Saturday, 25 May 2024
อัษฎางค์ยมนาค

‘อัษฎางค์’ เผย ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า เพราะต่อให้หลงผิดแค่ไหน พ่อแม่ก็ ‘ตบตี-เข่นฆ่า’ ลูกหลานไม่ลง

(3 พ.ค.2566) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า...

“ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า”

คำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ ทำไมรัฐบาลไม่จัดการขั้นเด็ดขาด ผมคิดว่าคำตอบคือ …..

ลุงตู่ที่เด็กๆ เข้าใจว่า “เป็นผู้ใหญ่ที่เกรี้ยวกราด” ความจริงลุงตู่และรัฐบาล 3 ลุง ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายจงรักภักดี มีเมตตาต่อเด็กๆ มาก 

รัฐบาลลุงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มองเด็กๆ ที่แม้จะมีความเห็นต่าง และเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นลูกหลาน

ที่โดนคนไทยที่ขายวิญญาณให้ต่างชาติและชาติมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง ให้เด็กๆ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นคนดีเป็นโจร และเห็นโจรเป็นคนดี  

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงใช้วิธีแก้ปัญหานี้อย่างละมุนละม่อมอย่างที่สุด 

ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงถึงภาพครอบครัวของเราเองทุกคน ที่เราอาจจะมีลูกที่เกเร หรือหลงผิด เราจะตบตี เข่นฆ่า ผลักไสไล่ส่ง ลูกหลานของเราด้วยวิธีหักดิบ 

หรือเราจะตั้งสติ ใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ให้เวลาและใช้เวลา เพื่อดึงสติให้ลูกหลานเรากลับมาสู่อ้อมอกของเรา 

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ใช้วิธีเดียวกันนั้น  

ความจริงเราตัองขอบพระคุณรัฐบาลลุง อันประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ที่ใช้ความพยายามตลอด 8 ปีที่ผ่านมา 

และขอถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างคนไทย และพยายามอย่างสุดความสามารถ อย่างละมุนละม่อม เพื่อพาลูกหลานของพวกเราทุกคนกลับสู่อ้อมอกอ้อมใจของเรา

'อัษฎางค์' ลั่น!! ได้เวลาทุบหม้อข้าว รอกินเมื่อคว้าชัย ชี้!! ถ้าแพ้คราวนี้ ก็ยกประเทศชาติให้เขาไปเลย

(12 พ.ค.66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

ปลุกทุบหม้อข้าวแล้ว! ถ้าแพ้คราวนี้ยกประเทศให้เขาไปเลย

มีผู้ใหญ่ตั้งคำถามว่า สมมติว่า พท.และ กก.ชนะเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เราจะทำยังไงและควรมีแผนสำรองอย่างไร

คำตอบสั้นๆ ของผมคือ

ถ้าแพ้คราวนี้ โดยฝ่ายเขาได้จัดตั้งรัฐบาล การทำรัฐประหารและการเป็นฝ่ายปกครองมาถึง 8 ปี ก็สูญเปล่า ควรยกประเทศนี้ให้เขาไปครับ

เพราะเป้าหมายสูงสุดของ คสช.และรัฐบาลลุงคือ การคืนความสุขให้คนไทย ซึ่งหมายถึง การปราบปรามขบวนการจาบจ้วงและล้มล้างการปกครอง ซึ่งในเวลานี้งานยังไม่จบ

สำหรับผม 'ไม่ควรมีแผน B'

ต้องมี 'แผน A' แผนเดียวเท่านั้น

กล่าวคือ ต้องชนะเท่านั้น

ก่อนออกรบ ทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมดครับ ไปกินข้าวในตอนโค่นคู่ต่อสู้ได้ ถ้าแพ้ ก็ตายในสนามรบไปเลยครับ โลกจะจารึกคุณไว้ตลอดกาล
.
ถ้าไม่ตายในสนามรบ รอดกลับมา ก็โดนศัตรูฆ่าอยู่ดี แถมโลกจะประนามคุณ
.
รบแล้วแพ้ ทั้งที่อาวุธครบมือ อำนาจก็อยู่ในมือ เสียชื่อจริงๆ ครับ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย

ขออนุญาตเรียนแบบนี้ตรงๆ ด้วยความเคารพรักครับ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผม

ผมมั่นใจ 100% ว่า ลุงตู่จะได้ตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ผมแสดงความคิดเห็นแบบนี้ ไม่ได้ต้องการดูหมิ่น แต่ต้องการเติมไฟในจิตใจของทีมลุงตู่และพันธมิตรทุกพรรคให้โชติช่วง

ถ้าเผื่อใจว่าจะแพ้ เราจะแพ้

ตอนพระเจ้าตากตีเมืองจันทร์ พระองค์ท่านมีกำลังและองคาพยพน้อยกว่ามาก แต่พระองค์ท่านสั่งให้ไพร่พลกินให้อิ่มแล้วทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมด เพื่อเข้าไปพักผ่อน กินข้าว ฉลองชัยชนะเมื่อรบชนะ

เวลาออกรบ ต้องมีแผนเดียว คือแผนชนะ เท่านั้น

ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา ก็ตายมันในสนามรบไปเลย อย่ามีหน้ากลับมาให้ศัตรูหยามเหยียดและผู้คนสาบแช่ง

ขออนุญาตโพสต์แรงๆ แบบนี้ เพื่อเติมพลังให้สู้อย่างเต็มกำลังครับ

'อัษฎางค์' ซัด!! จดหมายปรีดีที่ไม่มีอยู่จริง เป็นแค่อาวุธในจินตนาการที่ฝันจะใช้ล้มเจ้า

(5 ม.ค. 67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง 'จดหมายปรีดี (ที่ไม่มีอยู่จริง) อาวุธในจินตนาการที่ฝันจะใช้ล้มเจ้า' มีรายละเอียดหาดังนี้...

จดหมายปรีดีมีที่มาจากคนที่ใช้ชื่อว่า ‘ดิน บัวแดง’ โดยในสมัยที่เขาไปเรียนที่ฝรั่งเศส ได้ไปค้นเอกสารและไปเจอเอกสารที่ชื่อว่า Dossier de Pridi ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร

แต่เมื่อเขาส่งเรื่องนี้ไปให้ ‘สมศักดิ์ เจียม’ ศาสดาแห่งการสร้างคอนเทนต์บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกสาร Dossier de Pridi ก็ถูกอุปโลกน์ให้กลายเป็นจดหมายลับของปรีดี แล้วถูกต่อยอดสร้างพล็อตให้น่าตื่นเต้นเหมือนในหนังหรือนิยาย ว่าถูกเก็บไว้จนเพื่อรอวันเปิด จนฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมที่มีปัญญาน้อยนิดฝันว่า นี่จะเป็นอาวุธสำคัญในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9

ถ้าจะขอพูดกันตรงๆ ว่า พวกล้มเจ้าสร้างพล็อตแต่เรื่องให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าฆ่าพี่ชิงบัลลังก์ ทั้งที่เราก็ทราบโดยทั่วกันว่าครอบครัวราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันแค่ 4 พระองค์นั้นรักใคร่กลมเกลียว โดยเฉพาะในหลวงทั้ง 2 พระองค์เป็นพี่น้องที่แนบแน่นกันมาก โดยมีพระราชกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยเสมอมาว่า

“อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น”

พล็อตเรื่องการฆ่าแกงเพื่อชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องมีแต่ในหนังจีนและเหตุการณ์จริงสมัยอยุธยาเท่านั้น ซึ่งเป็นบริบทหรือวิถีชีวิตของคนโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เรื่องแบบนี้หมดไปพร้อมกับการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา

บริบทเรื่องการชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องหรืออาหลาน เกิดขึ้นจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลในเรื่องการสืบราชสมบัติในยุคสมัยโบราณ ที่ปกติเมื่อพี่ได้ครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็มักแต่ตั้งน้องเป็นอุปราช ซึ่งเป็นตำแหน่งรัชทายาท แต่เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระราชโอรสแล้วก็มักต้องการให้พระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อไป หรือเมื่อพระมหากษัตริย์แต่งตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วลูกๆ ที่เหลือบางพระองค์ไม่พอใจ ก็วางแผนฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์

