Friday, 4 July 2025
เกาหลีใต้

‘ท่องเที่ยวเกาหลีใต้’ ร้องรัฐฯ ทบทวนมาตรการคัดกรอง นทท. หลังยอด ‘นักท่องเที่ยวไทยตัวจริง’ ลดฮวบ แต่ ‘ผีน้อย’ กระฉูด

(27 มิ.ย.67) ทางเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะโคเรียไทมส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 67 ว่า คนไทย ครองสัดส่วนอันดับ 1 ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย

ข้อมูลถึงช่วงปลายเดือน พ.ค. มีถึง 145,810 คน คิดเป็น 35.1% แซงหน้าผีน้อยจากประเทศเวียดนาม 79,366 ราย, จีน 64,151 ราย, ฟิลิปปินส์ 13,740 ราย, อินโดนีเซีย 12,172 ราย, กัมพูชา 10,681 ราย

ทำให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของเกาหลีใต้ ทางออนไลน์ K-ETA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงมากในปีนี้

จากข้อมูลเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 มีนักเดินทางชาวไทยเพียง 119,000 คน ลดลงถึง 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

กระทรวงยุติธรรม หน่วยงานที่พิจารณาคำขอของระบบ K-ETA ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ปฏิเสธคำขอการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าใช้หลักเกณฑ์เดียวกันหมดกับทุกประเทศ

การท่องเที่ยวเกาหลีใต้ จึงได้ร้องขอให้กระทรวงยุติธรรม ยกเว้นประเทศไทยไม่ต้องขอ K-ETA ชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากมีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 20 ล้านคนในปีนี้

กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า จำเป็นต้องใช้แนวทางที่ระมัดระวัง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้จำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมายในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ช่วงเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมได้กล่าวปกป้องระบบคัดกรองคนเข้าเมืองนี้ โดยระบุว่ามีคนไทยมากถึง 78% ที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่โดยชอบธรรม ของกระทรวงยุติธรรมที่จะลดจำนวนผู้ลักลอบอาศัยอย่างผิดกฎหมาย

ทางด้าน อริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี KTO (Korea Tourism Organization) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวเกาหลีของนักท่องเที่ยวไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อแพ็กเกจทัวร์ เป็นการวางแผนเดินทางด้วยตนเอง

"ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย คือ นักท่องเที่ยวไทย ไม่ผ่าน ตม. ขณะที่ ผีน้อยไทย ผ่าน นักท่องเที่ยวไทยจึงลดจำนวนลงเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงถูกส่งกลับ และหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมตัวเองถึงไม่ผ่าน ไม่ได้เข้าประเทศ"

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวเสริมว่า “เราได้ส่งคอมเมนต์ไปทางเกาหลีที่สำนักงานใหญ่ ว่า อยากให้ปรับปรุงระบบของ K-ETA ในการคัดกรองนักท่องเที่ยวให้ดีขึ้น เพราะมีประเด็นว่า นักท่องเที่ยวจริง พอยื่นแล้วเข้าไม่ได้ หรือขอ K-ETA ไม่ผ่าน เราก็ทำเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ให้เขาช่วยคุยกับหน่วยงานนี้หน่อย ให้คัดกรองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเราก็ทำได้แค่นี้"

มีคนกล่าวว่า “ผีน้อยที่ผ่าน อาจเพราะมีเอเจนซี่ มีการสอนมาอย่างดี ขณะที่นักท่องเที่ยว คิดว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว ก็แค่ถ่ายรูปพาสปอร์ตลงไป รูปไม่สวยบ้าง ไม่ตรงปกบ้าง”

"ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวบางคนขอ K-ETA แล้วไม่ผ่าน ก็ท้อใจ บอกว่าเกาหลีเข้ายาก ไม่ไปเกาหลีดีกว่า”

“ซึ่งการตรวจคัดกรองของเขาควรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตม. ก็เช่นกัน ควรตรวจคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราไม่สามารถไปแก้ไขมาตรการต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะการคัดกรองเข้าประเทศ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละประเทศอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำได้ คือ เสนอเขาไป”

‘เกาหลีใต้’ จุดประเด็นถกเถียง ‘ผู้สูงอายุ’ ควรขับรถเองหรือไม่ หลัง ‘ชายวัย 68 ปี’ ขับรถชนคนเดินเท้า ดับ 9 ราย กลางกรุงโซล

(3 ก.ค. 67) นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Too old to drive? Deadly Seoul car crash reignites debate on elderly driving ระบุว่า เหตุการณ์ชายวัย 68 ปี ขับรถชนคนเดินเท้าเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 4 คน ที่กรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา จุดประเด็นการถกเถียงในสังคมเกาหลีใต้ขึ้นมาว่า ผู้สูงอายุควรขับรถเองหรือไม่

ย้อนกลับไปในเดือน พ.ค. 2567 ทางการเกาหลีใต้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขซึ่งจะจำกัดการเข้าถึงทางหลวงและการขับรถในเวลากลางคืนสำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการขับขี่ ซึ่งสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่อายุ 65 ปีขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2563 ทำลายสถิติสูงสุดที่ 39,614 กรณีในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 31,072 ในปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5

ในเวลานั้น กระแสต่อต้านอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้านอายุทำให้ทางการต้องชี้แจงว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่อาวุโส’ ในกลุ่มอายุใดโดยเฉพาะ แต่มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงสูง’ ซึ่งถือว่าก่อให้เกิดอันตรายจากการจราจรที่มากขึ้นเนื่องจาก ไปสู่สภาวะทางสติปัญญาและทางกายภาพที่ลดลง ซึ่งทางการให้คำมั่นที่จะทำการสำรวจสาธารณะอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการตามแผนในปี 2568 หรือไม่

