Thursday, 3 July 2025
โดนัลด์ทรัมป์

ผู้อพยพประท้วงรบ.ทรัมป์ บอยคอตหยุดงาน แสดงพลังเป็นเบื้องหลังผู้สร้างศก.อเมริกา

(4 ก.พ. 68) สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า บรรดาประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้อพยพ ต่างออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายจับกุมและเนรเทศผู้อพยพของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่นครลอสแอนเจลิส (LA) ซึ่งมีการรวมตัวประท้วงหลายจุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า การประท้วงทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐภายใต้แคมเปญ Day without immigrations ที่นครลอสแองเจลิส กลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังศาลากลาง LA พร้อมโบกธงและถือป้ายต่อต้านมาตรการแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ก่อนที่บางส่วนจะเคลื่อนตัวไปปิดกั้นทางด่วนหมายเลข 101 ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตในใจกลางเมืองนานหลายชั่วโมง ขณะที่เมืองริเวอร์ไซด์ ทางตะวันออกของ LA ก็มีการชุมนุมเช่นกัน โดยบางกลุ่มใช้รถยนต์เบิร์นยางกลางสี่แยกเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ

ส่วนที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส กลุ่มภาคประชาสังคมได้เดินขบวนประท้วงนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ ที่มุ่งเน้นจับกุมและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย พร้อมเพิ่มงบประมาณปิดกั้นพรมแดน รายงานระบุว่ารัฐบาลทรัมป์จับกุมผู้อพยพเฉลี่ยวันละ 900-1,200 คน โดยเฉพาะในเมืองที่มีศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ เช่น นิวยอร์กและชิคาโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกาใต้ เปรียบเทียบกับยุครัฐบาลโจ ไบเดน ที่มีอัตราการจับกุมเฉลี่ยเพียง 311 คนต่อวัน

กลุ่มผู้อพยพหลายกลุ่มได้แสดงพลังในการสนับสนุนบทบาทของแรงงานต่างด้าวในฐานะกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการบอยคอตการทำงานและการงดซื้อสินค้าต่างๆ เพื่อแสดงออกว่าแรงงานต่างด้าวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากขาดแรงงานต่างด้าว สหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงได้

ขณะเดียวกันนาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือนปานามา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคลองปานามา ซึ่งทรัมป์เคยขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุม อ้างเหตุผลว่าค่าธรรมเนียมผ่านทางสูงเกินไปและปานามาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ของปานามายืนยันว่าคลองปานามาเป็นของประเทศตนและไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะพิจารณาข้อกังวลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทจีนและฮ่องกง รวมถึงมาตรการควบคุมผู้อพยพ

รูบิโอยังมีกำหนดเดินทางเยือนเอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน เพื่อหารือเรื่องการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ในการควบคุมการเข้าเมืองผิดกฎหมาย

สหรัฐฯ เตือนข้าราชการแข็งข้อ 'อีลอน มัสก์' ผิดกฎหมาย ทำเนียบขาวชี้เป็นตำแหน่ง'ลูกจ้างพิเศษ' ไร้เงินเดือน

(4 ก.พ. 68) อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้เอฟบีไอกำลังสอบสวนแบบกำหนดเป้าหมาย ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งที่มีความพยายามในการขัดขวางการทำงาของนายอีลอน มัสก์ ฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงานลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) 

สำหรับ DOGE ถูกตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง และลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า DOGE ถูกใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลที่มองว่าไม่สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์

มีรายงานว่านับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยสองพร้อมกับการตั้งให้อีลอน มัสก์ ทำงานในฐานะกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE  พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหลายส่วนพยายามขัดขวางการทำงานของผู้ช่วยของมัสก์ ในการเข้าถึงข้อมูลลับจำนวนมากโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหมาะสม

นายเอ็ดเวิร์ด มาร์ติน รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นว่า การต่อต้านความพยายามของมัสก์อาจนำไปสู่ผลทางกฎหมาย มาร์ตินกล่าวในแถลงการณ์ว่า "การตรวจสอบเบื้องต้นของหลักฐานที่นำเสนอต่อเรา บ่งชี้ว่าบุคคลและ/หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้กระทำการที่ดูเหมือนจะละเมิดกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายเจ้าหน้าที่ของ DOGE" มาร์ตินกล่าวว่า เอฟบีไอและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ กำลังเตรียม "ดำเนินการในทันที"

