Monday, 20 May 2024
Apple

3 แบงก์ใหญ่ เงินไหลออก กว่า 2 ล้านล้านบาท  สวนทาง Apple เสนอเงินฝากดอกเบี้ย 4.15%

ถึงยุคที่ธนาคารทั่วโลกกำลังจะถูก Disrupt แล้วหรือไม่ ?!? เพราะหลังจากเกิดวิกฤต Bank Run ขึ้นมา Apple บริษัท Smartphone ยักษ์ใหญ่ของโลกก็ได้ประกาศเสนอบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ซึ่งผู้บริโภคสามารถฝากเงินผ่าน Saving Account ของบริษัทได้ทันทีเพียงแค่เป็นลูกค้าของ Apple เท่านั้น !!! (ตอนนี้ยังเปิดใช้แค่ลูกค้าที่มีบัตร Apple Card ในสหรัฐฯ)

(18 เม.ย.66) World Maker เผยว่า บัญชีดังกล่าวเป็นการร่วมมือกับ Big Bank แห่ง Wall Street อย่าง Goldman Sachs โดยไม่มีการกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ แต่มีการกำหนดเงินฝากสูงสุดที่ 250,000 ดอลลาร์ซึ่งหมายความว่าจะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่จาก Federal Deposit Insurance Corp. อีกด้วย !!

ระดับดอกเบี้ยที่ 4.15% นั้นถือว่าสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารขนาดเล็ก-กลางหลายแห่งในตอนนี้เลยทีเดียว ! ซึ่งแน่นอนว่าหากธนาคารใหญ่เริ่มจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่มากขึ้นเช่นนี้ จะถือเป็นการ Disrupt โดยตรงต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถเสนอดอกเบี้ยได้สูงในระดับนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการบริหารงบไม่ดี

มีรายงานว่าแม้แต่ธนาคารขนาดใหญ่ 3 แห่งคือ Charles Schwab, State Street และ M&T ก็ได้เผชิญเงินไหลออกสูงถึง -6 หมื่นล้านดอลลาร์หรือกว่า -2 ล้านล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และแนวโน้มดังกล่าวอาจดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับธนาคารหลายแห่ง หากพวกเขายังไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากให้กับผู้บริโภค

นอกจากบัญชีดอกเบี้ย 4.15% แล้ว นักลงทุนและผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังถอนเงินออกจากธนาคารหลายแห่งเพื่อไปพักเงินใน Money Market Funds แทน เนื่องจากกองทุนเหล่านี้ให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ประมาณ 4.65% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับดอกเบี้ยของ FED ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแรงกดดันต่อธนาคารที่เสนอดอกเบี้ยต่ำจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ดอกเบี้ยหลัก ๆ ในตลาดการเงินยังคงสูงเช่นนี้

มีเพียงธนาคารยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังสามารถแข่งขันในตลาดได้ ซึ่งนอกจาก Goldman Sachs แล้วก็จะมี Big Bank อย่างเช่น JPMorgan, Wells Fargo, Morgan Stanley, Citigroup และ Bank of America ที่ถือเป็นเสาหลักอยู่ในตอนนี้ แต่ทั้ง 6 ยักษ์ใหญ่ต่างก็ต้องแข่งขันกันเองด้วย ดังนั้นจะเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่ากันมากนักไม่ได้

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ Apple ถือเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์แปลง iPhone ให้กลายเป็น “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าทุกคนสามารถเชื่อมโยงการเงินของตัวเองและวิถีชีวิตประจำต่าง ๆ ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว (ซึ่งในอนาคตอาจไม่ใช่แค่ iphone แต่ยังรวมถึง Product ใหม่ ๆ ด้วย)

แม้ว่าจะไม่สามารถใช้เงินในบัญชีออมทรัพย์ได้โดยตรง แต่ลูกค้า Apple Card จะสามารถโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวมายังบัญชีกระแสเงินสด Apple Cash ก่อนจะใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งก็แทบไม่ต่างกัน !