เนื่องจากเกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ขับขี่อาวุโสจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 4.74 ล้านคนเป็น 7.25 ล้านคนภายในปี 2573 และอุบัติเหตุสะเทือนขวัญในวันที่ 1 ก.ค. 2567 เรื่องผู้สูงอายุกับการขับรถก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้ง บางคนเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุเกินกำหนด เพื่อพิจารณาความสามารถในการขับขี่ของพวกเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ กล่าวว่ามีความจำเป็นต้องเข้มงวดแนวทางการตรวจสอบใบอนุญาตสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส

ซุง ฮเย-จิน (Sung Hye-jin) หญิงวัย 36 ปี ซึ่งทำงานอยู่ใกล้ศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ตนเห็นด้วยอย่างหนักแน่นขึ้นว่าควรมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส โดยยกความเป็นห่วงพ่อของตนเอง ซึ่งมีอายุ 73 ปีแล้ว แต่ยังเดินทางด้วยการขับรถเองบนทางหลวงเป็นเวลา 40 นาที ซึ่งเกาหลีใต้เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงต้องระมัดระวังกับผู้ที่ความสามารถในการขับขี่ลดลงตามอายุ นอกจากความปลอดภัยของผู้สูงอายุที่ขับรถเองแล้ว ตนก็ไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

บง ฮวา-จา (Bong Hwa-ja) หญิงชราวัย 80 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานล้างจานในร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า บริเวณนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่พนักงานออฟฟิศในช่วงเวลาอาหารกลางวันและอาหารเย็น แทนที่จะชี้นิ้ว ลองคิดดูว่าโชคดีแค่ไหนที่รถไม่ชนร้านอาหาร หากเป็นเช่นนั้น อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้สูงวัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น และอายุเป็นเพียงตัวเลข พวกเขาตั้งคำถามว่าผู้ที่มีอายุ 68 ปีถือเป็นผู้สูงอายุและทำอะไรไม่ถูกหรือไม่ อีกทั้งยังอ้างถึง ฮัน ด็อก-ซู (Han Duck-soo) นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ในปี 2565 ที่เข้ารับตำแหน่งก็มีอายุ 72 ปีแล้ว และกำลังจะมีอายุครบ 75 ปี ในปี 2567 นี้ ทำให้กลายเป็นบุคคลที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว

ในพื้นที่ออนไลน์ของเกาหลีใต้ ผู้ใช้ชื่อว่า แบ็ก ยอง-ดัม (Baek Yong-dam) แสดงความคิดเห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องจริงที่ปฏิกิริยาตอบสนองอาจลดลงตามอายุ แต่ก็ไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวหาผู้ขับขี่สูงอายุว่าขับรถไม่ดี และเสนอแนะให้บังคับใช้การตรวจสุขภาพโดยละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่าที่กำหนด ขณะที่ ศ.ลี แจ-มิน (Prof.Lee Jae-min) นักวิชาการด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าวว่า 65 ปีถือเป็นสัญลักษณ์ตามธรรมเนียมในบริบทของสังคมเกาหลี

“เป็นเวลานานที่สุดแล้วที่คนเราจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้อาวุโส โดยสามารถนั่งรถไฟใต้ดินได้ฟรีและมีสิทธิได้รับเงินบำนาญ แต่ทุกวันนี้ เมื่อพิจารณาจากสภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุแล้ว จึงมีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องว่าควรจะเก็บ 65 ไว้เป็นเส้นแบ่ง หรือจะขยับขึ้นเป็น 70 หรือแม้แต่ 75 ทั้งนี้ การสอบสวนอุบัติเหตุดังกล่าวยังอยู่ระหว่างดำเนินการ หากอายุของผู้ขับขี่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่แท้จริง ก็มีแนวโน้มว่าจะเร่งความคืบหน้าในการจัดเตรียมใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขสำหรับผู้ขับขี่ในช่วงอายุที่กำหนด” ศ.ลี กล่าว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ภายใต้หลักเกณฑ์ปัจจุบันของเกาหลีใต้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุเกิน 75 ปีจะต้องผ่านรอบการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 3 ปี และจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถทางปัญญาและการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจร ณ เวลาที่ต่ออายุ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปยังได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจรอีกด้วย สิ่งจูงใจที่เป็นเงินสดมูลค่า 100,000-300,000 วอน (2,670-8,010 บาท) จะถูกห้อยไว้เหมือนแครอท เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่สูงอายุคืนใบอนุญาตโดยสมัครใจ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้รับความนิยม โดยมีผู้ขับขี่เพียงประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่ทำเช่นนั้นในแต่ละปี

ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพและได้รับการรับรองความพร้อมในการขับขี่โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบใบขับขี่ของสิงคโปร์อีกครั้งได้ รอบการตรวจสอบซ้ำคือทุก ๆ 3 ปี โดยไม่จำกัดอายุสูงสุด

คนนับพันใน ‘เกาหลีใต้’ ล้มป่วย ‘อาหารเป็นพิษ’ เหตุ!! กิน ‘กิมจิ’ ที่ปนเปื้อน ‘โนโรไวรัส’

(7 ก.ค.67) พวกเจ้าหน้าที่ในเมืองนัมวอน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเกาหลีใต้ แถลงในตอนเช้าวันศุกร์ (5 ก.ค.) ยืนยันเคสผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ 996 เคส แต่สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าจำนวนดังกล่าวได้พุ่งเป็น 1,024 คน จนถึงช่วงบ่ายวันเสาร์ (6 ก.ค.)