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มาร์ตินเปิดเผยจดหมายที่เขาเขียนถึงมัสก์ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่พยายามคุกคามหรือขัดขวางผู้ที่ทำงานร่วมกับมัสก์ โดยมัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณเพื่อตอบกลับข้อความของมาร์ติน

ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูง 2 คน จากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของมัสก์ หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางไม่ให้ตัวแทนของ DOGE เข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามของอาคาร จนเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสหรัฐฯ  โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังระดับสูงคนหนึ่งได้ต่อต้านความพยายามของทีม DOGE ที่จะเข้าถึงระบบการเงินของหน่วยงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกันด้านทำเนียบขาว ได้ออกเอกสารยืนยันสถานะการทำงานของนายอีลอน มัสก์ ว่าเขามาช่วยงานประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะ "ลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล" 

การยืนยันในเรื่องนี้ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า นายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นซีอีโอพันล้านเจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ ไม่ใช่อาสาสมัครแต่อย่างใด แต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างพนักงานรัฐแบบเต็มเวลา

ทางด้านกระทรวงยุติธรรมระบุคำนิยามของ ลูกจ้างประจำของรัฐบาลคือ บุคคลใดก็ตามที่ทำงานหรือคาดว่าจะทำงานให้กับรัฐบาลเป็นเวลา 130 วันหรือน้อยกว่าในช่วงระยะเวลา 365 วัน ขณะที่นายอีลอน มัสก์ ไม่ได้รับค่าจ้างในการทำงานแต่อย่างใด แต่เขามีใบรับรองความปลอดภัยระดับความลับขั้นสูงสุด นอกจากนี้ยังมีสำนักงานอยู่ที่ทำเนียบขาว และสามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินที่สำคัญของกระทรวงการคลัง ซึ่งส่งเงินออกไปในนามของรัฐบาลกลางทั้งหมดได้

ขณะเดียวกัน เนื่องจากเป็นลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล เขาจึงได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐบาลกลางว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งห้ามพนักงานของรัฐบาลเข้าร่วมในกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเงินของตัวเอง กฎหมายดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง แต่สามารถบังคับใช้ได้โดยกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

วิจารณ์ก้องโลก! ทรัมป์ผุดไอเดียยึดฉนวนกาซา ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ไปอยู่ที่อื่น

(5 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยแผนการที่น่าตกตะลึงว่า สหรัฐฯ ควรเข้าไปยึดครองฉนวนกาซาและให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยในการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่เดินทางมาเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า หากจำเป็น สหรัฐฯ อาจจะส่งทหารเข้าไปเพื่อจัดการพื้นที่และเคลียร์อาวุธที่ยังคงหลงเหลืออยู่ พร้อมทั้งเสนอให้ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยในฉนวนกาซาอพยพไปยังที่ดินในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

แผนดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก โดยบางฝ่ายมองว่าอาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และก่อให้เกิดการวิจารณ์จากหลายด้าน ทรัมป์กล่าวว่า เขามองว่าการเป็นเจ้าของและพัฒนาแผ่นดินฉนวนกาซาจะนำมาซึ่งเสถียรภาพในภูมิภาคและอาจจะสร้างงานหลายพันตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอาจเป็นปัญหาที่ไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางกฎหมายและการเมือง

ทรัมป์ยังกล่าวต่อว่า ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซาควรย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่มีสภาพที่ดีและอุดมสมบูรณ์ และไม่ควรกลับไปที่ฉนวนกาซาอีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่นั้นไม่เหมาะสมและเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากสงคราม นอกจากนี้ เขายังเสริมว่าผู้ที่ต้องการอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

คำแถลงของทรัมป์ได้สร้างความไม่พอใจในกลุ่มเจ้าหน้าที่อาหรับ รวมถึงความกังวลจากสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ หลายคน โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทำตามแผนดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปกครองฉนวนกาซา ได้ประณามคำกล่าวของทรัมป์ว่าเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งและความตึงเครียดในภูมิภาค

