Wednesday, 22 May 2024
เอเปก2022

‘MEA’ เปิดศูนย์ปฏิบัติการคุมระบบไฟฟ้าแบบบูรณาการ เสริมความมั่นคง-เตรียมรับมือเหตุฉุกเฉิน ช่วง ‘APEC 2022’

MEA เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมระบบไฟฟ้า บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมต่าง ๆ เตรียมความพร้อมและเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าสถานการณ์ฉุกเฉินในระดับสูงสุด ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการประชุม APEC 2022

วันนี้ (14 พ.ย. 65) นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง รองรับการประชุม APEC 2022 ระหว่างวันที่ 14 - 19 พฤศจิกายน 2565 พร้อมบูรณาการหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อให้เกิดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในระดับสูงสุด ณ อาคารวัฒนวิภาส การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ คลองเตย

สำหรับศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการประสานงานระหว่างศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยระบบ SCADA/EMS/DMS ทั้ง 2 แห่ง สถานีไฟฟ้า 22 สถานี รวมถึงการไฟฟ้านครหลวงทั้ง 18 เขต และสถานที่สำคัญ 26 แห่ง รองรับการจัดประชุม APEC 2022 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และหอประชุมกองทัพเรือ เป็นต้น 

โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการ Field Force Management หรือ FFM กับระบบแผนที่ GIS เพื่อใช้ในสถานการณ์เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ให้สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในรูปแบบต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ตามแผนรับมือเหตุวิกฤตของ MEA

เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางระบบไฟฟ้าสูงสุดในการจัดงาน APEC 2022 ครั้งนี้ MEA ยังได้ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ช่วยการเตรียมความพร้อมในด้านระบบไฟฟ้า ได้แก่ การใช้เทคโนโลยี Acoustic Camera และ Thermovision สแกนตรวจเสียงในคลื่นความถี่สูง และตรวจจับความร้อนของอุปกรณ์ไฟฟ้า การใช้ Drone ตรวจสอบระบบสายส่งไฟฟ้า ใช้เทคโนโลยีการตรวจจับความผิดปกติในระบบไฟฟ้า เช่น Partial Discharge Power Transformer รวมถึงการตรวจสอบอุโมงค์ไฟฟ้าใต้ดิน 230 kV ติดตั้ง Battery UPS และ Generator อีกทั้ง ระดมเจ้าหน้าที่ MEA กว่า 700 คน ประจำสถานีไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องทุกสถานี จัดเจ้าหน้าที่ประจำห้องไฟฟ้าของโรงแรมที่พักทุกแห่ง พร้อมรถปฏิบัติงานกว่า 250 คัน พร้อมด้วย ทีม MEA Ready Rider ซึ่งเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วที่ปฏิบัติภารกิจแก้ไขไฟฟ้าขัดข้องเร่งด่วน โดยทั้งหมดนี้ จะกระจายตำแหน่งการดูแลตามจุดต่าง ๆ ให้สามารถรองรับได้ในทุกสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง

ฉวยโอกาส 'ก่อม็อบ-ก่อเหตุวุ่นวาย' ช่วงเอเปค 2022 กฎหมายหนัก โทษชัด รัฐจะไม่ใจดีเหมือนที่ผ่านมา

เสรีภาพเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ความมีอารยะ ใครที่คิดจะออกมาป่วนในการประชุม APEC ครั้งนี้ อยากให้คิดใหม่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยทีเดียว

(14 พ.ย.65) เพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์วิดีโอเตือนบุคคลบางกลุ่มกำลังจะก่อม็อบ ในงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยมีใจความสำคัญดังนี้...

ในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กำลังจะมีคนบางกลุ่มเฉพาะพวกที่ออกมาประท้วงยกเลิก 112 ฉวยโอกาสก่อม็อบ หรือแม้กระทั่งก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในงาน นี่คืองานระดับโลกมีผู้นำเข้ามามากมาย มีสื่อเข้ามามากมาย 

โดยเตือนว่างานนี้ทางรัฐบาลไม่ได้ใจดีเหมือนที่ผ่านมา เพราะมีกฎกติกาต่างๆ ออกมา รวมถึงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น การประชุมครั้งนี้มีตำรวจ ทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบประมาณ 50,000 คน ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทุกจุดรอบกรุงเทพ และเพิ่มกล้องวงจรปิดกว่าหมื่นตัวที่สามารถเชื่อมโยงได้ทุกพื้นที่ หากมีการชุมนุมเรียกร้องล้ำเส้นขึ้นมาจนเป็นความวุ่นวาย ไปกระทบต่อผู้นำประเทศต่างๆ จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก และประวัติการก่อคดีจะถูกส่งต่อไปทั่วโลก

หากก่อม็อบแล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำต่างประเทศอย่างเช่น ปูติน หรือ สีจิ้นผิง หากถูกดำเนินคดีขึ้นมา จะมาเรียกร้องหาความถูกต้องแบบที่ผ่านมาไม่ได้ ที่สำคัญจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองประมุขต่างประเทศนั่นคือ มาตรา 133 และ 134 ซึ่งสองมาตรานี้ เป็นกฎหมายคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาทต่างประเทศ หรือผู้แทน, ตัวแทนประมุขรัฐต่างประเทศ โดยทั้งสองมาตราก็มีเนื้อหาเดียวกันกับมาตรา 112 ต่างแค่อัตราโทษของผู้ที่กระทำผิดเท่านั้น

“พอดูถึงตรงนี้อยากจะฝากถึงคนที่บอกให้ยกเลิกมาตรา 112 คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเรามีมาตรา 133 และ134 ที่คุ้มครองประมุขต่างประเทศด้วย มันจะกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งทางกฎหมาย ลองนึกภาพว่าทั่วโลกเขาจะมองประเทศเรายังไง คุ้มครองประมุขต่างชาติ แต่ไม่อยากคุ้มครองประมุขชาติตัวเอง” พิธีกรในคลิปกล่าว

ยังมีใจความอีกว่าหากมีคนบอกให้ยกเลิกมาตรา 112, 133, 134 ให้หมดเลย ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาชาวโลกทันที ทั้งที่ทั่วโลกมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง แต่เราไม่มีเลย ไม่คุ้มครองใครเลย แล้วใครจะอยากมาประเทศของเรา นั่นหมายความว่าเราไม่ให้เกียรติประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์และเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศ

ปลากุเลาเค็มป้าอ้วนตากใบ ขออภัยตอบกลับช้าลูกค้าล้น ยัน!! ตัวแทนหน่วยงานรัฐสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์

ดรามาปลากุเลาเค็มตากใบทำร้านปลากุเลาเค็มป้าอ้วนตากใบผลตอบรับเกินคาด แอดมินต้องออกมาขอโทษที่ตอบกลับช้าเพราะลูกค้าติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก พบราคา 1 กิโลกรัม 1,700 บาท ซื้อน้อยๆ เริ่มต้นที่ 3 ขีด 560 บาท รวมค่าส่งแล้ว แถมมีน้ำพริกปลากุเลา ปลากุเลาเค็มหย็อง และสมันปลากุเลาเค็มกินกับข้าวสวยขายอีกต่างหาก

วันนี้ (15 พ.ย.) จากกรณีที่ เฟซบุ๊ก ‘Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคใต้’ ของศูนย์ข่าวภาคใต้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายงานว่า ผู้ประกอบการปลากุเลาเค็มตากใบจังหวัดนราธิวาสหลายรายโวย เมื่อรู้ว่าปลากุเลาเค็มตากใบที่ถูกเลือกเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในงานเลี้ยงกาลาดินเนอร์แก่ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก 2022 กลับเป็นปลามาจากพื้นที่อื่นที่ถูกนำไปจัดเลี้ยง ไม่เข้าใจว่าทำไมเอาปลาจากที่อื่นมา ไม่ใช่ร้านของตน จึงไม่อยากให้นำชื่อของปลากุเลาเค็มตากใบไปใช้ รวมทั้งมีการนำภาพของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโอรังปันตัย จังหวัดปัตตานี ไปใช้โปรโมต จึงเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดว่าสั่งซื้อมาจากกลุ่มนี้ กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ

ต่อมาเฟซบุ๊ก ‘ปลากุเลาเค็มป้าอ้วนตากใบ’ โพสต์ข้อความระบุว่า จากกรณีดรามาในโลกออนไลน์เรื่องปลากุเลาปลอม ยืนยันว่ามาจากร้านของตน เพราะเป็นร้านจำหน่ายปลากุเลาเค็มเพียงรายเดียวในอำเภอตากใบที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดด้านคุณภาพที่เหมาะสมกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่น่าเชื่อถือ (มผช.) ในระดับ 5 ดาว ซึ่งก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ได้มาซื้อปลากุเลาเค็มไปจำนวน 1 ตัวเพื่อนำไปชิม กระทั่งมีการสั่งซื้อผ่านออนไลน์ แต่เนื่องจากมีการซื้อวันละหลายหมื่นบาทในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหลังจากมีกระแสข่าวเอเปก ทำให้ร้านไม่ได้ทันได้ตรวจสอบ ซึ่งยืนยันว่าหน่วยงานภาครัฐ โดยตัวแทนได้สั่งผ่านระบบออนไลน์ไป จึงเกิดข้อผิดพลาดกันในกลุ่มผู้ค้าปลากุเลาเค็มตากใบ

สอดคล้องกับนายชุมพล แจ้งไพร เชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังของไทย ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าเชฟในงานเลี้ยงกาลาดินเนอร์แก่ผู้นำเอเปก 2022 ยืนยันว่า กระแสโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าเมนูปลากุเลาตากใบเป็นปลากุเลาปลอมนั้นไม่เป็นความจริง เพราะได้สั่งปลากุเลาตากใบจากร้าน ‘ปลากุเลาเค็มตากใบป้าอ้วน’ ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป 5 ดาว ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มอื่นไม่ได้ทราบในข้อมูลตรงนี้ จึงเกิดความเข้าใจผิด โดยจะใช้เป็นส่วนประกอบในเซตอาหารจานหลักเพื่อเพิ่มความโดดเด่นในเรื่องของกลิ่นในซอสราดมัสมั่นเนื้อน่องโคขุนจากสหกรณ์โพนยางคำ จ.สกลนคร และข้าวกล้อง 9 ชนิดอบตะไคร้หอม

'อั๋น ภูวนาท' ตั้งคำถามรัฐ เอเปคครั้งนี้ไทยได้อะไร? ยันคนไทยไม่รู้เรื่องเลย นอกจากโปรโมตว่าไทยพร้อม

เมื่อไม่นานมานี้ ‘อั๋น ภูวนาท คุนผลิน’ นักร้อง นักจัดรายการวิทยุ และนักแสดงชาวไทยชื่อดัง ได้ไลฟ์พูดคุยกับแฟนคลับในช่องทางสื่อออนไลน์ส่วนตัว หลังจากนั้นช่อง ‘UNJA_FAMILY(แฟนคลับ)’ ในติ๊กต๊อกก็ได้ตัดบางช่วงบางตอนที่ ‘อั๋น ภูวนาท’ ได้พูดถึงการประชุมเอเปก 2022 ที่ในปีนี้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ โดยมีเนื้อหาว่า…

“พี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอเปกเลย รู้แค่ไทยเป็นเจ้าภาพ ไม่ได้อคตินะว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรก็ด่า แต่ถ้าทำดีพี่ก็ชมไง แต่พูดตรง ๆ นอกเหนือจากบอกว่าไทยกำลังจะมีเอเปก ควรบอกให้ประชาชนรู้หน่อยไหมว่าประเทศไทยจะได้อะไร”

“เราได้อะไร? ต้องได้แหละ แต่ได้อะไร? ต้องบอกกันหน่อยนะ เพราะให้หยุด 3 วันมันมีต้นทุนการหยุดอะ ไม่ได้บอกว่าเราไม่ได้ แต่อยากรู้ว่าเราได้อะไร บอกหน่อย จะได้ความรู้ จะได้เข้าใจ”