เจ้าหน้าที่ระบุว่า กิมจิกะหล่ำปลียอดนิยม เกี่ยวข้องกับอาการป่วยของผู้คนเหล่านี้ ผ่านโครงการอาหารกลางวันตามโรงเรียนต่างๆ ภายในเมือง พร้อมบอกต่อว่านักเรียนและเจ้าหน้าที่จากโรงเรียน 24 แห่ง เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ป่วย ที่มีอาการอาเจียน ท้องเสียและปวดท้อง

โนโรไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายมาก และสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อน และจากคนที่ติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว คนส่วนใหญ่สามารถหายป่วยได้เองภายในไม่กี่วัน โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่มีบางส่วนที่อาการหนัก

บรรดาเจ้าหน้าที่ในเมืองนัมวอน เปิดเผยว่าพวกเขาได้เริ่มการสืบสวนทางด้านโรคระบาดวิทยาแล้วตั้งแต่วันพุธ (3 ก.ค.) เพื่อตรวจสอบหาแหล่งที่มาของโรค หลังได้รับรายงานเคสผู้ป่วยรายแรกหนึ่งวันก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่นั้นจำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 153 คนในวันพุธ (3 ก.ค.) เป็น 745 คน ในวันพฤหัสบดี (4 ก.ค.)

ชอย คยุง ซิค นายกเทศมนตรีของเมือง โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ในวันพฤหัสบดี (4 ก.ค.) ระบุว่าพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ใช้มาตรการตอบสนองเกินขอบเขตล่วงหน้าไว้ก่อน ในความพยายามป้องกันไม่ให้จำนวนผู้ป่วยลุกลามไปมากกว่านี้ ‘เราจะรับประกันความปลอดภัยของพลเรือน’ เขากล่าว

ทั้งนี้ พวกเจ้าหน้าที่ของเมืองบอกว่าตรวจพบโนโรไวรัสในบรรดาคนไข้ ในตัวอย่างที่เก็บจากสิ่งแวดล้อมและในกิมจิบางส่วนที่ส่งมอบไปยังโรงเรียนต่างๆ

ผลจากการตรวจสอบ กระตุ้นให้หน่วยด้านความปลอดภัยด้านอาหาร สั่งระงับการผลิตและการขายผลิตภัณฑ์ใดๆ จากบริษัทที่ผลิตกิมจิดังกล่าว ในขณะที่บริษัทแห่งนี้ก็อยู่ในกระบวนการสมัครใจเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่แจกจ่ายไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยชื่อบริษัทผู้ผลิตอย่างเป็นทางการ

‘นักการเมืองเกาหลีใต้’ โดนทัวร์ลง!! หลังโทษ ‘ผู้หญิง’ มีบทบาทมากขึ้น เหตุเป็นต้นตอทำ ‘ผู้ชาย’ ฆ่าตัวตายสูง มอง!! เป็นความคิดอันตราย-ไม่ฉลาด

(11 ก.ค. 67) นักการเมืองรายหนึ่งในเกาหลีใต้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อความเห็นที่อันตรายและไร้ข้อพิสูจน์ หลังเขาเชื่อมโยงเหตุผู้ชายฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกับกรณีที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในสังคม

โดย คิม คิ-ดุค สมาชิกสภาเมืองโซล อ้างว่า การมีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ของพวกผู้หญิงในที่ทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พวกผู้ชายหางานยากขึ้น และเจอความยากลำบากกว่าเดิมในการหาผู้หญิงที่ต้องการแต่งงานกับพวกเขา

เขากล่าวว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ "ประเทศของเราเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สังคมที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญและอาจอยู่เบื้องหลังบางส่วนของเหตุความพยายามฆ่าตัวตายที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ชาย"

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในชาติที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในบรรดาชาติร่ำรวยของโลก และอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เป็นหนึ่งในชาติที่มีประวัติเลวร้ายด้านความเท่าเทียมทางเพศเช่นกัน

ความเห็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคิม เป็นอีกคำพูดที่เกิดขึ้นจากการขาดความรู้ความเข้าใจโดยบรรดานักการเมืองผู้ชายเกาหลีใต้

คิม จากพรรคประชาธิปไตย มีคำประเมินเช่นนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนความพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานต่าง ๆ ตามแม่น้ำฮันของกรุงโซล

รายงานที่เผยแพร่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสภาเมือง พบว่า จำนวนความพยายามฆ่าตัวตายตามแม่น้ำฮัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 430 รายในปี 2018 เป็น 1,035 รายในปี 2023 ซึ่งในบรรดาผู้พยายามปลิดชีพตนเองนั้นมีสัดส่วนที่เป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นจาก 67% เป็น 77%

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการฆ่าตัวตาย ต่างพากันแสดงความกังวลต่อความเห็นของคิม ในนั้นรวมถึงซอง อิน ฮาน ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพจิตแห่งมหาวิทยาลัยยอนเซของกรุงโซล ที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ว่า "มันเป็นเรื่องอันตรายและไม่ฉลาดเลยที่กล่าวอ้างเช่นนี้โดยปราศจากหลักฐานที่พอเพียง"

เขาชี้ว่าทั่วโลกก็พบเห็นผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง และในหลายประเทศ ในนั้นรวมถึงสหราชอาณาจักร ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้ชายอายุต่ำกว่า 50 ปี

กระนั้นก็ตาม ศาสตราจารย์ซอง ชี้ว่าสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้ชายที่พยายามฆ่าตัวตายในกรุงโซล จำเป็นต้องได้รับการศึกษาทำความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ พร้อมระบุว่า มันน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทางสมาชิกสภาเมืองแสดงความคิดเห็นที่ก่อความขัดแย้งทางเพศ

ในเกาหลีใต้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ในจำนวนลูกจ้างที่ได้รับการจ้างงานแบบเต็มเวลา ขณะที่จำนวนผู้หญิงที่ทำงานแบบชั่วคราวหรือพาร์ทไทม์ก็ไม่สมส่วนกับผู้ชาย ทั้งนี้ แม้ช่องว่างทางเพศเกี่ยวกับค่าจ้างกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันพวกผู้หญิงก็ยังคงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายเฉลี่ยแล้วราว 29%