ที่น่าสนใจมาก ๆ คือความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่เท่าที่เราเห็น แต่อาจเป็นการเตรียมยกระดับระบบต่าง ๆ ไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นเพื่อก้าวสู่โลกอนาคต เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ทาง Apple ยังได้ร่วมมือกับบางรัฐในสหรัฐฯ เพื่อให้บริการออกใบขับขี่เวอร์ชั่นดิจิทัล ขณะเดียวกันก็มีการเจรจากับ Alphabet เพื่อที่จะใช้ Google เป็น Browser เริ่มต้นของ Safari ใน iPhone

อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า Apple จะไม่มีคู่แข่ง เพราะปัจจุบันธนาคารบางแห่งก็เสนอดอกเบี้ยเงินฝากออนไลน์มากถึง 5% แต่ถึงกระนั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาคธนาคารกำลังถูก Disrupt ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่บริหารงบไม่ดี ไม่มีความสามารถในการทำกำไร และไม่สามารถเสนอดอกเบี้ยที่สูงตามอัตราหลักของตลาดได้

‘Apple Store’ เตรียมเปิดสาขาใหม่ 15 แห่งในเอเชียแปซิฟิก ด้าน ‘เวียดนาม’ หลุดโผ ไม่มีรายชื่ออยู่ในโปรเจกต์ใหญ่ครั้งนี้

‘เวียดนาม’ ไม่ได้อยู่ในแผนของ Apple ในการเปิดตัวร้านค้าใหม่ 15 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2027

เมื่อไม่นานนี้ สํานักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะสร้าง ปรับปรุง หรือย้ายที่ตั้งโรงงาน 15 แห่ง ในประเทศจีน, ญี่ปุ่น 5 แห่ง, อินเดีย 3 แห่ง, เกาหลีใต้ 2 แห่ง, มาเลเซีย และออสเตรเลียที่ละ 1 แห่ง

ซึ่งหมายความว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศต่อไป ที่จะได้รับ Apple Store รองจากสิงคโปร์และไทย

เมื่อเดือนที่แล้ว Apple ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์สําหรับลูกค้าชาวเวียดนาม และนักวิเคราะห์คาดว่า สิ่งนี้จะนําไปสู่การเปิดร้านค้าอิฐและปูนในประเทศ

Apple ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในตลาดเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อปีที่แล้วได้แต่งตั้งผู้จัดการประเทศเป็นครั้งแรกและตั้งช่อง YouTube อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเวียดนามว่า บรรลุการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในรายงานทางการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว มีร้าน Apple มากกว่า 520 แห่งใน 26 ประเทศ

‘Apple’ ประกาศเปลี่ยนที่ชาร์จ จาก Lightning เป็น USB-C เริ่มต้นที่ ‘ไอโฟน 15’ ที่คาดว่าจะเปิดตัว เที่ยงคืน 13 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ค่ายแอปเปิล (Apple) ได้ออกมายืนยันการจัดงานอีเวนต์เปิดตัวไลน์อัปผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 12 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่ สตีฟ จ็อบส์ เธียร์เตอร์ ในสำนักงานแอปเปิลพาร์ค ซึ่งตรงกับเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 13 ก.ย. (คืนวันที่ 12) ตามเวลาไทย ด้วยการส่งการ์ดเชิญไปยังสื่อทั่วโลกให้เดินทางไปร่วมงานเปิดตัว

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเปิดตัวไอโฟน 15 ซีรีส์ (iPhone15) ซึ่งมีกระแสข่าวลือทางสื่อออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมี 4 รุ่นย่อยด้วยกัน iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ซึ่งเป็นตัวท็อป โดยครั้งนี้คาดหมายกันว่ารุ่นนี้อาจจะเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone 15 Ultra

สรุปข่าวลือทั้งหมดก่อนการเปิดตัวสเปก iPhone 15 จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Plus จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A16 Bionic สำหรับ iPhone 15 Pro จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Pro Max จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A17 Bionic อัปเกรดกล้องหลักทั้งหมด 48 ล้านพิกเซล แบตใช้งานยาวนานขึ้นและรองรับ Dynamic Island ทุกรุ่น

รวมทั้งการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนที่พอร์ต Lightning แต่ความเร็วในการโอนข้อมูลจะต่างกันโดยรุ่น Pro จะมีความเร็วเทียบเท่า USB 3.2 ส่วน iPhone 15 และ iPhone 15 plus จะเทียบเท่า USB 2.0

