Thursday, 2 May 2024
ChatGPT

เปิดเหตุผลที่ ChatGPT สั่นสะเทือนโลก AI และอาจทำให้หลายอาชีพในโลกไร้ความหมาย

หลังจากที่ Bill Gates ประกาศให้โลกรู้ ChatGPT และการเข้ามาของ AI รอบนี้ถือว่าสำคัญพอๆ กับการกำเนิดของ 'คอมพิวเตอร์' และ 'อินเตอร์เน็ต' และยังกล่าวอีกว่า AI จะเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่อีกครั้ง 

ไม่นานหลังจากนั้น Microsoft เริ่มนำ ChatGPT เชื่อมต่อกับหลายบริการ เช่น ซอฟต์แวร์นัดหมายอย่าง 'ทีมส์' (Teams)

ไม่เพียงเท่านั้น วงการอื่นๆ ก็เริ่มเข้าไปหยิบเจ้า ChatGPT มามีส่วนร่วมกับงานของตนมากขึ้น เช่น ผู้พิพากษาโคลอมเบียเริ่มใช้ ChatGPT ช่วยตัดสินคดีเกี่ยวกับสิทธิด้านการรักษาพยาบาลของเด็กออทิสติก เนื่องจากมีความซับซ้อนจึงนำ AI มาช่วยตัดสินใจ 

ขณะที่สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก็เริ่มใช้ ChatGPT เสนอร่างกฏหมายบางส่วนกันแล้วด้วย

คำถาม คือ เจ้า AI ที่เรียกว่า ChatGPT นี้ มันจะไปได้สุดแค่ไหน เพราะ ณ ตอนนี้ความฉลาดของมันเริ่มเข้ามา 'แทนที่' มนุษย์ในหลายเรื่องสำคัญๆ

มันสามารถตอบคำถามได้แทบทุกอย่าง มันสามารถเขียนโค้ดโปรแกรม สามารถเขียนบทความ เขียนเนื้อเพลง สร้างสคริปต์นำเสนอสินค้า สร้างสูตรทำอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังพูดคุยและแสดงอารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย 

ไม่นานมานี้ Techsauce ได้นำเสนอบทความที่กำลังแสดงให้เห็นว่า ChatGPT กำลังสั่นสะเทือนโลก AI โดย เบิร์น เอลเลียต รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ อิงค์ ได้ให้ข้อมูลที่ควรต้องตระหนักไว้ว่า...

หลังจาก OpenAI บริษัทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปิดตัว ChatGPT แพลตฟอร์มสนทนา AI รูปแบบใหม่อย่างเป็นทางการนั้น จากข้อมูลของบริษัทฯ ได้ระบุว่ารูปแบบการสนทนาที่จัดทำโดยแพลตฟอร์มนี้ ทำให้ ChatGPT สามารถ “ตอบคำถามได้ครอบคลุม ยอมรับข้อผิดพลาด พร้อมนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และปฏิเสธคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล”

นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดให้บริการ บนโลกโซเชียลมีเดีย ก็เริ่มมีการถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมนี้มาปรับใช้ รวมถึงอันตรายที่อาจตามมา 

นั่นก็เพราะมันมีความสามารถในการวิเคราะห์หาข้อผิดพลาดของโค้ด (Debug Code) ไปจนถึงศักยภาพในการเขียนเรียงความสำหรับนักศึกษา

ขณะที่มีรูปแบบการใช้งานโมเดลพื้นฐานมากมาย เช่น GPT ในโดเมนต่างๆ ประกอบด้วย Computer Vision, Software Engineering และงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research and Development) เช่น มีการใช้แบบจำลองพื้นฐานสร้างรูปภาพขึ้นจากข้อความ และตรวจสอบโค้ดจากภาษาธรรมชาติ (Natural Language) รวมถึงการทำ Smart Contracts หรือแม้แต่ในด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare) เช่น การสร้างยารักษาโรคใหม่ๆ และการถอดรหัสลำดับจีโนมเพื่อจำแนกโรค

>> นี่คือข้อกังวลด้านจริยธรรม

แม้โมเดลแบบจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้าน AI จากประโยชน์เฉพาะตัวที่มอบให้ อาทิ การช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาสร้างโมเดลแบบจำลองเฉพาะโดเมน แต่นั่นก็ก่อให้เกิดความเสี่ยงและข้อกังวลด้านจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วย...