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านสตรีหนึ่งได้โผล่ขึ้นมาในเกาหลีใต้ นำโดยพวกชายหนุ่มที่หลงเชื่อผิด ๆ ที่อ้างว่าพวกเขาถูกเอาเปรียบจากความพยายามส่งเสริมวิถีชีวิตผู้หญิง

มุมมองดังกล่าวสะท้อนแนวคิดไปในทิศทางเดียวกับ คิม และในรายงานของคิม ได้สรุปว่าหนทางที่จะเอาชนะ ‘ปรากฏการณ์ผู้หญิงเป็นใหญ่’ คือส่งเสริมความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ เพื่อที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถมีความพึงพอใจต่อโอกาสที่เท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม ชาวเกาหลีใต้พากันไหลบ่าสู่สื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มเอ็กซ์ ประณามความเห็นของสมาชิกสภาเมืองโซลรายนี้ ว่าไม่อยู่บนหลักความเป็นจริงและเกลียดชังผู้หญิง หนึ่งในนั้นถึงขั้นตั้งคำถามว่านักการเมืองรายนี้กับพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกคู่ขนานกันหรือเปล่า

ด้านพรรคยุติธรรม กล่าวหาสมาชิกสภาเมืองรายดังกล่าวว่า "หาทางออกง่าย ๆ ด้วยการกล่าวโทษพวกผู้หญิงในสังคมเกาหลี ที่ต้องดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการเลือกปฏิบัติทางเพศ" พร้อมเรียกร้องให้เขาถอนคำพูดและวิเคราะห์ต้นตอปัญหาอย่างเหมาะสมแทน

เมื่อได้รับการติดต่อขอคำชี้แจงจากบีบีซี ทาง คิม อ้างว่าเขาไม่ได้มีเจตนาวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ถูกครอบงำโดยผู้หญิง และเพียงแค่ให้มุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับผลกระทบบางอย่างจากสิ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเขามีขึ้นตามหลังข้อเสนอทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง ที่ปราศจากหลักการทางวิทยาศาสตร์และบางครั้งออกแนวแปลกประหลาด อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อจัดการกับประเด็นที่ก่อแรงกดดันทางสังคมอย่างยิ่งในเกาหลีใต้ ในนั้นรวมถึงอาการป่วยทางจิต ความรุนแรงทางเพศและอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในโลก

เมื่อเดือนที่แล้ว สมาชิกสภากรุงโซลอีกคนในวัย 60 ปีเศษ ๆ เผยแพร่บนความบนเว็บไซต์ของทางการ ยุให้สาวเล่นยิมนาสติกและออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อเพิ่มอัตราการเกิด ขณะเดียวกันสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของรัฐบาลแนะนำอนุญาตให้เด็กผู้หญิงเริ่มเข้าโรงเรียนเร็วกว่าเด็กผู้ชาย โดยเชื่อว่าการสร้างช่องว่างของอายุระหว่างชายและหญิงในโรงเรียนจะสร้างความดึงดูดใจมากขึ้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยที่แต่งงานได้

'รมช.สุชาติ' เผยข่าวดี!! เจรจา 'KTEPA ไทย-เกาหลีใต้' รอบแรก จ่อเพิ่มตัวเลขส่งออกไทยไปเกาหลีใต้ได้สูงถึงร้อยละ 77

(11 ก.ค. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้กำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศนั้น ในการประชุมเจรจาจัดทำความตกลง KTEPA ครั้งที่ 1 ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ ที่มีการประชุมไปแล้วเมื่อวันที่ 9 - 11 กรกฎาคม 2567 โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ และฝ่ายไทยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะเจรจา และมีผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมคณะด้วย และฝ่ายเกาหลีใต้ มีนายคอนกิ โร เป็นหัวหน้าคณะเจรจา

โดย รมช.สุชาติ ได้กล่าวถึงผลการประชุมความตกลง KTEPA ระหว่างไทยและเกาหลีใต้ ว่า การร่วมกันเจรจาในครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ โดยคาดว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะมีการลงทุนจากเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในประเทศไทย

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเบื้องต้นของไทย ประเมินว่า ความตกลง KTEPA จะช่วยเปิดตลาดการค้าสินค้าและบริการ และการลงทุนเพิ่มเติมจาก FTA ที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยมีกลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกไปเกาหลีใต้มากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และประมง (อาทิ เนื้อไก่แช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป) ผลไม้เมืองร้อน (อาทิ มะม่วง ฝรั่ง และมังคุด) ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ (อาทิ แป้ง ซอสและของปรุงรส) ผลิตภัณฑ์ไม้ (อาทิ ไม้แปรรูป พาติเคิลบอร์ด ไม้อัดพลายวูด) และเคมีภัณฑ์ 

นอกจากนี้ ยังมีสาขาบริการที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดการค้าบริการของเกาหลีใต้ อาทิ บริการด้านธุรกิจ บริการการขนส่ง คลังสินค้า และบริการด้านโรงแรมและภัตตาคาร โดยคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น 1,282 - 1,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.32 - 0.44 ซึ่งเหล่านี้ จะส่งผลบวกต่อการส่งออกของไทยไปเกาหลีใต้ โดยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2,420 - 4,654 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 40.15 - 77.21

รมช.สุชาติ เผยอีกว่า ในการประชุมเจรจาจัดทำความตกลง KTEPA ครั้งที่ 1 นี้ มีประชุมในระดับคณะทำงาน ทั้งหมด 13 คณะ ประกอบด้วย 

1) การค้าสินค้า 
2) มาตรการเยียวยาทางการค้า 
3) กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 
4) พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 
5) มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช 

6) อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า 
7) การค้าบริการข้ามพรมแดน 
8) การลงทุน 
9) การค้าดิจิทัล 
10) การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 

11) ทรัพย์สินทางปัญญา 
12) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 
และ 13) ประเด็นทางกฎหมายและสถาบัน โดยคณะทำงานต่าง ๆ ได้หารือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย และเริ่มเจรจาข้อบทภายใต้ความตกลง KTEPA ในส่วนที่เกี่ยวข้อง 

นอกจากนี้ สองฝ่ายยังได้มีการจัดทำแผนงานการเจรจา โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีการเจรจาทั้งหมด 7 รอบและตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ เกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจรจาจัดทำความตกลง KTEPA ครั้งที่ 2 ในเดือนกันยายน 2567 ณ กรุงโซล

ในปี 2566 เกาหลีใต้เป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 14,736.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ 6,070.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และไทยนำเข้าจากเกาหลีใต้ 8,666.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม - พฤษภาคม) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 6,303.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทย 2,514.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้าจากเกาหลีใต้ 3,789.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ครอบครัว ‘สาวไทย’ บริจาคอวัยวะต่อชีวิตผู้ป่วยในเกาหลีใต้ 5 ราย หลังเสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย ระหว่างท่องเที่ยวในแดนกิมจิ

(12 ก.ค. 67) องค์กรรับบริจาคอวัยวะของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ปุริมา รุ่งทองคำกุล (Purima Rungthongkumkul) อายุ 35 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาล Inje University Haeundae Paik หลังจากเธอได้ทำการบริจาคอวัยวะให้แก่คนไข้คนอื่น ๆ 5 ราย

โคเรียไทม์สระบุว่า ปุริมา ซึ่งพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ เดินทางมาเที่ยวเกาหลีกับเพื่อนคนหนึ่ง ระหว่างนั้นเธอเกิดหมดสติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน และถูกรุดพาตัวส่งโรงพยาบาล

แม้ได้รับการรักษา แต่เธอก็ไม่ฟื้นคืนสติอีกเลย และถูกระบุว่าอยู่ในภาวะสมองตาย ทางครอบครัวรุดเดินทางมายังเกาหลีใต้หลังจากได้ทราบข่าว

ทางครอบครัวตกลงบริจาคอวัยวะของเธอ หวังว่าบางส่วนของ ปุริมา จะยังคงมีชีวิตต่อไปในร่างกายของคนอื่น

ครอบครัวระบุว่า "สำหรับเรานี่อาจเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ ในวัฒนธรรมไทย มีความเชื่อว่าเมื่อบุคคลรายหนึ่งเสียชีวิต พวกเขาจะกลับมาเกิดในชีวิตใหม่ เราคิดว่าการช่วยรักษาชีวิตผู้คนในช่วงเวลาของการจากลา เป็นการกระทำแห่งความเอื้ออารีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

รายงานข่าวระบุว่า ปุริมา บริจาคหัวใจ ปอด ตับและไตทั้ง 2 ข้าง พร้อมให้ข้อมูลว่าเธอเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีความร่าเริงและมีความสามารถในการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลที่อยู่รอบ ๆ ตัว

โคเรียไทม์สรายงานว่า ปุริมา ทำงานที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีความฝันอยากก้าวมาเป็นช่างออกแบบทรงผมระดับโลก เธอชื่นชอบการท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์ และใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลแมวและอยู่กับครอบครัว อ้างข้อมูลจากองค์กรรับบริจาค

คุณแม่ของผู้เสียชีวิตกล่าวด้วยว่า "ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว ดังนั้น อย่ากังวลเรื่องอื่นใดอีก และพักผ่อนอย่างสงบในสวรรค์ เราจะคิดถึงและรักลูกอย่างสุดหัวใจเสมอ"

‘ครูเกาหลีใต้’ รับศึกหนัก ‘เด็กก้าวร้าว-ผู้ปกครองกดดันรุนแรง’ ส่งผล ‘ยอมลาออก-ฆ่าตัวตายพุ่ง-คนรุ่นใหม่เมินอาชีพครู’

อาชีพครูในบ้านเรามักถูกเปรียบเทียบดั่ง ‘เรือจ้าง’ ที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาพาลูกศิษย์ไปจนถึงฝั่ง แม้คำเปรียบเทียบจะฟังดูต้อยต่ำไปนิด แต่ก็คือว่า ‘ครู’ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความเคารพจากผู้คนในสังคมไทยแม้ในปัจจุบัน

แต่ใน ‘เกาหลีใต้’ ค่านิยมที่สังคมมองอาชีพครู กลับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนตอนนี้อาจอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า ‘ต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้าง’ เสียอีก 

และล่าสุดเมื่อราวเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ก็ปรากฏคลิปที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกโซเชียลของเกาหลีใต้ เผยแพร่โดยกลุ่มสหภาพครูชอนบุก เมื่อมีเด็กนักเรียนชายชั้นประถม 3 คนหนึ่ง แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ตะโกนด่าครูชายท่านหนึ่งด้วยคำพูดที่ดูถูกและหยาบคาย ที่ภายหลังทราบว่าครูในคลิปเป็นถึงระดับรองผู้อำนวยการของโรงเรียน

และช็อกยิ่งกว่านั้น คือเด็กชายถึงขั้น ‘ตบหน้าครู’ และใช้กระเป๋าเป้ฟาดใส่ครูหลายครั้ง โดยที่ครูได้แต่ยืนนิ่งเฉย เอาแขนไขว้หลัง และไม่ตอบโต้ใด ๆ เหตุเกิดเพียงเพราะว่าครูชายพยายามห้ามนักเรียนไม่ให้ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้ เด็กก็เดินผ่านครูออกจากโรงเรียนไปอยู่ดี

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็เกิดกระแสวิพากษ์ วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นในเชิงตำหนิครู ว่าทำไมไม่จับตัวเด็กไว้? ทำไมดูแลเด็กให้อยู่ในโรงเรียนไม่ได้? และทำไมถึงจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนไม่ได้?