‘หมิง ชิ กัว’ นักวิเคราะห์จาก TF Interna tional Securities ระบุว่า iPhone 15 Pro Max อาจเป็นรุ่นเดียวที่มีกล้อง Periscope ที่มีเลนเทเลสำหรับซูมแบบออปติคอลได้ไกล 6 เท่า ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่ารุ่นเดิม 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าจะเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 35-40% ของ iPhone 15 ซีรีส์

ขณะเดียวกัน มีข่าวด้วยว่านอกจากเลนเทเลแล้ว การออกแบบจะเปลี่ยนวัสดุกรอบเป็นไทเทเนียม จากสเตนเลส โดยก่อนหน้านี้ การผลิต iPhone 15 ซีรีส์มีปัญหาการขาดแคลนเซ็นเซอร์ภาพ CMOS แม้จะแก้ไขด้วยการแบ่งการผลิตให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ประมาณ 10-15%

สำหรับความท้าทายในการผลิตกรอบไทเทเนียมคือการประมวลผลได้ยากและการออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแต่ได้รับการแก้ไขแล้วเช่นกัน จะทำให้มีน้ำหนักเบาลงและมีความแข็งแกร่ง โดย iPhone 15 Pro มีน้ำหนัก 191 กรัม เบากว่า iPhone 14 Pro ที่มีน้ำหนัก 203 กรัม iPhone 15 Pro Max หนัก 221 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max หนัก 240 กรัม

เว็บไซต์ iclarified.com ได้เผยแพร่เครื่องดัมมี่หรือเครื่องจำลองโดยระบุว่าจากการเปิดเผยของ Sonny Dickson ที่ทำการทวีตใน X ไปก่อนหน้า โดยเขาได้แชร์รูปภาพที่ดูคล้ายจะเป็น iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะมีสีฟ้าอ่อน, ดำ, เขียว, ชมพู และสีเหลือง ขณะที่เว็บดังกล่าวได้ระบุว่า iPhone 15 Pro จะมี 4 สีคือ สีน้ำเงิน, ดำ, เทาและสีเงิน

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดจะมีการเปิดตัวในวันดังกล่าวประกอบด้วย Apple Watch ซีรีส์ 9 Apple Watch Ultra รุ่นที่ 2 iPad รุ่นที่ 9 AirPods Pro พอร์ต USB-C แต่รอดูวันเปิดตัวว่าจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ ทีมข่าวไซเบอร์เน็ตจะร่วมเดินทางไปเกาะติดการเปิดตัว iPhone 15 ซีรีส์อย่างใกล้ชิดและนำมารายงานอย่างละเอียดต่อไป

‘Apple’ เปิดตัว ‘iPhone 15-iPhone 15 Pro’ พร้อมสเปกล่าสุด พอร์ต USB-C และจอ Dynamic Island ทุกรุ่น แถมปุ่ม Action ใหม่

(13 ก.ย. 66) ‘Apple’ จัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ประจำปี 2023 ในชื่อ ‘Wonderlust’ โดยมี iPhone เป็นพระเอก มาครบทั้ง iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max พร้อมบอกลาพอร์ต Lightning เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C แทน ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

สรุปข้อมูล iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มีอะไรใหม่บ้าง?
รอบนี้ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ไม่มีรอยบากบนหน้าจอแล้ว แต่ได้เกาะหรรษา Dynamic Island มาแทน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับ iPhone ในรุ่นที่ไม่ได้อยู่ในซีรีส์ ‘Pro’ โดยจอภาพ Super Retina XDR มีขนาด 6.1 แล้ว 6.7 นิ้ว ตามลำดับ อัตรารีเฟรช 60Hz เท่าเดิม ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต

ภายใน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ขยับมาใช้ชิป A16 Bionic แบบเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 14 Pro ซึ่งยังทรงพลังอยู่มาก แม้จะตกรุ่นไป 1 ปีแล้วก็ตาม

ข้อมูลด้านแบตเตอรี่ Apple ไม่ได้เปิดเผยความจุเป็นตัวเลขตรง ๆ บอกเพียงระยะเวลาการใช้งานแบบคร่าว ๆ แต่สาระสำคัญคือ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C แล้ว หลังจากที่โดนเรียกร้องมานาน