Complexity: โมเดลจำลองขนาดใหญ่ต้องใช้พารามิเตอร์นับพันล้านหรืออาจมากถึงล้านล้าน โดยโมเดลจำลองเหล่านี้มีขนาดใหญ่เกินไปที่องค์กรจะนำมาทดสอบใช้งาน เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรการประมวลผลที่จำเป็นจำนวนมาก อาจทำให้มีราคาแพงและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Concentration of power: โมเดลจำลองเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาจำนวนมหาศาล และมีความสามารถด้าน AI เป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจในหน่วยงานขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง อาจสร้างความไม่สมดุลในอนาคต

Potential misuse: โมเดลจำลองพื้นฐานช่วยลดต้นทุนในการสร้างเนื้อหา ซึ่งหมายความว่าการสร้าง Deepfake ที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับจะง่ายขึ้น รวมถึงทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่การเลียนแบบเสียงและวิดีโอไปจนถึงผลงานศิลปะปลอม ตลอดจนการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งข้อกังวลด้านจริยธรรมร้ายแรงที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เสียชื่อเสียงหรือสร้างความขัดแย้งทางการเมืองได้

Black-box nature: โมเดลจำลองเหล่านี้ยังต้องการการทดสอบอย่างถี่ถ้วนและสามารถมอบผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากการทดสอบในลักษณะกล่องดำ (Black-box nature) ที่ไม่คำนึงถึงคำสั่งภายในซอฟต์แวร์ และคลุมเครือว่าฐานข้อมูลที่ตอบสนองนั้นเท็จจริงเพียงใด อาจนำเสนอผลลัพธ์ที่เอนเอียงได้จากข้อมูลที่กำหนดไว้ โดยกระบวนการทำให้ข้อมูลตรงกันของแบบจำลองดังกล่าวสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้ หากคลาดเคลื่อนเพียงจุดเดียว

Intellectual property: โมเดลแบบจำลองถูกทดสอบกับคลังข้อมูลของชิ้นงานที่สร้างขึ้น และยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกฎหมายบังคับอย่างไรสำหรับการนำเนื้อหานี้กลับมาใช้ใหม่ และหากเนื้อหานั้นมาจากทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น 

จากที่ว่ามา...เบิร์น เอลเลียต จึงมองว่าการใช้ ChatGPT จึงควรมีแนวทางการใช้โมเดลพื้นฐาน AI อย่างมีจริยธรรม ดังนี้...

1. เริ่มต้นจากการใช้งานการประมวลผลภาษาตามธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) เช่น การจัดหมวดหมู่ การสรุป และการสร้างข้อความในสถานการณ์ที่ไม่ได้เจอตัวลูกค้า และเลือกงานที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลจำลองที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วจะสามารถลดต้นทุนการปรับแต่งและการทดสอบที่มีราคาแพง หรือใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบผลลัพธ์โดยมนุษย์

2. ใช้สร้างเอกสารเชิงกลยุทธ์ที่สรุปประโยชน์ ความเสี่ยง โอกาส และแผนงานการปรับใช้โมเดลจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT ซึ่งจะช่วยพิจารณาว่าได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงหรือไม่ กรณีที่นำมาใช้งานเฉพาะ

3. ใช้ APIs บนคลาวด์สำหรับสร้างรูปแบบจำลองและเลือกแบบจำลองที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนรวมสำหรับการเป็นเจ้าของ 