ด้าน คิม ดง-ซุก ผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิครูของสมาพันธ์ครูแห่งเกาหลี แสดงความเห็นว่า การตอบสนองต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กเกาหลีใต้ในลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนผู้ที่ออกมาวิจารณ์ตำหนิครูในคลิป แสดงว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่าทุกวันนี้ครูเกาหลีใต้ต้องเจอกับอะไรบ้าง 

นายคิมกล่าวว่า "การที่ครูต้องเอามือไขว้หลัง แล้วปล่อยให้ลูกศิษย์ตบหน้า โดยไม่ตอบโต้ หรือดุด่า ทำโทษเด็ก เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่เด็กมีรอยแผลบนร่างกาย ครูจะถูกร้องเรียนในความผิดฐานทำร้ายร่างกายเด็ก และหลายกรณีดังกล่าวมักต้องไปจบที่ศาล ซึ่งไม่มีครูคนไหนอยากเสี่ยงถูกดำเนินคดี เพราะบรรทัดฐานสังคม และกฎหมาย มักปกป้องเด็กก่อนเสมอ" 

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ครูเกาหลีใต้จำต้องอดทนต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก ๆ ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คิม ดง-ซุก ยังกล่าวอีกว่า "นักเรียนสมัยนี้จำนวนไม่น้อยแสดงพฤติกรรมไร้ความเคารพยำเกรงครู พวกเขาจะปิดประตูเสียงดังใส่ หรือแสดงท่าทางลามกใส่ครูเมื่อพวกเขาไม่พอใจ ถ้าครูทุกคนต้องรายงานความประพฤติของนักเรียนในเรื่องเหล่านี้ คงส่งเรื่องกันไม่หวาด ไม่ไหว ที่ส่วนมากมักไม่มีใครสนใจ ครูเกาหลีจึงทำได้แต่เพียงอดกลั้น และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นต่อพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้น”

ดังนั้น เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายครู ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ จึงเกิดขึ้นบ่อยราวเป็นเรื่องปกติในสังคมโรงเรียนเกาหลีใต้ อีกทั้งยังถูกกดดันจากผู้ปกครอง ที่คาดหวังการใส่ใจของครูต่อบุตรหลานของพวกเขาในระดับสูง

และหากย้อนไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 เคยมีข่าวใหญ่ในแวดวงการศึกษา เมื่อครูสาววัยเพียง 26 ปี ของโรงเรียนประถม Seoi Elementary School ในย่านกังนัม ของกรุงโซลฆ่าตัวตาย โดยทิ้งสมุดบันทึก และข้อความไว้มากมายเป็นหลักฐานว่าเธอถูกผู้ปกครองนักเรียนทำร้ายจิตใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน เกินกว่าใจจะรับไหว 

จากข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่าในช่วงปี 2561 - 2566 มีครูโรงเรียนรัฐกว่า 100 คนฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เป็นครูในระดับประถมศึกษา ซึ่งการฆ่าตัวตายของครูสาววัย 26 ปีคนล่าสุด ก่อให้เกิดการประท้วงจากนักการศึกษาทั่วประเทศต่อเนื่องยาวนานถึง 9 สัปดาห์เพื่อเรียกร้องให้มีมาตรการปกป้องสิทธิของครูในโรงเรียนบ้าง

จนนำไปสู่การแก้กฎหมายที่ครูจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ์กรณีถูกร้องเรียนเรื่องการทำร้ายร่างกายเด็กจนกว่าจะมีการสอบหลักฐาน และเข้ากระบวนการสืบสวนอย่างรอบคอบ และให้สิทธิ์ครูนำนักเรียนที่มีพฤติกรรมก่อกวนออกจากชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังระบุให้มีการบันทึกการสนทนาเมื่อมีการประชุมระหว่างครู และผู้ปกครอง

กรณีที่เกิดการร้องเรียน และเป็นคดีความ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องเป็นผู้ดูแล ที่จะมีงบสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ โดยผู้ปกครองจะไม่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของครู อาทิ ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวอีกต่อไป 

แม้ว่าคำร้องเรียนของผู้ปกครองต่อครูในโรงเรียนจะลดลง หลังรัฐบาลออกกฎหมายใหม่ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมของครอบครัวเกาหลีที่มีต่อครูในโรงเรียนได้ 

จุง แจ-ฮุน ศาสตราจารย์ด้านสวัสดิการสังคมจากมหาวิทยาลัยสตรีโซล กล่าวว่า สังคมเกาหลีใต้มีทัศนคติที่มีครอบครัวเป็นศูนย์กลางอย่างเข้มข้นมาก ซึ่งจะให้ความสำคัญกับครอบครัวของตนเป็นหลักเท่านั้น อีกทั้งอัตราเด็กเกิดใหม่ในเกาหลีใต้ลดลงอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ยอมลงทุนมหาศาลกับลูก ๆ และจะไม่ยอมทนหากลูกของตนถูกกระทำ จนนำไปสู่การปกป้องลูกมากเกินไป โดยไม่สนใจว่าจะละเมิดสิทธิ์ครูหรือไม่

ทุกวันนี้ จะพบเห็นพ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ทะนุถนอมลูกมาก และพร้อมจะบุกถึงโรงเรียน แม้มีปัญหาเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเกรี้ยวกราดของพ่อแม่ จึงปลูกฝังความก้าวร้าวให้แก่ลูก ๆ ที่มองครูเป็นเพียงลูกจ้างของพ่อแม่ที่มีหน้าที่ให้บริการด้านการศึกษา ไม่ใช่ผู้ให้การอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ดั่งค่านิยมในสมัยอดีต