กล้องหลัก iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เป็นอีกจุดสำคัญที่ได้รับการอัปเกรด โดยเพิ่มความละเอียดขึ้น 4 เท่า เป็น 48MP รองรับเทคโนโลยี quad-pixel รวมแสง 4 จุดเล็ก เป็น 1 จุดใหญ่ มีระบบกันสั่น Sensor-shift และระบบโฟกัสครอบคลุมพื้นที่ 100% ของเซนเซอร์ แตะตรงไหนก็โฟกัสไวเท่ากัน ส่วนกล้องอัลตราไวด์มีความละเอียด 12MP ใช้สำหรับถ่ายภาพหรือวิดีโอมุมกว้าง

สเปก iPhone 15
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 60Hz
– รองรับ HDR
– รองรับ True Tone
– ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง)
ชิป : A16 Bionic
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ :
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 171 กรัม

สเปก iPhone 15 Plus
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 60Hz
– รองรับ HDR
– รองรับ True Tone
– ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง)
ชิป : A16 Bionic
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 201 กรัม

สรุปข้อมูล iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีอะไรใหม่บ้าง?
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.1 และ 6.7 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และรองรับฟีเจอร์ Always On Display สำหรับดูเวลา สถานะ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ

ของใหม่ที่น่าสนใจคือ ‘ปุ่ม Action’ ใหม่ เป็นปุ่ม haptic feedback อเนกประสงค์ที่เข้ามาแทนปุ่ม Mute เดิม ปุ่มนี้รองรับการตั้งค่าเป็นชอร์ตคัตที่หลากหลาย ตามแต่ผู้ใช้งานกำหนด เช่น ปิดเสียง เปิดสั่น เปิดไฟฉาย เป็นต้น นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นยังได้พอร์ต USB Type-C ด้วยเช่นกัน โอนไฟล์เร็วขึ้นสูงสุด 20 เท่า

นอกจากนี้ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ยังเปลี่ยนวัสดุกรอบตัวเครื่องจากสเตนเลส เป็นไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ แข็งแรงกว่า ทนทานกว่า และที่สำคัญน้ำหนักเบากว่า ทำให้เป็นรุ่น ‘Pro’ ที่เบาที่สุดที่ Apple เคยทำมา

iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ขับเคลื่อนด้วยชิป A17 Pro รุ่นล่าสุด พร้อมจีพียู 6 แกนใหม่ รองรับ ray tracing ในระดับฮาร์ดแวร์ โดย Apple เคลมว่าแรงกว่าเดิมมาก ส่วนกล้องหลัง 3 ตัว ทุกเลนส์จะได้รับการโคตติงด้วยเทคโนโลยีนาโน ช่วยลดแสงแฟลร์หน้าเลนส์ กล้องแต่ละตัวประกอบด้วย กล้องหลัก 48MP ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2 กล้องอัลตราไวด์ 12MP และกล้องเทเลโฟโต 12MP ซูมไกล 3 เท่า ในขณะที่ iPhone 15 Pro Max อัปเกรดกล้องเทเลโฟโต เซนเซอร์ใหญ่ขึ้น 25% ซูมออปติคัลไกลสุด 5 เท่า ระยะเทียบเท่า 120 มม.

สเปก iPhone 15 Pro
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ Always On Display
ชิป : A17 Pro
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP, ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, ระบบกันสั่น OIS
– กล้องเทเลโฟโต 12MP, ซูมออปติคัล 3 เท่า, ระบบกันสั่น OIS
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 3 (สูงสุด 10Gb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 187 กรัม

สเปก iPhone 15 Pro Max
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ Always On Display
ชิป : A17 Pro
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP, ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, ระบบกันสั่น OIS
– กล้องเทเลโฟโต 12MP, ซูมออปติคัล 5 เท่า, ระบบกันสั่น OIS
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 3 (สูงสุด 10Gb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 187 กรัม

ราคาและการวางจำหน่าย
- iPhone 15 – ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
- iPhone 15 Plus – ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท
- iPhone 15 Pro – ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro Max – ราคาเริ่มต้น 48,900 บาท

Apple จะเริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่น ในวันที่ 15 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19​:00 น. และจะวางขายตามปกติต่อไปในวันที่ 22 กันยายน

‘ฝรั่งเศส’ สั่ง ระงับขาย ‘iPhone 12’ หลังพบแผ่รังสีเกินมาตรฐาน ยัน หาก Apple ไม่รีบแก้ไข จะสั่งเรียกคืนสินค้าที่ขายออกไปทั้งหมด