4. จัดลำดับความสำคัญของผู้จำหน่ายที่ส่งเสริมการปรับใช้โมเดลอย่างมีความรับผิดชอบโดยการเผยแพร่แนวทางการใช้งาน การบังคับใช้ รวมถึงบันทึกช่องโหว่และจุดอ่อนที่ทราบ พร้อมเปิดเผยพฤติกรรมที่เป็นอันตรายและสถานการณ์การใช้งานในทางที่ผิดแบบเชิงรุก

Google เปิดตัว Bard AI Chatbot สู้กระแส ChatGPT โชว์ฟีเจอร์เด่นกรองข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น

(7 ก.พ. 66) Techsauce เผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 กุมภาพันธ์ 2566) Sundar Pichai CEO ของ Alphabet บริษัทแม่ Google ประกาศผ่านบล็อกอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาเตรียมจะเปิดตัว Bard เทคโนโลยี AI Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล LaMDA 

ซึ่งแม้เวอร์ชั่นนี้จะเป็น LaMDA ตัวเล็กเพื่อให้ทำงานกับผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น แต่ประสิทธิภาพก็ไม่ด้อยไปกว่า GPT 3.5 และคาดว่าจะกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ ChatGPT จากค่าย OpenAI ที่มี Microsoft หนุนหลัง 

>> Bard คืออะไร 
Bard เป็นชื่อของ AI Chatbot ที่ Google เตรียมจะเปิดให้คนทั่วไปใช้ หลังจากผ่านการทดลองภายในองค์กรมาแล้ว ของเล่นใหม่จาก Google นี้ใช้เทคโนโลยี LaMDA (Language Model for Dialogue Applications) ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ Google หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าแบบจำลองภาษาสำหรับแอปพลิเคชันการสนทนาของ Google นั่นเอง โดยขั้นตอนหลังจากนี้ บริษัทจะทำการทดสอบในแวดวงผู้ทดสอบที่เชื่อถือได้ก่อน จากนั้นจึงจะเปิดให้บริการในวงกว้างมากขึ้น 

>> การขยับตัวอย่างรวดเร็วของ Google 
หลังจากกระแสความนิยมของ ChatGPT เกิดขึ้นได้ไม่นาน ผู้บริหารระดับสูงของ Google ก็เริ่มส่งสัญญาณความกังวลถึงภัยคุกคามต่อธุรกิจตน โดยในขณะนั้น Sundar Pichai  เร่งประชุมทีมกลยุทธ์ AI ของบริษัท พร้อมสั่งการให้ทุกฝ่ายหาทางรับมือ 

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา CNBC เพิ่งจะรายงานถึงความคืบหน้าของ Google ว่าบริษัทกำลังทำการทดสอบการใช้งาน Apprentice Bard เครื่องมือ Chat ถามตอบคล้ายของ ChatGPT แบบภายในบริษัทก่อน โดยตั้งใจจะนำคุณสมบัติของเทคโนโลยีใหม่นี้เข้าไปรวมกับ Search engine หรือ โปรแกรมค้นหาของเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อล่าสุดก็ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่าเตรียมเปิดทดสอบสู่สาธารณะ

ฉลาดจนน่าขนลุก!! ChatGPT เปิดตัวเวอร์ชันที่ 4 อาจฉลาดกว่าเดิมถึง 1,000x เท่า Morgan Stanley ประเดิมเข้าถึงบริการใหม่ก่อนใคร

(15 มี.ค.66) World Maker เผยว่า ในขณะที่โลกการเงินในสหรัฐฯ กำลังกังวลกับวิกฤต Bank Run แต่ในอีกด้าน สหรัฐฯ กำลังพัฒนาไปสู่ยุคใหม่อย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด OpenAI บริษัทที่ Microsoft ได้เพิ่มทุน 10x เท่าจาก 1 พันล้านดอลลาร์เป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมกับประกาศเปิดตัว ChatGPT เวอร์ชัน 4 ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมถึง 1,000x เท่า 

จุดเด่นของ ChatGPT-4 ที่หลายสื่อนำเสนอมีดังนี้...