แต่ปัญหานั้นหมดไปในยุครัตนโกสินทร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ในยุคการครองราชย์ของพี่น้องรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ก็ไม่มีเรื่องฆ่าแกง

สมัยรัชกาลที่ 5 ก็นำระบบสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแบบชาติตะวันตกมาใช้ ให้พระราชโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท

และสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ได้ทรงตรากฎหมายเป็นกฎมณเฑียรบาลที่ระบุชั้นการสืบสันตติวงศ์เป็นระบบอย่างชัดเจน

ที่สำคัญ ราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันอยู่เพียง 4 พระองค์นั้น ถูกอบรมสั่งสอนโดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาเลี้ยงเดี่ยวในวิถีแห่งการดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่แสวงหาอำนาจ

หากย้อนกลับไปในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ 2475 คนกลุ่มนี้วางแผนมาอย่างดี โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนการปกครองไปจนถึงระบอบที่ไม่มีกษัตริย์หรืออย่างน้อยถ้ามีก็แค่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ต่อการปกครอง

แต่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านไปถึงจุดนั้น จะหักดิบเลยก็ไม่ได้ เพราะอาจจะมีการต่อต้านจากประชาชน เลยต้องเอาอำนาจมาในมือให้ได้ก่อน แล้ว *** “ค่อยๆ ลดทอนความสำคัญของราชวงศ์ลง จนคนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตามกับระบอบที่คณะนี้ต้องการ”

ก่อนปฏิวัติ คณะราษฎรศึกษาเรื่องลำดับการสืบสันตติวงศ์มาเป็นอย่างดีแล้ว ว่าใครคือ กษัตริย์พระองค์ต่อไป เพราะถ้าในหลวงรัชกาลที่ 7 ไม่ยอมเปลี่ยนและมีการต่อสู้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนรัชกาลตั้งแต่ปีนั้น

ซึ่งคณะนี้เชื่อว่าจะเป็นงานง่ายเพราะ อีก 2 พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระชนนีก็เป็นสามัญชน น่าจะคุมได้ไม่ยาก และยังมีเวลาริดรอนพระราชอำนาจได้อีกนาน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ มีเวลาเหลือเฟือจัดระบบที่เขาต้องการให้อยู่ในรูปในรอยได้อีกหลายปี เข้าทางอย่างที่สุด

เมษายน 2476 ณ เวลานั้นราชสกุลมหิดลทรงพำนักที่วังสระปทุมกับสมเด็จพระพันวัสสา ในขณะนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 8 ไปโรงเรียนก็มีเพื่อนมาเรียกว่าองค์โป๊ย (ถือเป็นชื่อที่ใช้ล้อเลียน ในหลวงรัชกาลที่ 8 ของลูกหลานคณะราษฏร์) ยิ่งทำให้สมเด็จพระพันวัสสายิ่งเห็นอันตรายที่เข้าใกล้พระนัดดามากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นสมเด็จพระพันวัสสาจึงรับสั่งให้สมเด็จย่า (สังวาลย์) พาพระโอรสและพระธิดาไปเรียนต่อที่โลซานน์ให้ห่างไกลการเมือง

2 มีนาคม 2478 ในหลวงรัชกาลที่ 7 ประกาศสละราชสมบัติ และให้สภาหาผู้สืบสันตติวงศ์ต่อเอง ทุกอย่างเข้าทางตามแผนคณะราษฏร์ และคณะราษฎร์จึงส่งโทรเลขมาเชิญในหลวงรัชกาลที่ 8 รับราชสมบัติ ตามที่คาดหมายไว้

แผนต่อของคณะราษฎร์ คือการให้ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จนิวัติประเทศไทยโดยเร็ว เพื่อมาทำพระราชพิธีราชาภิเษกและให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบนี้ยังมีกษัตริย์อยู่ และคณะราษฎรไม่ได้ทำลายสถาบันฯ