(13 ก.ย. 66) นายฌ็อง-โนเอล บาร์โร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เลอปารีเซียง ซึ่งมีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน เมื่อวันอังคาร (12 ก.ย.) ว่า แอปเปิลต้องยุติการจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่น ‘iPhone 12’ ในฝรั่งเศส เนื่องจากมีการแผ่รังสีสูงเกินมาตรฐาน

นายบาร์โรระบุว่า ANFR ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านรังสีของฝรั่งเศส ได้แจ้งการตัดสินใจเรื่องระงับการจำหน่าย ‘iPhone 12’ ในฝรั่งเศสกับแอปเปิลแล้ว หลังผลการทดสอบระบุว่า อัตราการดูดกลืนพลังงานจำเพาะ (SAR) ของ iPhone 12 สูงเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดเอาไว้เล็กน้อย

นายบาร์โรระบุว่า การปรับปรุงซอฟต์แวร์เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องรังสีดังกล่าว โดยแอปเปิลวางจำหน่าย iPhone 12 ตั้งแต่ปี 2563

“แอปเปิลน่าจะตอบสนองภายใน 2 สัปดาห์ แต่หากแอปเปิลไม่ทำเช่นนั้น ผมจะสั่งให้เรียกคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ iPhone 12 ทั้งหมด ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเท่าเทียมกัน รวมถึง บริษัทดิจิทัลรายใหญ่” นายบาร์โร กล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหภาพยุโรป (อียู) กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับ SAR ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เอาไว้ ซึ่งการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นระบุว่า รังสีดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการก่อให้เกิดมะเร็ง

นายบาร์โรกล่าวด้วยว่า ANFR จะส่งผลการทดสอบรังสีให้หน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบประเทศอื่น ๆ ในอียูและว่า “การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบแบบทวีคูณ”

อย่างไรก็ตาม แอปเปิลยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว

‘Apple’ เปิดให้อัปเดต iOS 17.0.3 แก้ปัญหาเครื่องร้อน พร้อมปรับปรุงระบบหวังเสริมความปลอดภัยในการใช้งาน

(5 ต.ค. 66) ‘แอปเปิล’ (Apple) เปิดให้ผู้ใช้ไอโฟน (iPhone) อัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 17.0.3 แล้ว ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาอุปกรณ์เกิดความร้อนระหว่างใช้งานมากเกินไป

ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ iPhone 15 Pro และ Pro Max บางส่วนได้ออกมาแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับการที่ด้านข้างหรือด้านหลังของอุปกรณ์จะร้อนมากขณะเล่นเกม พูดคุยโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลผ่าน FaceTime ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายผิดหวัง

ทั้งนี้ Apple ได้ออกมาชี้แจงว่า สาเหตุที่ทำให้อุปกรณ์ร้อนมาจากข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์และการทำงานของแอปพลิเคชันในเครื่องที่มากเกินไป โดยอุปกรณ์อาจร้อนขึ้นในช่วง 2-3 วันแรก เนื่องจากต้องทำงานเพื่อตั้งค่าและกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวกับการใช้วัสดุไทเทเนียมในการออกแบบอีกด้วย

นอกจากนี้ iOS 17.0.3 ยังได้รับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาช่องโหว่จากเคอร์เนลและ WebRTC ด้วย บริษัทจึงแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันนี้

อย่างไรก็ตาม Apple ยืนยันว่าการอัปเดต iOS 17.0.3 จะไม่ทำให้การทำงานของชิป A17 Pro ขุมพลังสำคัญของ iPhone 15 ซีรีส์ Pro ช้าลง

‘Microsoft’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก แซงหน้า!! ‘Apple’ หลังได้รับแรงหนุนจากเอไอ

(15 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Business Tomorrow โพสต์ข้อความระบุว่า…

‘Microsoft’ แซงหน้า ‘Apple’ สู่บริษัทที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลกถือเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการบริษัทตามราคาหุ้น (Market Cap.) สูงที่สุดในโลก แซงแอปเปิล (Apple) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังปิดการซื้อขายในตลาดหุ้นคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จากที่แซงได้ชั่วคราวเมื่อวันก่อน

ซึ่งมูลค่ากิจการของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่แอปเปิลอยู่ที่ 2.87 ล้านล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้แอปเปิลจึงมีโอกาสกลับมาแซงได้เช่นกัน ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์มีมูลค่ากิจการสูงกว่าแอปเปิลช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งในปี 2018 และปี 2021