1. จะมีความปลอดภัยต่างๆ มากขึ้น
2. มีประโยชน์ในแง่ของคำตอบมากกว่าเดิม
3. มีพฤติกรรมในการตอบสนองที่ดีขึ้น
4. จะมีการใช้ความเห็นจากมนุษย์และผู้ใช้งานเพื่อนำมาพัฒนา AI
5. มีความแม่นยำ ตรงประเด็น สร้างสรรค์ และประมวลได้ดีขึ้น
6. สามารถสร้างคำตอบจากคำใหม่ๆ หรือรูปภาพได้ด้วย
7. มีโอกาสน้อยลง -82% ที่จะตอบสนองต่อคำถามที่ไม่ได้รับอนุญาต
8. มีโอกาสมากขึ้น +40% ที่คำตอบจะตรงตามข้อเท็จริง
9. มีฐานข้อมูลด้านรายงานและรายได้ของบริษัทต่างๆ รวมถึงภาษี

โดยทาง Big Bank ใน Wall Street อย่าง Morgan Stanley กำลังเป็นลูกค้ารายแรกๆ ที่สมัครเข้าใช้บริการของ ChatGPT-4 นี้ และยังประกาศอีกว่าตัวเองเป็น 'ลูกค้าเชิงกลยุทธ์' เพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมบริหารความมั่งคั่ง ที่ได้รับการเข้าถึง Product ใหม่ของ OpenAI ก่อนใคร

ซึ่งก็ไม่แน่ว่า Big Bank อื่นๆ กำลังตามมาหลังจากนี้ด้วย นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมการธนาคารกำลังให้ความสนใจกับ AI เป็นอย่างมาก และคงทำให้ท่านเห็นภาพแล้วว่า AI จะเข้ามามีบาทมากขึ้นอย่างแน่นอนในหลายอุตสาหกรรมโลก โดยเฉพาะภาคการเงิน การผลิต ภาษา การเรียนการสอน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Morgan Stanley กล่าวว่า ChatGPT-4 ถูกออกแบบมาให้มีการควบคุมที่เหมาะสมสำหรับเนื้อหาละเอียดอ่อนที่ต้องการความปลอดภัยสูง และบริษัทจะเริ่ม Train AI โดยยิงคำถามและใส่เนื้อ-ข้อมูลจำนวนมากลงไป พร้อมเผยอีกว่าการสร้างความสัมพันธ์กับ AI บนพื้นฐานความไว้วางใจและการที่มนุษย์ให้คำแนะนำ AI จะมีคุณค่าเสมอ

นอกจากกลุ่มธนาคารแล้ว Nvidia ซึ่งเป็น Supplier รายใหญ่ที่ผลิต Graphic ประมวลผลตัวสำคัญซึ่งใช้ในระบบ Cloud และการฝึก AI ได้กล่าวเมื่อต้นเดือนว่าในที่สุด AI จะช่วยประหยัดเงินให้กับบริษัทต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งหากคิดดูดีๆ แล้ว มันสอดคล้องกันอย่างมากกับการที่บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเริ่มปลดคนงานออกเป็นจำนวนมาก เพราะหาก AI เข้ามาเราก็สามารถลดจำนวนแรงงานได้ และยังประหยัดต้นทุนไปได้อีกมากด้วย

Greg Brockman ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งของ OpenAI กล่าวว่า “เรากำลังเริ่มใช้ระบบที่มีความสามารถจริงๆ ซึ่งสามารถให้แนวคิดใหม่ๆ และช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่คุณไม่สามารถทำในอย่างอื่นได้”