คำพูดของทรัมป์ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและนักวิจัยต่างประเทศหลายคน ซึ่งมองว่าแผนนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในด้านการเมืองและกฎหมาย และอาจไม่สามารถดำเนินการได้จริงในทางปฏิบัติ

ทรัมป์เพ่งเล็ง 'Shein-Temu' สั่งไปรษณีย์สหรัฐฯ หยุดรับพัสดุจากจีนและฮ่องกงชั่วคราว

(5 ก.พ. 68) ไปรษณีย์สหรัฐฯ (USPS) ประกาศเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ว่า จะระงับการรับพัสดุขาเข้าจากจีนและฮ่องกงชั่วคราว โดยไม่ระบุเหตุผลอย่างชัดเจน และจะมีการแจ้งความคืบหน้าต่อไป โดยในเบื้องต้น USPS ยืนยันว่า การจัดส่งจดหมายและพัสดุทั่วไปจากทั้งสองประเทศยังคงดำเนินการตามปกติ ส่วนทำเนียบขาวยังไม่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกข้อยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับพัสดุขนาดเล็กที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน/คน หรือที่เรียกว่า “de minimis” ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ช่วยให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซจากจีนสามารถหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า

การยกเลิกข้อยกเว้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าจากจีนและฮ่องกง ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์ข่าวเซมาฟอร์ (Semafor) รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเพิ่มชื่อบริษัทอีคอมเมิร์ซจากจีนอย่าง 'ชีอิน' (Shein) และ 'เทมู' (Temu) ในรายชื่อบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่ามีการใช้แรงงานบังคับ (Forced Labor) โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS)

แหล่งข่าวระบุว่า แม้รัฐบาลทรัมป์จะยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ แต่ก็อาจตัดสินใจไม่เพิ่มชื่อทั้งสองบริษัทในรายชื่อดังกล่าว

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่จีนตอบโต้การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยการกำหนดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และเตือนถึงมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทสหรัฐฯ รวมถึงกูเกิล (Google) ของอัลฟาเบท อิงค์ (Alphabet Inc.)

ทั้งนี้ ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็นจาก DHS, เทมู หรือชีอิน ต่อรายงานข่าวดังกล่าว

ทรัมป์เล็งสั่งยุบกระทรวงศึกษาฯ คืนอำนาจมลรัฐ หวังลดงบประมาณ แต่ติดด่านสภาคองเกรส

(5 ก.พ. 68) สื่อสหรัฐรายงานว่า ทำเนียบขาวเตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งเพื่อยุบกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นไปตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่สามารถยุบกระทรวงศึกษาธิการได้ตามใจชอบ หากไม่ได้รับการรับรองจากสภาคองเกรสเสียก่อน

สำหรับหน่วยงานด้านการศึกษาสหรัฐเคยก่อตั้งขึ้นในปี 1867 โดยประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน แต่ในขณะนั้นมีหน้าที่้เพียงรวบรวมข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับโรงเรียนทั่วประเทศ กระทั่งในปี  1979 ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ แห่งพรรคเดโมแครต ได้สั่งก่อตั้งกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐ (United States Department of Education)ขึ้น โดยมีหน้าที่กำหนดนโยบาย บริหารความช่วยเหลือด้านการศึกษาของรัฐบาลกลาง และช่วยประธานาธิบดีบังคับใช้กฎหมายการศึกษาเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนทุกคนจะได้รับการศึกษาที่จำเป็นและสมควรได้รับ กล่าวคือ เป็นหน่วยงานที่คอยกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนทั่วสหรัฐ มีหน้าที่ดูแลการจัดสรรเงินทุนสำหรับโรงเรียนของรัฐ บริหารจัดการเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีรายได้น้อย

รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐในสหรัฐฯ มีหน่วยงานด้านการศึกษาที่ดูแลสถานศึกษาและงบประมาณในพื้นที่ของตน แต่ไม่สามารถกำหนดหลักสูตรให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ตามที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ เขาต้องการให้แต่ละมลรัฐมีอิสระในการจัดการหลักสูตรและการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่า หากแต่ละมลรัฐต้องบริหารการศึกษาเอง อาจเกิดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากงบประมาณที่มีในแต่ละท้องถิ่นไม่เท่ากัน

ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง เขาเคยกล่าวในหลายครั้งว่า "อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะทำในช่วงเริ่มต้นบริหารคือการปิดกระทรวงศึกษาธิการในวอชิงตัน ดี.ซี. และโอนงานด้านการศึกษาทั้งหมดกลับไปยังหน่วยงานท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐต่างๆ"

ทรัมป์ยังกล่าวว่า " “ในสังคมอเมริกันโดยรวมแล้ว เราทุ่มเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับระบบการศึกษาของรัฐ แต่เราแทนที่จะอยู่บนสุดของรายชื่อการศึกษาโลก เรากลับอยู่ล่างสุดอย่างแท้จริง ... เดาสิเพราะอะไร"

จากข้อมูลในปี 2024 ระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐ ภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ได้จัดโปรแกรมประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้แก่นักเรียนมากกว่า 50 ล้านคนในโรงเรียนรัฐบาลประมาณ 98,000 แห่งและโรงเรียนเอกชน 32,000 แห่ง นอกจากนี้ยังให้ ทุนการศึกษา เงินกู้ และความช่วยเหลือด้านการทำงานและการเรียนแก่นักเรียนระดับหลังมัธยมศึกษาจำนวนมากกว่า 12 ล้านคน

ด้าน เบ็กกี้ พริงเกิล ประธานสมาคมการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานสำคัญ ออกแถลงการณ์เตือนเมื่อวันอังคารว่า คำสั่งที่กำลังจะออกของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อนักเรียนและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการยุบกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนหน้านั้นในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ได้เคยมีความพยายามยุบกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่ง กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยกรมประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล (DOGE) ซึ่งก่อตั้งโดยอีลอน มัสก์ การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นหลังจากพนักงานหลายสิบคนของกระทรวงฯ ถูกสั่งพักงานตามนโยบายของทรัมป์ ที่ต่อต้านโครงการสนับสนุนความหลากหลาย (DEI) คำสั่งดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดจำนวนพนักงานและโครงการของรัฐบาลในหน่วยงานต่างๆ

ผู้นำอาร์เจนตินาสั่งถอนตัวจาก WHO อ้างบริหารประเทศได้อิสระ-ลดภาระงบประมาณ

(6 ก.พ. 68) ทำเนียบรัฐบาลอาร์เจนตินาแถลงว่าประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเล มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยให้เหตุผลว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขได้อย่างยืดหยุ่นขึ้น และบริหารจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2566 มิเลดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ แม้ว่าอาร์เจนตินาจะมีสถิติเกินดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 แต่การส่งออกและการใช้จ่ายภายในประเทศกลับลดลง ส่งผลให้อัตราความยากจนพุ่งสูงขึ้น

นอกจากนี้ มิเลไม่เคยปิดบังความชื่นชมที่มีต่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเมื่อต้นปีนี้ ได้ลงนามคำสั่งบริหารให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO ทันทีหลังกลับเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่สอง เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา

CIA มีแผนจ้างออกล็อตใหญ่ ลดพนักงานและค่าใช้จ่ายตามนโยบายทรัมป์

(6 ก.พ. 68)สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) กำลังวางแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีแนวทางจ่ายเงินก้อนโตเพื่อจูงใจให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจ แนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับเปลี่ยนทิศทางการบริหารงานของ CIA ให้สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะในประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติ

แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบและงบประมาณที่เกี่ยวข้องยังคงเป็นความลับ แต่แหล่งข่าวระบุว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรให้ตอบสนองต่อนโยบายหลักของทรัมป์ได้อย่างเต็มที่ เช่น การต่อสู้กับกลุ่มค้ายาเสพติด การจัดการปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการดำเนินยุทธศาสตร์ด้านสงครามการค้า