โดยมีจดหมายที่สมเด็จย่าเขียนจดหมายถึงสมเด็จพระพันวัสสา เล่าถึงการโต้ตอบกับคณะราษฏรไว้ดังนี้

หม่อมฉันก็บอกให้เป็นที่เข้าใจอีกว่า ทั้งลูกและหม่อมฉันไม่มีความต้องการยศและลาภเลย แต่การที่นันทต้องรับเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ต่อบ้านเมือง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต่อไปขอให้พูดกันดีๆ อย่าบังคับและตัดอิสรภาพจนเหลือเกิน

หม่อมฉันวิตกอยู่ก็ถึงเรื่องที่นันทจะไม่ได้มีความสุขอย่างเด็กมาก และกลัวการศึกษาจะได้ไม่เต็มที่ ที่หม่อมฉันไม่ใคร่กลัวอันตรายภายนอกก็เพราะว่าเราไม่ได้อยากจะเป็น แต่ต้องรับเพราะเห็นแก่บ้านเมืองที่อาจไม่สงบได้”

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าการย้ายมาสวิสเซอร์แลนด์มีประโยชน์ เพราะการที่รัฐบาลไม่มีกษัตริย์กลับไปให้ราษฎรเห็น ยิ่งสร้างความน่ากังขาให้กับราษฎรว่า การปกครองที่คณะราษฎรยึดมาจากเจ้านี้จะเป็นระบอบที่มีกษัตริย์อยู่ต่อจริงหรือ หลอก

อย่าลืมว่าเพิ่งจะผ่านการเปลี่ยนแปลง 2475 มายังไม่ทันครบ 3 ปี คนที่ยังไม่พร้อมกับการไม่มีกษัตริย์นั้นมีอยู่มาก อีกทั้งสมเด็จย่าทรงพระปรีชามากในการต่อรองกับรัฐบาลคณะราษฎร์

ส่วนคณะราษฎร์ใช่ว่าจะราบรื่นมีการแย่งชิงอำนาจกันภายในคณะ มีการยึดอำนาจกันไปมา เริ่มมีอำนาจเป็น 2 ขั้วและขัดกันเองตลอด จนสุดท้ายใช้การสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 เพื่อทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง รวมไปถึงทำลายความน่าเชื่อถือของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จย่าด้วย

ซึ่งหากย้อนกลับไปในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์เมื่อ 2475 นั้น คณะราษฎรวางแผนมาอย่างดี เป้าหมายสูงสุดของคนกลุ่มนี้ คือต้องการเปลี่ยนการปกครองไปสู่การไม่มีกษัตริย์ หรืออย่างน้อยถ้ามีก็แค่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ต่อการปกครอง นั่นคือเป้าหมายใหญ่ของเขา

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงมีการสร้างข่าวบั่นทอนทำร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยอาศัยการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งเป็นฝีมือการวางแผนฆาตกรรมของใครหรือฝ่ายใดคงเดาได้ไม่อยาก ว่าใครได้ผลประโยชน์จากการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ คนนั้นหรือฝ่ายนั้นย่อมคิดลงมือทำ

กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน กับกลุ่มคนที่ประกาศจะมาสานต่อภารกิจของคณะราษฎร ซึ่งภารกิจสำคัญของคณะราษฎรคือ การล้มเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ย่อมจะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ภารกิจบั่นทอนและให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็เป็นแผนการต่อเนื่องของพวกเขา

การสร้างพล็อตเรื่องจดหมายปรีดี เป็นความหวังว่ามันจะเป็นอาวุธสำคัญในการหาหลักฐานปลอมมาใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบมาถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยอาศัยการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งเป็นฝีมือการวางแผนฆาตกรรมของใครหรือฝ่ายใดคงเดาได้ไม่ยาก

เป้าหมายใหญ่ที่สุดของคณะราษฎรในการก่อการ ว่ากันว่า คือ ความต้องการเปลี่ยนการปกครองไปสู่การไม่มีกษัตริย์ ซึ่งใครในยุคปัจจุบันประกาศจะมาสานต่อ

'อัษฎางค์' รวบย่อไทม์ไลน์ 'พิธา' กับ 'ปมหุ้นไอทีวี' บทสรุปการ 'รอด' เพราะศาลวินิจฉัยไม่ได้ทำธุรกิจสื่อแล้ว

(24 ม.ค. 67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สรุปกรณี 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ได้ไปต่อหลังรอดปมหุ้มไอทีวี ว่า...