เมื่อความเคารพสูญหายไป การต่อต้านจึงรุนแรงขึ้น และครูกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีครูเกาหลีใต้ถูกกดดันจนลาออก หรือฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก หนุ่ม-สาว รุ่นใหม่สนใจอาชีพครูน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากทำงานที่ถูกมองว่าต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้างอีกแล้ว

'ฮวาง ฮี-ชาน' หัวหอกวูล์ฟ โดนนักเตะ 'เซเรีย อา' เหยียดในเกมอุ่นเครื่อง ด้านเพื่อนร่วมทีมเดือดแทน หวดปากนักเหยียดคู่แข่ง-รับใบแดงเป็นรางวัล

(16 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ ของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สโมสรจากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ถูกนักเตะโคโม่ ทีมจากเซเรีย อา อิตาลี ใช้คำพูดเหยียดใส่ ระหว่างเกมอุ่นเครื่องที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน เอาชนะ โคโม ทีมน้องใหม่ของเซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 ในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในเกมดังกล่าว ทาง แกรี โอนีล กุนซือของวูล์ฟแฮมป์ตัน ออกมาเปิดเผยว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ถูกแข้งฝ่ายตรงคำใช้คำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติใส่ และเขาได้ถามกองหน้าวัย 28 ปีรายนี้ว่า ต้องการจะออกจากแมตช์นี้ไหม แต่เขาปฏิเสธและยังเดินหน้าช่วยทีมต่อระหว่างเข้าแคมป์เก็บตัวที่สเปน

แกรี โอนีล เผยถึงเรื่องนี้ ว่า "ชานนี่ได้ยินคำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งมันน่าผิดหวังจริงๆ"

"มันน่าผิดหวังมากที่มันเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับมัน และมันมีผลต่อเกม มันไม่ใช่ความคิดหรือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเลย"

"เขา (ฮวาง ฮี-ชาน) ผิดหวังมาก แน่นอน และมันเข้าใจได้ ซึ่งผมภูมิใจกับความจริงที่เขาต้องการจะเดินหน้าเล่นต่อไป และให้ความสำคัญกับทีมก่อน แม้ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม"

"ชานนี่จะโอเค เขาจะได้รับการสนับสนุนจากเราอย่างเต็มที่ และเราไปรับเขาเมื่อเช้านี้ และทำให้แน่ใจว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร"

อย่างไรก็ตาม อีกด้านของเกมนี้ ทาง 'ดาเนี่ยล โพเดนซ์' ปีกวูล์ฟแฮมป์ตัน เพื่อนร่วมทีมของ ฮวาง ฮี-ชาน ก็เดือดแทน และได้เข้าต่อยกองหลังคนหนึ่งของ โคโม่ ระหว่างเกมที่ทั้ง 2 ทีมนัดซ้อมกันเป็นกรณีพิเศษ หลังจากแข้งของ โคโม่ พูดจาเชิงเหยียดผิวหรือเหยียดชาติพันธุ์ใส่กองหน้าชาวเกาหลีใต้

ทว่า ไม่มีการเปิดเผยว่าแนวรับของ โคโม่ ที่ว่าคือใคร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ โพเดนซ์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที ก่อนที่สุดท้ายแล้ว วูล์ฟส์ จะชนะทีมน้องใหม่ของ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 และสุดท้ายเกมนี้ ก็ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นเกมอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ทีมแต่อย่างใด

‘สื่อเกาหลีใต้’ เผย!! ตัวเลขการเข้าสู่ตลาดงานของคนรุ่นใหม่ น่าห่วง เกือบครึ่ง 'ลาออก' เพราะชั่วโมงการทำงานนานไป และรู้สึกค่าจ้างต่ำ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ที่เปิดเผยว่า เด็กจบใหม่ชาวเกาหลีใต้ใช้เวลาหางานแรกนานเกือบหนึ่งปี ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ถดถอยลงสำหรับคนรุ่นใหม่

สำนักงานฯ ระบุว่าคนรุ่นใหม่อายุ 15-29 ปี ใช้เวลาเฉลี่ย 11.5 เดือนเพื่อให้ได้งานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.1 เดือนจากปีก่อนหน้า โดยถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เริ่มรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในปี 2006 ซึ่งบ่งชี้ว่าสถานการณ์การจ้างงานคนรุ่นใหม่ย่ำแย่ลง

ในจำนวนกลุ่มคนรุ่นใหม่ข้างต้น พบว่าร้อยละ 47.7 ใช้เวลาหางานแรกไม่ถึงสามเดือน ขณะร้อยละ 30 ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี

จำนวนพนักงานรุ่นใหม่ลดลง 173,000 คนจากปีก่อนหน้า เหลือ 3,832,000 คนในเดือนพฤษภาคม ขณะอัตราการจ้างงานลดลง 0.7 จุดเหลือร้อยละ 46.9 ส่วนจำนวนเด็กรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น 28,000 คนเป็น 276,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9 จุด เป็นร้อยละ 6.7

คนรุ่นใหม่ประมาณร้อยละ 66.8 ออกจากงานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจากทำงานในตำแหน่งนั้นเฉลี่ย 1 ปีกับ 2.8 เดือน

ในกลุ่มคนที่ลาออกจากงานแรก ร้อยละ 45.5 เผยว่าพวกเขาลาออกเนื่องจากสภาพการทำงานไม่เป็นที่พอใจ เช่น ชั่วโมงการทำงานยาวนานและค่าจ้างต่ำ รองลงมาร้อยละ 15.6 เผยว่าหมดสัญญาว่าจ้างงานชั่วคราว และร้อยละ 15.3 อ้างเหตุผลส่วนตัว เช่น การแต่งงาน เลี้ยงดูลูก และสุขภาพ

‘นักวิเคราะห์’ ชี้ K-POP กำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก-ยากฟื้นตัว หุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่กอดคอร่วง ฟาก ‘YG-JYP’ ดิ่งสุด!!