ปัจจุบัน CIA อยู่ภายใต้การนำของ จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการคนใหม่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์และรับรองโดยวุฒิสภาเมื่อปลายปีที่แล้ว คาดว่าแรตคลิฟฟ์จะเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรตามนโยบายของทรัมป์ โดยมุ่งลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ แผนการจูงใจให้พนักงานลาออกของ CIA สอดคล้องกับแนวทางที่ทรัมป์เคยเสนอให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกว่า 2 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเปิดโอกาสให้ลาออกโดยสมัครใจภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยยังคงได้รับค่าจ้างและสวัสดิการจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 20,000 คนเท่านั้นที่ตอบรับข้อเสนอดังกล่าว ขณะที่สหภาพแรงงานเจ้าหน้าที่รัฐได้ยื่นฟ้องคัดค้านแผนการนี้ โดยเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อพนักงาน

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ CIA นับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญภายใต้การบริหารของทรัมป์ ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงระบบราชการและหน่วยงานความมั่นคงให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดี แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของ CIA ในอนาคต

ผุดประท้วงใหญ่ทั่วประเทศสกัด 'Project 2025' นโยบายสุดโต่งของทรัมป์ โวยสร้างสังคมขวาจัด

(6 ก.พ.68) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขยายวงกว้างทั้งในสหรัฐฯ และบนโลกออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากได้ออกมาชุมนุมประท้วงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อ 'Project 2025' แผนการที่ถูกมองว่าส่งเสริมแนวคิดขวาจัดและคุกคามหลักการประชาธิปไตย

การประท้วงครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แฮชแท็ก #buildtheresistance และ #50501 ซึ่งสะท้อนถึงเป้าหมายในการชุมนุม 50 จุด ใน 50 รัฐ ภายในวันเดียว โดยส่วนใหญ่จัดขึ้นที่ศาลากลางของแต่ละรัฐ และบางจุดขยายไปถึงเมืองใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ

ผู้ประท้วงได้ใช้ช่องทางออนไลน์อย่างกว้างขวาง ทั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งแจกจ่ายใบปลิวดิจิทัลที่เน้นย้ำถึงความเสี่ยงของ Project 2025 ซึ่งถูกวิเคราะห์ว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่อาจนำไปสู่การรวมอำนาจและทำลายหลักการพื้นฐานของสังคมอเมริกัน ข้อความสำคัญในการประท้วงรวมถึง 'หยุดยั้งลัทธิฟาสซิสต์' และ 'รักษาประชาธิปไตยให้คงอยู่'

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ตั้งแต่เรื่องการค้า การย้ายถิ่นฐาน ไปจนถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้พรรคเดโมแครตและกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านอย่างแข็งขัน

ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ประชาชนหลายพันคนในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ก็ได้ออกมาเดินขบวนต่อต้านนโยบายการเนรเทศผู้อพยพของทรัมป์ โดยเฉพาะในลอสแอนเจลิส ซึ่งการชุมนุมครั้งนั้นส่งผลให้ทางด่วนสายหลักต้องปิดทำการเป็นเวลาหลายชั่วโมง

การประท้วงครั้งล่าสุดนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของชาวอเมริกันจำนวนมากที่มองว่า Project 2025 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อระบบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ

ทำเนียบขาวให้อาณาสิทธิ์ 'อีลอน มัสก์' ชี้ขาดผลประโยชน์ทับซ้อนของบริษัทตัวเอง

(6 ก.พ.68) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่เป็นผู้นำในหน่วยงานปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐบาลภายใต้ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการพิจารณาว่าบรรดาบริษัท บริษัท Tesla, SpaceX, xAI, Neuralink และบริษัทต่างๆ ของเขาเองนั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างที่เขามีบทบาทตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางกับธุรกิจของเขาที่เป็นเจ้าของทั้ง 6 บริษัทหรือไม่

คาโรไลน์ ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวกล่าวระหว่างการแถลงข่าว กล่าวว่า “ท่านประธานาธิบดีได้รับคำถามนี้ไปแล้วในสัปดาห์นี้ และท่านได้กล่าวว่า หากอีลอน มัสก์พบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับสัญญาหรือเงินทุนที่หน่วยงาน Doge ดูแล เขาจะถอนตัวจากสัญญานั้น และเขาก็ยังคงปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”  