“อีกอย่างหนึ่งคือเชิญผู้นำระดับโลกมาตั้งมากมาย agenda หลัก ๆ ที่รัฐบาลและผู้นำของไทยจะคุยกับผู้นำที่มารวมตัวกันที่ไทย มีเรื่องอะไรบ้างที่จะเจรจาเพื่อผลประโชยน์ของประเทศไทย เรารู้เรื่องไหมว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร…ไม่รู้เรื่องเลยว่าจะขออะไร ผลักดันอะไร ขอความร่วมมืออะไร จากใคร และจะเสนออะไรให้กับประเทศไหน ในมุมไหน ไม่รู้เรื่องเลย”

หอการค้า มั่นใจ ศักยภาพไทยจัดเอเปก เชื่อ!! เม็ดเงินสะพัดมากถึง 2 หมื่นล้านบาท

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยถึงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ APEC ของประเทศไทยในสัปดาห์นี้ ซึ่งภาคเอกชนได้มีการประชุมและจัดการสัมมนาที่สำคัญเช่นเดียวกันกับภาครัฐ โดยในส่วนของภาคเอกชน ที่ กกร. เป็นเจ้าภาพ คือ การประชุม APEC CEO Summit ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของเอเปคจาก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยจะมีการเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญระดับโลก ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อต่างๆ ซึ่งขณะนี้ได้รับการตอบรับจากผู้นำเป็นจำนวนมาก โดยเป้าหมายหลักในการจัดงานครั้งนี้ คือ การส่งเสริมการเปิดเขตเสรีการค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนาในทุกมิติ

สำหรับโอกาสของคนไทยและเศรษฐกิจไทยนั้น การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC CEO Summit 2022 จะช่วยให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น และมีการพัฒนาระบบเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การลดและยกเลิกปัญหาอุปสรรคทางการค้า รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยให้เข้าสู่ระบบการค้าโลกได้ เป็นการสนับสนุนการนำไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นอกจากนั้น ยังจะช่วยเปิดโอกาสด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ให้แก่ผู้ประกอบการ และคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวของผู้นำ บุคคลสำคัญ รวมทั้งซีอีโอ จากทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนระดับโลก ที่ได้รับการเรียนเชิญเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางธุรกิจในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจของโลก

‘อุ๊งอิ๊ง’ เทียบฟอร์ม APEC 19 ปีก่อนยุคไทยรักไทย ไม่ใช่แค่เชิญใครมาหรือจัดงานได้ยิ่งใหญ่แค่ไหน

(16 พ.ย. 65) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ เฟซบุ๊ก เรื่อง APEC ระบุว่า...

เมื่อ 19 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยรักไทย ใช้ APEC เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศไทยที่กำลังฟื้นฟูหลังวิกฤตต้มยำกุ้งและโรคระบาดซาร์ส

เวที APEC ครั้งนั้น คือโอกาสสำคัญที่จะใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด รัฐบาลตอนนั้นมีความตั้งใจจะสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก APEC หรือ 21 เขตเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างและความหลากหลายสูง 

เพราะถ้าประเทศไทยเราทำข้อตกลงต่าง ๆ ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเกิดการจ้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้ เกษตรกรมีรายได้ ผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้า มีเงินตราไหลเข้าประเทศ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง จึงคาดหวังค่ะว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากการประชุม APEC ครั้งนี้ เหมือนครั้งเมื่อ 19 ปีที่แล้วที่รัฐบาลยึดถือและมีหัวใจคือประชาชนเป็นสำคัญ 

ดิฉันเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพและมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คน หลาย ๆ ประเทศ ให้ความสนใจในระดับเวทีโลก 19 ปีที่แล้ว เรายังทำได้ เป็นทั้งหนึ่งในผู้นำสำคัญของอาเซียนและยังถูกพูดถึงว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ในปีนี้ ก็ต้องทำได้เช่นกัน

‘ธนกร’ ซัด ‘พิธา’ วิจารณ์ ‘BCG Model’ มั่วนิ่ม เหน็บ!! ไม่พูดสักเรื่อง ก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้