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้พัฒนายอมรับว่า ChatGPT-4 ก็ยังมีข้อบกพร่องบางประการอยู่ เช่น อคติทางสังคม หรือการให้คำตอบที่ผิดเพี้ยนในบางอย่าง ซึ่งจะแก้ไขในเวอร์ชั่นต่อๆ ไป

นอกจากนี้ ในวันอังคาร Kenneth Leon นักวิเคราะห์ของ CFRA ได้อัปเกรดมุมองต่อทั้ง Morgan Stanley และ Goldman Sachs Group เพื่ออยู่ในหุ้นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก "ความเสี่ยงต่อผลขาดทุนค้างพอร์ตที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่มีสาระสำคัญอะไรเลย" ต่อทั้ง 2 บริษัทนี้ แสดงให้เห็นว่าในขณะที่สื่อกลุ่มเผด็จการเฝ้าโจมตีระบบธนาคารของสหรัฐฯ อยู่นั้น แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นอีกเรื่อง

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือ ChatGPT จะเป็นอะไร? | THE STATES TIMES Y WORLD EP.68

เรียกได้ว่า ChatGPT ที่เป็น AI Chatbot ที่ดังที่สุดแล้วในตอนนี้ เนื่องจากมีคุณสมบัติสุดว้าว ไม่ว่าจะเป็นสามารถทำการบ้าน หรือเขียนบทความได้ ฯลฯ ทำให้หลาย ๆ ค่ายเริ่มงัด AI Chatbot ออกมาสู้ หวังครองใจตลาด AI เรามาดูกันว่าค่ายไหนงัด AI ออกมาสู้กันบ้าง และจะสามารถล้ม ChatGPT ได้หรือไม่ ไปรับชมกันได้เลย…

ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y WORLD และสามารถรับชมคลิปอื่น ๆ ได้ที่ : https://youtube.com/playlist?list=PLvNTQ_fOAFugvfiWfiUXJ8JJYho1ADnG8 

#THESTATESTIMES 
# THESTATESTIMESYWORLD 
#ChatGPT
#AIChatbot
 

‘เจฟฟรีย์ ฮินตัน’ ประกาศลาออกจากกูเกิลด้วยวัย 75 ปี เตือน!! เอไอส่อเค้าอันตราย วันหนึ่งอาจฉลาดเหนือมนุษย์

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 66 นายเจฟฟรีย์ ฮินตัน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ในฐานะเจ้าพ่อด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ลาออกจากกูเกิล พร้อมเตือนเกี่ยวกับภัยอันตรายจากการพัฒนา AI
ทั้งนี้ นายฮินตัน อายุ 75 ปี ได้ประกาศเรื่องการลาออกจากกูเกิล ในแถลงการณ์ต่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส พร้อมระบุว่า เขาเริ่มเสียใจต่องานของเขาแล้ว

นอกจากนี้ นายฮินตันได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า อันตรายบางประการจากแชตบอต AI นั้น ‘ค่อนข้างน่ากลัว’

“ขณะนี้แชตบอต AI ยังไม่ฉลาดกว่าพวกเราก็จริง แต่ผมคิดว่าอาจเป็นเช่นนั้นในอนาคตอันใกล้นี้” นายฮินตัน กล่าว

‘ป๊อบ ปองกูล’ ทดลองใช้ ChatGPT ค้นหาชื่อของตน ดันพบข้อมูลว่า ตัวเองเป็นสมาชิกวงไอดอลหญิง BNK48

เพราะความอยากรู้อยากลองระบบ AI ของแอปพลิเคชั่น ChatGPT นักร้องชื่อดังอย่าง ป๊อบ ปองกูล เจ้าของเพลงสลักจิต จึงได้ทดลองค้นหาชื่อของตัวเอง แต่ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบอกว่า ป๊อบเป็นหนึ่งในสมาชิกวงไอดอลหญิง BNK48