ศาลตัดสินคดีพิธาถือหุ้นไอทีวี

1. ถือหุ้นสื่อ 1 หุ้นก็ถือว่า ผิด
2. พิธา อ้างว่าเป็นเพียงผู้จัดการมรดก แต่ศาลวินิจฉัยว่า พิธาเป็นทั้งผู้จัดการมรดก และทายาทผู้ได้มรดกเป็นหุ้นไอทีวีด้วย
3. พิธา อ้างว่าเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ถือหุ้นสื่อ
4. แต่ พิธา ยังอ้างว่าโอนหุ้นโดยปากเปล่า ก่อนสมัคร สส. (อันนี้เป็นพฤติกรรมดิ้น เอามาอ้างไม่ได้)
5. ทำใหัศาลสงสัยว่า ถ้าพิธามั่นใจว่าไม่ได้ถือหุ้นสื่อแล้วจะโอนหุ้นทำไม
6. สรุปว่าพิธาถือหุ้นไอทีวี ในวันที่สมัคร สส.จริง
7. แต่ศาลวินิจฉัยว่า ไอทีวี ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว
8. ศาลจึงตัดสินว่า พิธา รอด

‘อัษฎางค์’ ถามดังๆ ถึง ‘คณาจารย์-ผู้บริหาร’ ม.ราม ปล่อย ‘ก้าวไกล’ เอี่ยวกิจกรรมนักศึกษา เพื่ออะไร 

(21 ก.พ.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ในหัวข้อ ‘เด็กราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่มั้ย ?’ ระบุว่า…

คณาจารย์ ผู้บริหาร ม.ราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่ไหม?

ศิษย์เก่า จะนิ่งดูดายหรือไม่?

ปล่อยให้พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของนักศึกษา ด้วยเหตุผลอะไร? 

ก้าวไกลคิดครอบงำองค์กร นศ.หรือไง หวังผลอะไร?

องค์กรนักศึกษา ตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมของนักศึกษาและมหาวิทยาลัย หรือเพื่อเป็นแขนขาของพรรคการเมือง ที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง 

นอกจากนี้ยังปล่อยให้มีการซื้อเสียงตั้งแต่ยังเป็น นศ. นี่หรือคือการเมืองของคนรุ่นใหม่?

ถามดังๆ ไปถึงน้องๆ นักศึกษา คณาจารย์และผู้บริหาร

ท่านปล่อยให้พรรคการเมืองที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงองค์กรนักศึกษา เท่ากับท่านสนับสนุนพรรคที่ศาลวินิจฉัยว่า คิดล้มล้างการปกครอง ใช่หรือไม่?

‘อัษฎางค์’ ฟาด ‘ส.ศิวลักษณ์’ ใช้ความคิดเห็นส่วนตัว ด้อยค่าเพลงชาติไทย บิดเบือนว่าเป็นเพลงปลุกระดม เอาเปรียบคนกลุ่มน้อยและยากจะรวมเลือดเนื้อได้

(2 มี.ค.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า 'เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค' ระบุว่า เพลงชาติไทยโกหกเรื่อง 'รวมเลือดเนื้อเป็นหนึ่งเดียว' ในทัศนะของ ส.ศิวลักษณ์

ส.ศิวลักษณ์ ไม่รู้ใครไปสรรเสริญว่าเป็น 'ปัญญาชนสยาม' เป็นปัญญาสยามแบบไหนถึงออกมาพูดอะไรแปลกๆ เสมอ ดังเช่นคลิปนี้ก็พูดถึงเพลงชาติว่า เนื้อเพลงชาติไทยท่อนที่ร้องว่า "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"