‘ธนกร’ สวน ‘พิธา’ หยุดวิจารณ์ BCG Model ถ้าไม่รู้จริง อัดอย่าเอาทุกเรื่องมาปนกันจนประชาชนสับสน แจงปัญหา PM2.5 นายกฯ สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง เหน็บไม่พูดเรื่องที่ไม่รู้จริงสักเรื่องก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้ โว BCG Model จะเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สร้างมูลค่ากว่า 4.4 ล้านล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า รัฐบาลฝันที่จะใช้การประชุมเอเปกสร้างเศรษฐกิจสีเขียว แต่แค่ PM2.5 ฝุ่นข้ามชาติ ยังไร้ภาวะผู้นำที่จะแก้ไขว่า ถ้านายพิธาไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรเพื่อให้ตัวเองได้คะแนนนิยม การไม่วิจารณ์เรื่องการประชุมเอเปกแบบมั่ว ๆ ด้วยชุดข้อมูลผิด ๆ สักเรื่องก็คงไม่มีใครหาว่านายพิธาเป็นใบ้ เพราะนายพิธาไม่ควรเอาทุกเรื่องมาโยงเป็นเรื่องเดียวกันจนทำให้ประชาชนสับสน 

ทั้งนี้ เรื่อง BCG Model เป็นเรื่องหลักที่รัฐบาลจะนำไปหารือในการประชุมเอเปกครั้งนี้ ซึ่งเป็นจุดแข็งในภาคเกษตรของไทย มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะ และเน้นการใช้กระบวนการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงในอนาคตการประกอบธุรกิจภายใต้แนวคิด BCG อาจจะได้ประโยชน์ทางด้านภาษีเมื่อทำการค้าระหว่างประเทศด้วย สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหนึ่งทางออกที่ครอบคลุมให้ทุกการพัฒนาไม่มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลด้วย 

ส่วนเรื่องปัญหา PM2.5 นั้น รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ดังนั้น หากนายพิธาไม่รู้ก็ควรจะหาข้อมูลให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์แบบตีหัวแล้วเข้าบ้าน ซึ่งไม่น่าจะใช่แนวทางของนักการเมืองรุ่นใหม่อย่างที่พรรคนายพิธามักจะกล่าวอ้างอยู่บ่อย ๆ

นายธนกร กล่าวอีกว่า BCG Model ดำเนินการภายใต้นโยบายของรัฐบาลไทยตามแผนการปฏิบัติด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2570 สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลาย ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งยังสอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย 

‘ทิพานัน’ เผย ประชาชนให้ความสนใจ APEC 2022 พร้อมชู ‘BCG โมเดล’ พัฒนาศก.ไทย กระจายรายได้สู่ฐานราก

‘ทิพานัน’ เผยประชาชนตื่นตัวให้ความสนใจการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก โชว์ศักยภาพไทยพัฒนาเศรษฐกิจ BCG โมเดล กระจายรายได้สู่ฐานราก โต้เพื่อไทยชูทักษิณนักโทษหนีคดีเป็นแบบอย่างน่าอายไปทั่วโลก

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนและช่องทางสื่อสารในสังคมออนไลน์ มีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจและตื่นตัวในการเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปก 2022 ในช่วงสัปดาห์นี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำเสนอประเทศไทยในมิติต่าง ๆ รวมถึง ‘เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG’ เพื่อให้เอเปกมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจน สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งผลักดันและส่งเสริมนั้น ได้รับความสนใจจากนานาชาติ โดยเฉพาะศักยภาพทางด้านการออกแบบสินค้าเชิงสร้างสรรค์จากวัสดุเหลือใช้ในภาคอุตสาหกรรม การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่หลายผลิตภัณฑ์ของไทยได้มาตรฐานสากลและวางจำหน่ายในยุโรปบางประเทศแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ในชุมชนถึงรากหญ้า 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า กระแสโมเดลเศรษฐกิจ BCG ยังปลุกให้บรรดาสตาร์ตอัปในประเทศให้ความสนใจและเข้าใจโมเดล BCG มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เมนูอาหารของผู้นำเอเปกที่นำวัตถุดิบชั้นดีจากทั่วประเทศมาประกอบอาหาร กลายเป็นสินค้าขายดี นำเสนอซอฟต์พาวเวอร์อย่างเห็นผล สร้างรายได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มการประชุมอย่างเป็นทางการนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่สำคัญการประชุมเอเปกยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ทำหน้าที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพหลัก จัดการประชุมสุดยอดซีอีโอแห่งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก 2022 หรือ ‘เอเปก ซีอีโอ ซัมมิท 2022’ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พ.ย.65 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่มีภาคเอกชน ผู้นำและซีอีโอระดับชั้นนำของภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่จะมีการนำประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เข้ามาแลกเปลี่ยนเพื่อต่อยอดกัน โดยเป้าหมายหลักจะเน้นในเรื่องของการส่งเสริมการเปิดเขตเสรีการค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนาในทุกมิติ

‘ชัชชาติ’ เตือนม็อบห้ามเคลื่อนขบวน-ค้างคืน ชี้!! หากออกจากลานคนเมือง กทม.ไม่รับผิดชอบ

(16 พ.ย. 65) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมกิจกรรมที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า) ถึงกรณีเปิดพื้นที่ให้ชุมนุมในช่วงการประชุมเอเปคบริเวณลานคนเมืองวันนี้เป็นวันแรก ว่า กรุงเทพมหานครมีหน้าที่รับนโยบายจากภาครัฐมาปฏิบัติเป็นหลัก โดยมีการวางกำลังกระจายเจ้าหน้าที่พร้อมประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดเวลา

“จากกระแสว่าจะมีการชุมนุมค้างคืน ผมขอย้ำว่าไม่มีการอนุญาตให้ค้างคืน การชุมนุมต้องเป็นไปตามนโยบายและข้อตกลง เรื่องนี้ได้มอบหมายให้พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก และ พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย ซึ่งจากการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องขอให้เปิดพื้นที่ลานคนเมืองให้เป็นที่แสดงออกในการชุมนุม ประชาชนจะได้ไม่ต้องลงถนนหรืออาจไปกระทบต่อการเดินทางของผู้ร่วมประชุมเอเปค” นายชัชชาติ กล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าพื้นที่ลานคนเมืองทำให้ประชาชนแสดงออกได้ตามหลักประชาธิปไตย และไม่กังวลเพราะเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การชุมนุมแสดงความเห็นต่างเป็นเรื่องที่สากลเข้าใจ และเป็นเรื่องที่สวยงามหากไม่แสดงออกด้วยความรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากมีการเคลื่อนตัวออกนอกพื้นที่ที่กำหนด อำนาจหน้าที่จะเป็นของฝ่ายความมั่นคงในการจัดการดูแลทันที เพราะ กทม.ดูแลได้เฉพาะพื้นที่ที่กำหนดให้เท่านั้น และไม่มีการเชิญชวนให้ใครมาชุมนุม เพียงแต่เปิดพื้นที่ให้สามารถแสดงออกได้ ซึ่งได้เปิดมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว

‘ดร.นิว’ พารู้จัก ‘มายด์’ เด็กโข่งแห่งม็อบ 3 นิ้ว ชี้!! พูดดี-แสดงเก่ง-ฉลาดน้อย ไม่รู้ตัวกำลังถูกสนตะพาย

(17 พ.ย. 65) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง ‘ทำความรู้จักน้องมายด์สามนิ้วผ่าน 3 ข้อเรียกร้อง’

ดูเหมือนว่าน้องมายด์พึ่งจะได้รับบทพูดบทใหม่ ถึงได้ออกหน้าแสดงความห่วงใยต่อทรัพยากรของประชาชนในช่วงนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ น้องมายด์ไม่เคยออกมาช่วยกัน ทวงคืนป่าสงวนแห่งชาติสองพันกว่าไร่จากนายทุนตระกูลหนึ่งเลยแม้แต่นิดเดียว

[ ข้อ 1. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องยกเลิกนโยบาย BCG กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่พยายามนำเสนอเข้าที่ประชุมเอเปครับรอง เนื่องจากเป็นแนวคิดที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนชั้นนำในประเทศ ]