งานนี้คำตอบที่ได้ทำเอาเจ้าตัวถึงกับไปไม่เป็น โดยนักร้องหนุ่มได้ออกมาโพสต์ภาพจากในแอปพลิเคชั่นพร้อมระบุข้อความบอกว่า 'เมื่อฉันลองหาชื่อฉัน ใน Chat GPT #วงในบอกมา รู้แล้วเหยียบให้มิด' ด้านแฟนๆ พอได้รู้คำตอบก็แห่เข้ามาคอมเมนต์แซว เช่น แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ เต้นคุกกี้เสี่ยงทายให้ดูหน่อยพี่ป๊อบBNK48

‘อีลอน มัสก์’ เปิดตัว ‘เอ็กซ์เอไอ’ บริษัทสตาร์ตอัป AI เดินหน้าพัฒนาแชตบอท หวังท้าชนคู่แข่งทุกแพลตฟอร์ม

(13 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพุธ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ‘อีลอน มัสก์’ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) และเจ้าของทวิตเตอร์ (Twitter) ประกาศเปิดตัว ‘เอ็กซ์เอไอ’ (xAI) บริษัทสตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อ ‘ทำความเข้าใจความเป็นจริง’

เว็บไซต์ของเอ็กซ์เอไอ ระบุว่า บริษัทฯ แยกจากเอ็กซ์ คอร์ป (X Corp) ที่มัสก์เป็นเจ้าของ แต่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เทสลา และบริษัทอื่น ๆ เพื่อสร้างความก้าวหน้าแก่ภารกิจของบริษัทฯ

ทีมงานบางส่วนซึ่งนำโดยมัสก์เคยทำงานกับแชทบอท จีพีที-3.5 (GPT-3.5) และ จีพีที-4 (GPT-4) ของโอเพนเอไอ (OpenAI) โดยมัสก์เคยเป็นนักลงทุนระยะเริ่มต้นและส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารในโอเพนเอไอ ก่อนออกจากตำแหน่งดังกล่าวในปี 2018

รายงานระบุว่า ‘เอ็กซ์เอไอ’ ยังมีทีมวิศวกรจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ อาทิ กูเกิล รีเสิร์ช (Google Research) และไมโครซอฟต์ รีเสิร์ช (Microsoft Research)

‘อัลท์แมน’ ผู้ก่อตั้ง ChatGPT โดนปลดพ้นเก้าอี้ซีอีโอ เหตุ ‘ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำองค์กร’

แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT ถูกคณะกรรมการปลดออกจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า หลังจากบอร์ดแจ้งเหตุผลไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบงาน

เมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 66) บริษัท OpenAI ออกแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของ บริษัท OpenAI ได้ประกาศในวันนี้ว่า แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอบริษัท OpenAI และลาออกจากคณะกรรมการบริหาร โดยคณะกรรมการได้แต่งตั้งให้ มิรา มูราติ (Mira Murati) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราว โดยมีผลทันที

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า การพิจารณาอัลท์แมนออกจากตำแหน่ง เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งสรุปได้ว่า "เขาไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบต่องาน"

ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการ จึงไม่มีความมั่นใจในความสามารถในการเป็นผู้นำของ OpenAI อีกต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อแถลงการณ์บริษัทเผยแพร่ออกไปได้สร้างความสั่นสะเทือนวงการ AI อย่างมาก รวมถึงสร้างความประหลาดใจให้คนภายในบริษัท เพราะก่อนหน้าในช่วงเช้าวันเดียวกันอัลท์แมนยังคงส่งอีเมลถึงพนักงาน

สำหรับประวัติ แซม อัลท์แมน เกิด 22 เมษายน ค.ศ. 1985 ที่รัฐ Missouri สหรัฐอเมริกา เขาสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเด็ก โดยในปี 2003 เข้าสมัครเรียนปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Stanford มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ แต่เรียนได้ปีเดียวก็ลาออกเพื่อมาทุ่มให้กับแอปพลิเคชัน Loopt ที่ร่วมกับเพื่อนผ่านบริษัท Y Combinator

