเดิมแล้ว แต่เราทุกคนยังคงต้องป้องกันตนเอง ไม่ประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเช่นเดิมจะเป็นผลดีกับตัวเราเองที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top