โดยปัจจัยบวกที่ทำให้มูลค่ากิจการไมโครซอฟท์เพิ่มสูงขึ้นคือ AI โดยเฉพาะจากการลงทุนใน OpenAI และการประกาศผลักดันฟีเจอร์ด้าน AI ต่าง ๆ ออกมาโดยตลอด ทำให้ไมโครซอฟท์ได้รับความเชื่อมั่นสูงว่าจะได้โอกาสจากการเติบโตของ AI ที่เป็นธีมสำคัญทางเทคโนโลยีในปีนี้ ขณะที่แอปเปิลนั้นมีข่าวที่ส่งผลกระทบหลายอย่าง ตั้งแต่ Apple Watch อาจถูกสั่งห้ามขายในอเมริกา, บทวิเคราะห์ของธนาคาร Barclays ที่ปรับลดมูลค่าของแอปเปิลลง, ข่าวอุปกรณ์ถูกสั่งแบนจากหน่วยงานของรัฐบาลจีน และอื่น ๆ

2 เหตุผลที่ลูกค้าเริ่มส่งคืน Apple Vision Pro เพื่อรับเงินคืนเต็มจำนวน ใช้แล้วเหมือนคนเมารถ-ครีเอเตอร์ทำคอนเทนต์รีวิวจบแล้วจาก

เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.67) รายงานจากหลายแหล่งบนโซเชียลมีเดียกำลังพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Apple Vision Pro เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวนกำลังเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร?

Apple Vision Pro อุปกรณ์เพื่อการเข้าสู่โลก Mixed-reality หรือ Spatial computer ตามที่ Apple ชอบเรียก หลังจากเปิดจำหน่ายและส่งมอบสินค้าออกไปให้ผู้ที่สั่งจองในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้สร้างกระแสในโซเชี่ยลกันอย่างคึกคัก มีการโพสต์ข้อมูลและการรีวิวจากผู้ใช้ รวมถึงการโชว์ประสิทธิภาพการทำงานที่ตื่นตาตื่นใจออกมามากมายสำหรับผู้ที่ได้สินค้ากันไปการส่งมอบล็อตแรก 

แล้วทำไมถึงมีคนส่งคืนอุปกรณ์เพื่อขอรับเงินคืนกันแล้ว?

ประการแรก คาดว่ามาจากกลุ่มคนที่วางแผนไว้ตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ Vision Pro พวกเขาตั้งใจที่จะส่งคืนอุปกรณ์ภายในกรอบเวลาการรับประกันความพึงพอใจของ Apple ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศที่กำหนดเอาไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวน โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเป็นเหล่าบรรดาครีเอเตอร์ ผู้ที่รับสินค้ามาเพื่อจัดทำคอนเทนต์ เมื่อถ่ายวิดีโอหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดียสำเร็จแล้ว การเก็บสินค้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก่อนวันศุกร์ซึ่งเป็นเส้นตายที่จะถึงนี้ พวกเขาที่ได้สินค้ามาเป็นล็อตแรกจะต้องรีบทำเรื่องขอส่งคืนเพื่อจะได้ประหยัดเงินเป็นจำนวน 3,499 ดอลลาร์ไปในกระบวนการนี้นั้นเอง

แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเป็นเรื่องน่ากังวลมากกว่าสำหรับ Apple นั้นคือ กลุ่มลูกค้าจริงที่พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า อุปกรณ์สวมใส่ตัวนี้ไม่เหมาะสำหรับพวกเขาในการใช้งาน

เมื่อดูตามความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียจะพบว่า เหตุผลของคนจำนวนมากที่ขอส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro มาจากอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในอุปกรณ์สวมใส่บนใบหน้า มันคืออาการ Motion Sickness นั้นเอง พวกเขามีอาการปวดหัวคล้ายกับคนเมารถในขณะใช้งาน มันเกิดขึ้นประจำกับอุปกรณ์ประเภทนี้แม้ทาง Apple จะพยายามเพิ่มความคมชัดและปรับให้ระบบโฟกัสสามารถทำงานร่วมกับสายตามนุษย์ได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม อาการเหล่านี้ก็ยังคงไม่หายไป บางคนสามารถทนใช้งานได้นานโดยที่ไม่รู้สึกอะไร แต่กับบางคนพวกเขาใช้งานได้เพียงในเวลาไม่นานเท่านั้นก็จะเกิดอาการเวียนหัวหรือปวดหัวแบบคนเมารถในทันที