ส.ศิวลักษณ์พูดว่า… "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมันมีไม่ได้ ผมเห็นว่าเพลงชาตินี้ ปลุกระดมมาก และมีความเท็จอยู่ในนั้นมาก เพราะรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมันเป็นไปไม่ได้ ประเทศใหญ่โตมันต้องมีหลายเชื้อชาติ

ถ้อยคำในเพลงชาติ มันเป็นเพลงที่ผิด รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมันมีไม่ได้ คนมลายูที่ปักษ์ใต้ เขาเป็นมลายู ไม่ใช่ไทย อันนี้เราไม่ได้เอาเปรียบเขาหรือ ? แปลกมากนะคนไทย... อะไรเป็นสิ่งที่ผิด ก็ปล่อยไว้"

ส.ศิวลักษณ์ กล่าวหาเพลงชาติไทยว่า "เป็นเพลงปลุกระดม เอาเปรียบคนกลุ่มน้อยและไม่มีทางจะรวมเลือดเนื้อได้ "ความจริงคำว่า 'ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย' เป็นประโยคที่สะท้อนเจตนารมณ์ของความเป็นเอกภาพและความเท่าเทียม"

กล่าวคือ ทุกคนเป็นคนไทย อันหมายถึง การเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันเพราะใครจะมาเป็นคนไทยไม่ได้ ถ้าไม่มีพ่อหรือแม่หรือสามีภรรยาที่เป็นคนไทย ดังนั้น เมื่อใครได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าของประเทศ 'ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย'

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วนอยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี

แปลว่า

ประเทศไทยเป็นถิ่นที่รวมชนผู้มีเลือดเนื้อเชื้อชาติของไทยไว้ให้ได้อยู่อาศัยร่วมกัน แผ่นดินทุกส่วนของประเทศไทยย่อมเป็นของชาวไทยทุกคน ประชาชนไทยรักษาแผ่นดินไทยทั้งหมดไว้ได้ ก็ด้วยทุกคนมีน้ำใจสามัคคี

ขอพาปัญญาชนสยามไปเปิดหูเปิดตาหน่อย กับประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในด้านเชื้อชาติมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

เพลงชาติออสเตรเลียที่ชื่อ 'Advance Australia Fair'

มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า
“Australians all let us rejoice, for we are one and free” แปลว่า “ชาวออสเตรเลียทุกคนจงยินดี ที่เรารวมกันเป็นหนึ่งและมีอิสระเสรี”

นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียประกาศว่า “ออสเตรเลียแสดงเจตนารมณ์ความเป็นเอกภาพของประเทศ จากเนื้อเพลงชาติ ที่สะท้อนถึงการเคารพยอมรับความหลากหลายของเชื้อชาติ“ (ซึ่งหมายถึงทั้งชนพื้นเมือง คนผิวขาวและผู้อพยพใหม่จากทั่วโลกทุกคน)

นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์ถึงความเป็นเท่าเทียมกัน” ในเนื้อเพลงชาติออสเตรเลียอีกด้วย

ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในด้านเชื้อชาติมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ร้องเพลงชาติด้วยประโยคว่า

'We are one' ซึ่งถ้าคนไทยร้องประโยคนั้นเป็นภาษาไทยก็จะร้องได้ว่า
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" มันมีความหมายเดียวกับประโยคที่บอกว่า "We are one" ในเนื้อเพลงชาติออสเตรเลียนั่นเอง
'We are one' หมายถึง 'เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว' ซึ่งหมายถึง 'การรวมใจ' 'เป็นการแสดงถึงความเป็นเอกภาพและความเท่าเทียมกัน' ไม่ใช่การรวมแบบผสมพันธุ์ อย่างที่ปัญญาชนสยามเข้าใจอยู่คนเดียวว่า “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมันเป็นไปไม่ได้ ประเทศใหญ่โตมันต้องมีหลายเชื้อชาติ” ออสเตรเลียใหญ่โตกี่เท่าของประเทศไทย โดยใหญ่โตเป็นอันดับ 6 ของโลก และมีผู้คนที่มีเชื้อชาติหลากหลายมหาศาล ยังมีเนื้อเพลงว่า 'We are one'