สำหรับอีลอน มัสก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็น 'ลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล' และเป็นหัวหน้าทีมของหน่วยงานรัฐบาลกลางที่เรียกว่ากรมประสิทธิภาพรัฐบาล ( Doge) ซึ่งอยู่ภายใต้กฎระเบียบด้านผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎเหล่านี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว  

มัสก์ วัย 53 ปี เป็นซีอีโอของ SpaceX บริษัทที่มีสัญญารัฐบาลมูลค่าสูงกับองค์การนาซาและกองทัพสหรัฐฯ โดยโครงการปล่อยจรวดของบริษัทอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยถูกสอบสวนโดยหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC)  

“ผมไม่เคยเห็นกรณีไหนที่บุคคลสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองว่าเขามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่” ดร.โดนัลด์ เคตเทิล ศาสตราจารย์กิตติคุณและอดีตคณบดีคณะนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยแมริแลนด์กล่าว “ในความเป็นจริง การกำหนดผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยตนเองก็ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนในตัวมันเองอยู่แล้ว”  

คำสั่งบริหารที่ก่อตั้งหน่วยงาน Doge ได้มอบหมายให้ทีมงานดำเนินการ ปรับปรุงเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ของรัฐบาลกลางให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของรัฐบาล  

นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง มัสก์ได้เร่งดำเนินงานอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ทีมงานของ Doge ได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานบริหารงานบุคคล (OPM) สำนักงานบริหารบริการทั่วไป (GSA) และกระทรวงการคลังสหรัฐ

'ทรัมป์' เสนอฮุบกาซาเปลี่ยนเป็น 'ริเวียร่าอาหรับ' นักวิชาการชี้แนวคิดอันตรายสุดโต่งของพวกล่าอาณานิคม

(6 ก.พ.68) กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับแนวคิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เสนอให้สหรัฐเข้าควบคุมฉนวนกาซาที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม และเปลี่ยนให้กลายเป็น 'ริเวียร่าของตะวันออกกลาง' โดยให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด 

ดร.ทาเมอร์ คาร์มูท ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบัน Doha Institute for Graduate Studies กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik ว่าแนวคิดของทรัมป์เป็นเรื่อง "ขาดความรับผิดชอบและไร้มนุษยธรรม" พร้อมระบุว่าที่ผ่านมาชาวกาซาคาดหวังให้สหรัฐฯ กำหนดแนวทางทางการเมืองเพื่อยุติความขัดแย้งและช่วยฟื้นฟูฉนวนกาซาหลังจากเผชิญกับความโหดร้ายจากสงคราม  

"นี่เป็นการรื้อฟื้นมรดกของลัทธิล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมขั้นสูง ที่ประเทศหนึ่งสามารถตัดสินชะตากรรมของอีกประเทศหรือประชาชนกลุ่มหนึ่งได้" คาร์มูทเตือน "นี่เป็นเรื่องน่าตกใจ และอันตรายอย่างยิ่ง"  

ขณะเดียวกันด้าน ดร.อัยมัน ยูซุฟ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอาหรับ-อเมริกันในปาเลสไตน์ กล่าวว่าชาวปาเลสไตน์ปฏิเสธแผนของทรัมป์ที่ต้องการย้ายพวกเขาออกจากฉนวนกาซาไปยังจอร์แดนและอียิปต์ ซึ่งไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้

ศาสตราจารย์ยูซุฟยังระบุว่า วอชิงตันและเทลอาวีฟกำลังใช้ความแตกแยกระหว่างกลุ่มฟาตาห์และฮามาสเพื่อผลักดันวาระซ่อนเร้นของตนเอง พร้อมเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ลดความขัดแย้งภายในและมุ่งสู่การปรองดองในระดับชาติ  

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากทรัมป์ต้องการช่วยเหลือจริง ควรใช้มาตรการควบคุมอิสราเอลอย่างเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งปฏิบัติการทางทหารในกาซาในอนาคตมากกว่าที่จะเปลี่ยนฉนวนกาซาซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งมานาน กลายเป็นสถานตากอากาศในฝันของเขา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top