(19 ก.ค.67) นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นในบริษัทบันเทิงเริ่มหมดกำลังใจ เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเอเยนซี่ K-pop ยักษ์ใหญ่อย่าง YG Entertainment และ JYP Entertainment ร่วงลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์และ 45 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าสาเหตุของการลดลงนี้มาจากอุตสาหกรรม K-pop กำลังผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้วและกำลังเข้าสู่ช่วงฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้การฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยาก

หุ้นของ HYBE ที่เคยพุ่งสูงถึง 300,000 วอน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ปัจจุบันซื้อขายที่ประมาณ 190,000 วอน ขณะที่ราคาหุ้นของ SM Entertainment ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดที่ 147,000 วอนมาที่ประมาณ 76,000 วอนในปีที่ผ่านมา

แต่ที่สถานการณ์แย่ที่สุดกลับเป็น JYP และ YG

ราคาหุ้นของ JYP Entertainment ลดลงมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 146,600 วอน ขณะที่หุ้นของ YG Entertainment สูญเสียมูลค่ามากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 83,800 วอน

การลดลงนี้เชื่อมโยงกับผลประกอบการไตรมาสแรกที่ไม่เป็นไปตามคาดหวังและคาดการณ์ที่ต่ำสำหรับครึ่งปีหลัง

ศูนย์วิจัยการลงทุนฮานาคาดว่า กำไรจากการดำเนินงานไตรมาสสองของ HYBE จะลดลง 22 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนมาอยู่ที่ 63.8 พันล้านวอน, SM จะลดลง 7 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 33.2 พันล้านวอน และ JYP จะลดลง 56 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 20.1 พันล้านวอน ส่วน YG คาดว่าจะขาดทุน 6.6 พันล้านวอนในช่วงนั้น

JYP Entertainment ยังคงได้รับประโยชน์จากความนิยมของกลุ่มอย่าง Stray Kids และ TWICE แต่การเติบโตของศิลปินใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยเห็นผล

อัลบั้มที่ออกเมื่อต้นปีจากเกิร์ลกรุ๊ป ITZY ขายได้เพียง 320,000 แผ่นในสัปดาห์แรก เทียบไม่ได้เลยกับ 820,000 แผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า

เช่นเดียวกับ NMIXX ที่ขายได้ 620,000 แผ่น ลดลงจาก 1.03 ล้านแผ่นของอัลบั้มก่อนหน้า กลุ่มบอยกรุ๊ปใหม่ Xdinary Heroes ที่มุ่งเป้าตลาดญี่ปุ่นแต่เปิดตัวในเกาหลี ขายได้ 110,000 แผ่นในสัปดาห์แรก

อี ฮวาจอง นักวิเคราะห์จาก NH Investment & Securities กล่าวว่า "กลุ่มที่อายุน้อยกว่าของ JYP มีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง"

อย่างไรก็ตาม คิม กยูยอน จาก Mirae Asset Securities กล่าวว่า "การเปิดตัวทีมใหม่สองทีมในครึ่งปีหลัง เริ่มจากบอยกรุ๊ปญี่ปุ่น Xdinary Heroes และการกลับมาออกทัวร์รอบโลกของ TWICE และ Stray Kids อาจช่วยฟื้นฟูมูลค่าได้"

YG Entertainment ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสมาชิกทั้ง 4 คนของวง BLACKPINK ไม่ต่อสัญญาการทำงานเดี่ยว แม้จะต่อสัญญาในรูปแบบวงต่อไป แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า BLACKPINK จะกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อใด

ขณะที่ Babymonster กลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ของ YG ขายผลงานได้ 400,000 แผ่นในอัลบั้มเปิดตัวและขยายฐานแฟนคลับ ขายเพิ่มได้อีก 200,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นต่างกันว่าพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ BLACKPINK ได้หรือไม่

ยังไม่มีข่าวของบอยกรุ๊ปใหม่ของ YG Entertainment ตั้งแต่ Treasure เมื่อสี่ปีที่แล้ว การดำเนินงานของบริษัทพึ่งพากิจกรรมของสมาชิก BLACKPINK อย่างมาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ

คิม ฮยอนยอง นักวิเคราะห์จาก Hyundai Motor Securities กล่าวว่า "การฟื้นฟูผลการดำเนินงานของ YG จะขึ้นอยู่กับการกลับมากิจกรรมเต็มรูปแบบของ BLACKPINK, การเติบโตของ Babymonster และ Treasure และการเปิดตัวศิลปินใหม่ ปัจจุบันการรอดูเป็นวิธีที่เหมาะสม"

โดยนักวิเคราะห์บางคนในเกาหลีใต้เชื่อว่าตลาด K-pop ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

คิม โดฮอน นักวิจารณ์เพลง กล่าวว่า "ราคาหุ้นของเอเยนซี่ K-pop สูงเกินจริงในกระบวนการเข้าซื้อหุ้นของ SM โดย Kakao เมื่อปีที่แล้ว"

ขณะที่นักวิจารณ์เพลงอีกคนเสริมว่า "การต่อสู้การเข้าซื้อหุ้นของ SM, ปัญหาส่วนตัวของศิลปิน, และความขัดแย้งภายใน HYBE เช่น กรณีของซีอีโอ Ador มิน ฮีจิน ได้ทำลายความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม K-pop เมื่อ K-pop ยังคงเน้นธุรกิจแฟนคลับ การเติบโตอย่างยั่งยืนของมันได้ถึงขีดจำกัด"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top