“รวมเลือดเนื้อเป็นหนึ่งเดียว”

จุดมุ่งหมายสำคัญของเพลงชาติคือ สร้างความภาคภูมิใจ ความจงรักภักดี และความเป็นหนึ่งเดียวของคนทั้งชาติ แต่บางคนกลับพยายามด้อยค่าเพลงชาติ ด้วยทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์กับทุกสิ่งที่ไม่ตรงกับทัศนคติส่วนตัว

อัษฎางค์ ยมนาค 

ชนผู้มีปัญญาบ้างเล็กน้อย

'อัษฎางค์' เปิดต้นตอผู้ชักนำ 'บุ้ง' สู่เส้นทางนี้ ชี้!! โลกในทวิตเตอร์ คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ

(15 พ.ค.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้งทะลุวัง เสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค.ในหัวข้อ ‘บุ้ง ตอนที่ 1 ปฐมบทก่อนไปถึงจุดสิ้นสุด ใครชักนำหรืออะไรจูงใจให้บุ้งเข้าสู่วงการ’

โลกในทวิตเตอร์ คือจุดเปลี่ยนของชีวิตของบุ้ง

BBC THAI เคยรายงานข่าว จากปากคำของโบ พี่สาวของบุ้งว่า…

บุ้งเคยเป็นคนที่คอยบอกเพื่อน ๆ นักเรียนอยู่เสมอในฐานะคณะกรรมการนักเรียนว่า ต้องดูแลทรงผมให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องทำให้ถูกระเบียบ แต่เขาเริ่มเอะใจว่า ทำไมมีเพื่อนที่เห็นต่าง มีเพื่อนที่คัดค้านเรื่องทรงผม จึงทำให้ได้ฉุกคิดว่า ตัวกฎระเบียบก็ไม่ได้แฟร์ (ยุติธรรม) สำหรับกลุ่มคนหลายกลุ่ม หากฝ่าฝืนถึงขั้นคาดโทษกัน รวมทั้งกลุ่ม LGBTQ ที่พวกเขาต้องการแต่งตัวอีกแบบ

ในระหว่างสัมภาษณ์ โบได้หยิบภาพเก่า ๆ ที่เตรียมมาด้วย และมีท่าทีภูมิใจเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของน้องสาวคนนี้ว่า "เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร" พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

จากคำถามที่ผุดขึ้นในความคิดต่อระเบียบควบคุมนักเรียนระหว่างที่บุ้งเป็นคณะกรรมการนักเรียนยังคงทำงานของมันต่อผลที่ตามมาคือการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’

ที่กลายเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องการส่งเสียงเพื่อสิทธิตัวเอง (speak for yourself) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการไว้ทรงผมนักเรียน ซึ่งประสบผลสำเร็จจนทำให้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2563 มีระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด

โบยอมรับว่า ครอบครัวของเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อปี 2557 ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งในขณะนั้นบุ้งยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากนั้นเมื่อบุ้งได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้นจากข้อมูลชุดใหม่ผ่านสังคมออนไลน์อย่าง ‘ทวิตเตอร์’ ซึ่งมีการถกเถียงประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางและหลากหลาย
จากทวิตเตอร์ ตามมาด้วยช่อ พรรณิการ์-ทนายอานนท์

The Thaiger รายงานว่า…เส้นทางชีวิตของบุ้งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตัวเอง ในวัยเยาว์ เธอเคยหลงใหลในอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่แล้ววันหนึ่ง ประกายไฟแห่งความจริงก็ได้จุดประกายความคิดของเธอให้เปลี่ยนไป

‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช คือผู้จุดประกายนั้น’

เธอเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนไร้บ้านที่ถูกสไนเปอร์ยิง ความจริงอันโหดร้ายนี้ ทำให้เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และความรู้สึกผิดต่อผู้ที่สูญเสียก็หลั่งไหลเข้ามา

จุดกำเนิด ‘โพลทะลุวัง’ : เมื่อคำถามกลายเป็นอาวุธ

ความคิดที่จะใช้ ‘คำถาม’ เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจบุ้ง หลังจากได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับ ‘ทนายอานนท์ นำภา’ ผู้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการตั้งคำถามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