ปี 2012 แซม อัลท์แมน ทำเงินได้ถึง 43.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท จากการขาย Loopt ให้บริษัทการเงิน Green Dot

ปี 2014 แซม อัลท์แมน เลื่อนจากหุ้นส่วนขึ้นเป็นประธาน Y Combinator และยังเคยรักษาการ CEO ให้ Reddit ช่วงสั้น ๆ ทำให้รู้จักคนดังในแวดวงเทคโนโลยีจำนวนมากรวมทั้ง Elon musk นำไปสู่การก่อตั้ง OpenAI ศูนย์วิจัยด้าน AI ขึ้นในปี 2015

โดย Microsoft ให้ความสนใจและให้เงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและสามารถเปิดตัวแชตบอต ChatGPT ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก

รักษาการซีอีโอ ‘ChatGPT’ จ่อพา ‘อัลท์แมน’ กลับมาอีกครั้ง หลังเผชิญความกดดันหลายฝ่าย เหตุไม่ปลื้ม!! ที่มีมติปลดออก

(20 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นางสาวมิร่า มูราติ (Mira Murati) ซีอีโอชั่วคราวของ OpenAI ผู้พัฒนาแชตบอตพลิกโลกเทคโนโลยีอย่าง ‘ChatGPT’ วางแผนที่จะพา ‘นายแซม อัลท์แมน’ (Sam Altman) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอกลับมาดำรงตำแหน่งในบริษัทอีกครั้ง

หลังจากคณะกรรมการของ OpenAI มีมติปลดนายอัลต์แมนในเช้าวันที่ 18 พ.ย.66 ตามเวลาไทย ก็มีเสียงคัดค้านตามมาจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ที่พยายามหาทางคืนสถานะซีอีโอให้กับนายอัลต์แมน

และการที่นายอัลต์แมนต้องลงจากตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ตามมามากมาย เช่น นายเกร็ก บร็อกแมน (Greg  Brockman) ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท รวมถึงพนักงานระดับสูงอีกหลายคนก็ตัดสินใจลาออกตาม

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า คณะกรรมการของ OpenAI กำลังหารือในประเด็นที่จะให้นายอัลต์แมนกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง แต่มีเงื่อนไขคือต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารจัดการ และถอดถอนคณะกรรมการชุดเดิมทั้งหมด โดยผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ได้ขีดเส้นตายให้คณะกรรมการรับข้อเสนอภายใน 17.00 น. ของวันที่ 19 พ.ย.66 ตามเวลาท้องถิ่นในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

รายงานข่าวระบุว่า นางสาวมูราติได้ตัดสินใจท่ามกลางความกดดันจากผู้บริหารและนักลงทุนของ OpenAI ที่ไม่พอใจกับมติการปลดนายอัลต์แมน รวมถึงคณะกรรมการที่เหลือยังคงพยายามทาบทามและสรรหาบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่อยู่

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปมปัญหาสำคัญที่ทำให้นายอัลต์แมนต้องลงจากตำแหน่งมาจากการที่นายอัลต์แมนพยายามผลักดันให้ OpenAI เติบโตในเชิงพาณิชย์และเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งบริษัทที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ

ความแตกต่างของเป้าหมายในการบริหารงานน่าจะทำให้คณะกรรมการเกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน AI ที่อาจจะกระทบกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ และนำไปสู่การตัดสินใจในมติดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดปัจจุบันของ OpenAI ประกอบไปด้วยนายอิลยา สุตสกีเวอร์ (Ilya Sutskever) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI, นายอดัม ดีแอนเจโล (Adam D’Angelo) ซีอีโอ Quora, นางทาช่า แมคคอลีย์ (Tasha McCauley) ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี และนางสาวเฮเลน โทเนอร์ (Helen Toner) จาก Georgetown Center for Security and Emerging Technology


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top