BCG (Bio-Circular-Green) Economy เป็นแนวคิดบูรณาการทางเศรษฐกิจ ที่ได้รวบรวมแนวคิดทางเศรษฐกิจที่หลากหลายมาไว้ด้วยกัน แล้วมุ่งเน้นนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม Bio Economy - เศรษฐกิจชีวภาพ Circular Economy - เศรษฐกิจหมุนเวียน Green Economy - เศรษฐกิจสีเขียว

นับได้ว่าเป็นแนวคิดที่ทันสมัยและเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่นี้เป็นอย่างมาก มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระจายรายได้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับกระแสประชาคมโลกในการเผชิญหน้ากับวิกฤตปัญหาโลกร้อนอีกด้วย

ตลอดจน BCG ยังเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้รับการยอมรับโดย APEC มาก่อนหน้านี้แล้วเสียด้วยซ้ำ เห็นได้จากเอกสารให้ความรู้ของ APEC ฉบับนี้ https://www.apec.org/publications/2022/08/understanding-the-bio-circular-green-(bcg)-economy-model

ไม่นึกว่าคนที่ร่ำเรียนวิศวกรรมโยธาจะขาดความรู้ความเข้าใจต่อแนวคิดสิ่งแวดล้อมพื้น ๆ เช่นนี้ ได้ข่าวว่าน้องมายด์อายุ 26 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เรียนหนังสือในระดับปริญญาตรีจบแล้วหรือไม่ แสดงถึงความไม่รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตนเอง

[ ข้อ 2. พลเอกประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับผู้นำกลุ่มเอเปค และต้องยุติบทบาทการเป็นประธานในที่ประชุมโดยทันที ]

ถ้าพลเอกประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรม ผู้นำและตัวแทนต่างชาติทั้งหมดก็คงไม่เดินทางมาร่วมในการประชุมในครั้งนี้หรอก ตัวน้องมายด์เองใหญ่มาจากไหน ถึงได้ทำตัวกร่างและกล้ามาออกคำสั่งผู้นำนานาชาติไม่ต่างจากเด็กโข่งที่เป็นเผด็จการทางความคิด

แถมน้องมายด์ยังฉลาดน้อยและอาจตกเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์รุนแรง เพราะวันที่ 18 พ.ย. นี้ น้องมายด์ไม่มีความจำเป็นต้องออกมาก่อม็อบสร้างปัญหาเลย เดี๋ยว 19 พ.ย. ก็จะมีพิธีส่งมอบการเป็นเจ้าภาพ APEC แก่สหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว

ดังนั้น การออกมาอ้างว่าต้องการหยุด APEC จึงเป็นเพียงแค่โฆษณาชวนเชื่อที่ดูน่าตลกขบขันเสียมากกว่า และไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังม็อบอีกด้วย เพราะถ้าต้องการหยุด APEC จริง ต้องหยุดตั้งนานแล้ว ไม่ใช่จะมาหยุดในวันท้าย ๆ แบบนี้

[ ข้อ 3. พลเอกประยุทธ์ ต้องยุบสภา เปิดทางให้มีการเลือกตั้ง จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อันจะทำให้ได้มาซึ่งผู้นำปประเทศที่สง่างาม คู่ควรกับการเป็นเจ้าภาพในการประชุมประชาคมโลกในอนาคต ]

อีกไม่นานพลเอกประยุทธ์ก็จะหมดวาระแล้ว ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่ได้นำไปสู่การสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามช่วงชิงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคอยชี้นำอย่างบิดเบือน มีแต่จะสร้างความแตกแยกครั้งมโหฬารเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว #ราษฎรหยุดAPEC2022 โดยมีน้องมายด์เป็นนักแสดงนำกับ 3 ข้อเรียกร้อง จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย มีแต่จะขัดขวางความเจริญและบั่นทอนผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ

อีกทั้งการใช้ม็อบสร้างสถานการณ์กดดันนำไปสู่ความรุนแรง จงใจเคลื่อนไหวต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า สร้างเงื่อนไขให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปราบปราม แล้วนำภาพมาขยายผลอย่างบิดเบือน ก็เป็นวิธีการสกปรกเดิม ๆ ที่ม็อบสามนิ้วกระทำมาโดยตลอด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top