ใครกัน อำมหิตหลอกใช้เยาวชนและประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากนักเรียนดีสู่การเป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนเลว ต่อเนื่องไปสู่กลุ่มทะลุวัง เกิดจากการที่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนหลงผิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ปลุกปั่นจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีต่อประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติหรือไม่

หากจะหาผู้มีส่วนต่อการจากไปของบุ้งหรือคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดีในเรื่องที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็คงต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องร่วมมือกันป้องกันและกำจัดผู้ไม่หวังดี ที่ใช้ยุทธวิธีทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมาปลุกปั่นเยาวชนและประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของไทย

อย่างไรก็ตาม เราในฐานะประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนในการป้องกันหรือกำจัดคนที่อำมหิตเหล่านั้น ก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับบุ้งและคนอื่น ๆ

ดังนั้นเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและกำจัดขบวนการเหล่านี้

'อัษฎางค์' ตั้งคำถาม 'พิธา' ให้สัมภาษณ์ล่าสุดแก่สื่อยักษ์เมืองเบียร์ สะท้อนการเป็นแนวร่วม 'บุ้ง-พวกบ่อนทำลายสถาบันฯ' หรือไม่

(17 พ.ค.67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

พิธาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว DW ของเยอรมันเรื่องการตายของบุ้งว่า...

นักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวเรียกร้อง ‘หลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย’

“It’s a tragic loss for Thailand as a nation, where a group of young activists was asking for the rule of law instead of rule by law. 

มันเป็นความสูญเสียอันน่าเศร้าของประเทศไทยในฐานะชาติที่มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวซึ่งเรียกร้อง ‘หลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย’

The rule of law กับ The rule by law.
คืออะไรและแตกต่างกันอย่างไร้?

Rule by Law คือ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง 

Rule of Law คือ หลักนิติธรรมที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

• หลักนิติธรรม (The Rule of Law) เน้นความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคุ้มครองสิทธิของบุคคล โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและชอบธรรมต่อทุกคน

• การปกครองโดยกฎหมาย (Rule by Law) เน้นการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมและรักษาอำนาจ โดยอาจทำให้ความยุติธรรมและสิทธิของบุคคลถูกละเลย เพื่อรับใช้ประโยชน์ของผู้มีอำนาจ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยปกครองประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ที่บัญญัติไว้ชัดเจนในเรื่องความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคุ้มครองสิทธิของบุคคล โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและชอบธรรมต่อทุกคน

พิธาอ้าง “กลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวซึ่งเรียกร้องหลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย” 

พวกเขาเรียกร้องให้มีปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยอ้างว่าคนเห็นต่างทางการเมืองต้องไม่ถูกคุมขัง และได้รับสิทธิ์ประกันตัวนั้น 

ทั้งที่ กลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวต่างหากที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การกระทำของคนกลุ่มนี้ ไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นต่างทางการเมือง แต่เป็นการกระทำที่ไปดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมาย

ในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิส่วนบุคคล เพื่อไปดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายและละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเมิดกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ

การที่พิธาเอาเรื่องนี้ไปให้สัมภาษณ์เพื่อบอกกับชาวโลกผ่านสื่อยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี เป็นการแสดงว่าพิธาและพรรคก้าวไกล เป็นแนวร่วมกับบุ้งและพวก ในการตั้งใจละเมิดกฎหมาย “ด้วยมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด” ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล หรือไม่?

อัษฎางค์ ยมนาค

อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ >> https://www.atsadang.com/?p=4309&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2VNX8wssj0A6NN5Cl3WF2bKvLxnjwdpcc8uq4cYatk1RAFycpDUKAlrjE_aem_AQ2wBFNBaNGerlexEENz0B2uKh0SEL6vGFpBuZF6uEowdxe6XCSnSbyXK7Ry2CSCIbe2DzGesxMcRuNbMokXRtdl 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top