แม้ว่ารายงานข่าวจะพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro จะดูเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกสำหรับอุปกรณ์ราคาหลักแสนบาท แต่ก็ยากที่จะบอกว่าปัญหาใหญ่สำหรับ Apple เพราะเราก็ไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงของการส่งมอบสินค้าคืน แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือเหตุผลที่ผู้คนบอกแก่ Apple ในการส่งคืนสินค้า จะเป็นการกระตุ้นให้วิศวกรและนักออกแบบนำไปพัฒนาเพื่อเริ่มสร้างอุปกรณ์รุ่นถัดไป
เพราะแม้ทีมพัฒนาของ Apple เอง ที่ทำงานอยู่กับ Vision Pro พวกเขาก็ยังเชื่อว่าอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 4 เจนเนอเรชั่นกว่าอุปกรณ์จะเป็นรูปเป็นร่างตามอุดมคติที่ตั้งใจของเขานั่นเอง

‘Apple’ ถอดใจ!! เตรียมยุบโปรเจกต์ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คาด!! สู้ศึกบริษัทเทคฯ อื่น ที่นำร่องไปไกลไม่ไหว

(28 ก.พ.67) ถือเป็นหนึ่งโปรเจกต์ที่ Apple วาดหวังจะให้เกิดกับแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ซึ่งมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 2,000 คน ในตำแหน่งวิศวกร และนักออกแบบ ซึ่ง Apple มีการทุ่มเงินไปกับโปรเจกต์นี้ หลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าว่าจะเปิดตัว Apple Car ให้ได้ภายในปี 2028 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทาง Bloomberg ได้รายงานว่า Apple กำลังเตรียมยุบโปรเจกต์นี้แล้ว และจะทำการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปยังแผนกพัฒนา Generative AI แทน ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่า เพื่อสู้ศึกกับบริษัทเทคอื่น ๆ อย่างเช่น Microsoft และ Google ที่นำหน้าเรื่องนี้ไปแล้ว รวมถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้าสู่ Red Ocean ที่มีทั้งแบรนด์จีนแข่งดุ รวมถึง Tesla ที่วิ่งมาไกลกว่า Apple หลายช่วงตัว

'กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ' ยื่นฟ้อง Apple ปม 'ไอโฟน' ผูกขาดตลาดมือถือ ราคาแพง!! แถมสร้างความยุ่งยาก หากใครคิดเปลี่ยนไปใช้มือถือรายอื่น

(22 มี.ค. 67) เอเอฟพี รายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกายื่นฟ้องร้อง แอปเปิล บริษัทคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ระดับโลกสัญชาติอเมริกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มี.ค. ในข้อกล่าวหาว่าไอโฟน ผูกขาดตลาดโทรศัพท์มือถืออย่างผิดกฎหมายด้วยการยับยั้งการแข่งขันและตั้งราคาสูงเกินไป

คดีดังกล่าวเป็นการฟ้องโดย 17 รัฐและพุ่งเป้าโจมตีไอโฟนซึ่งทำรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐจากการผูกขาดตลาด และทำให้ผู้ใช้งานต้องเผชิญกับความยุ่งยากเมื่อเปลี่ยนการใช้งานจากไอโฟนเป็นโทรศัพท์มือถือยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีราคาถูกกว่า

ข้อมูลจากเอกสารฟ้องร้องบางส่วนระบุว่า ผู้ใช้งานอุปกรณ์ของบริษัทแอปเปิลถูกบีบบังคับให้อยู่ในระบบนิเวศของแอปเปิลและต้องซื้ออุปกรณ์ของแอปเปิลซึ่งมีราคาแพง

นายเมอร์ริก การ์แลนด์ อัยการสูงสุดกล่าวว่า “ผู้บริโภคไม่ควรต้องจ่ายราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากบริษัทฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หากปล่อยไว้โดยไม่มีใครทักท้วงแอปเปิลจะยังคงเดินหน้าการผูกขาดตลาดสมาร์ตโฟนต่อไป”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top