Saturday, 4 May 2024
สิงคโปร์

‘รมว.สุชาติ’ ปลื้ม!! หลังเด็กไทยคว้า 15 เหรียญ จากเวทีแข่งขันแรงงานอาเซียนครั้งที่ 13 ที่สิงคโปร์

(29 ก.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร เงินรางวัลแก่เยาวชน และโล่ขอบคุณผู้สนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมในพิธี ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในนามรัฐบาล และ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี ผมขอแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 13 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ที่ประสบความสำเร็จได้คว้ารางวัลเหรียญเงิน จำนวน 3 รางวัล เหรียญทองแดง จำนวน 3 รางวัล อีกทั้งรางวัลเหรียญฝีมือยอดเยี่ยม จำนวน 9 รางวัลกลับมายังประเทศไทย ซึ่งมีผลคะแนนรวมเป็นที่ 4 ในระดับอาเซียน และขอชื่นชมเยาวชนทั้ง 24 คน ผู้เชี่ยวชาญ 22 คน ที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ รวมไปถึงขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกท่านที่ให้การสนับสนุนตลอดมาทั้งด้านงบประมาณ สถานที่ บุคลากร วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่ทันสมัยในการเก็บตัวฝึกซ้อม ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม และระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างเต็มความสามารถจนประสบความสำเร็จในครั้งนี้

ในวันนี้ทางกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงจัดพิธีมอบเกียรติบัตร และเงินรางวัลให้แก่เยาวชน โดยเหรียญเงิน จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 75,000 บาท เหรียญทองแดง จำนวน 40,000 บาท และเหรียญฝีมือยอดเยี่ยม (รางวัลชมเชย) จำนวน 20,000 บาท ในส่วนของน้อง ๆ ที่พลาดเหรียญรางวัลในการแข่งขันครั้งนี้ จะได้รับเงินรางวัลเป็นทุนการศึกษารายละ 10,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจและเกียรติประวัติให้แก่น้อง ๆ  พร้อมทั้งมีการมอบโล่ขอบคุณให้แก่ผู้สนับสนุนทั้ง 29 แห่ง ที่ทำให้การส่งเยาวชนเข้าร่วมแข่งขันสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การพัฒนาฝีมือแรงงานผ่านการแข่งขันฝีมือแรงงานทั้งในระดับชาติ อาเซียน เอเชีย และระดับนานาชาติ ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการชี้วัดระดับความสำเร็จในการพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กร สมาคมต่าง ๆ ในการนำความรู้และประสบการณ์จากการแข่งขันมาพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม และการศึกษาด้านอาชีพให้แก่สถาบันการศึกษาที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้มีความทันสมัยตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องเน้นพัฒนาทักษะในสาขาที่เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติ ดิจิทัล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งโลกแห่งอนาคต ข้อมูลถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การแข่งขันฝีมือแรงงานเป็นการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานทั้งในและต่างประเทศ และที่สำคัญจะส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของแรงงานไทย

นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเสริมว่า การแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 13 นี้ จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากไม่มีพันธมิตรที่ดีทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทั้ง 29 แห่ง ประกอบด้วย

มูลนิธิเอสซีจี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, มหาวิทยาลัยรังสิต, วิทยาลัยดุสิตธานี, คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี, อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น, วิทยาลัยเทคนิคระยอง, วิทยาลัยเทคนิคสงขลา, วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่, วิทยาลัยการอาชีพพล, วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค), วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคล้านนา เชียงใหม่, วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ (SBAC) วิทยาเขตสะพานใหม่, ร้านโอเอซิสซาลอน, โรงเรียนออกแบบทรงผมอาดัม, สถาบันธงชัยแฮร์เทรนนิ่งเซ็นเตอร์, ศูนย์การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมและนวัตกรรมหุ่นยนต์ EasyKids Robotics, บริษัท เมช แมคคานิสซึ่ม ดีไซน์ จำกัด, บริษัท โค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด, บริษัท สแกนเนอร์สสามมิติ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท Autodesk Asia Pte.Ltd, บริษัท เฟสโต้ จำกัด, โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ชะอำ บีช รีสอร์ท หัวหิน, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว, บริษัท เอเอสที มอเตอร์ จำกัด, บริษัท โตโยต้า ขอนแก่น จำกัด และบริษัท แอสเวลล์ โซลูชั่นส์ จำกัด

ในการสนับสนุนด้านงบประมาณ สถานที่ บุคลากร วัสดุ อุปกรณ์ที่ทันสมัยในการฝึกซ้อมของน้อง ๆ เยาวชน ในฐานะผู้จัดส่งน้อง ๆ เข้าแข่งขัน ขอขอบคุณทุกท่านกับความสำเร็จนี้เป็นอย่างยิ่ง และหลังจากนี้ขอให้ชาวไทยร่วมส่งแรงใจให้กับน้อง ๆ เยาวชนที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ต่อไป เพื่อเข้าแข่งขันฝีมือแรงงานเอเชีย ครั้งที่ 2 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน–1 ธันวาคม 2566 และไปแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 47 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 10-15 กันยายน 2567 ต่อไป

‘ยิ่งลักษณ์’ บินส่ง ‘ทักษิณ’ ลงเครื่อง พักที่สิงคโปร์ ก่อน ‘โอ๊ค’ บินไปหา เตรียมรับกลับไทยด้วยกัน 22 ส.ค.นี้

(19 ส.ค. 66) หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัวถึงความคืบหน้าในการเดินทางกลับประเทศของนายทักษิณ โดยระบุว่า “อังคารที่ 22 ส.ค. 09.00 น. ณ ดอนเมือง จะไปรับคุณพ่อทักษิณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ นายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวออกจากนครดูไบ เพื่อเดินทางมาพำนักอยู่ประเทศสิงคโปร์ก่อน โดยได้เดินทางมาถึงในวันที่ 19 ส.ค. โดยทั้งคู่จะพักอยู่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลาสองวัน ก่อนที่นายทักษิณจะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวเข้าประเทศไทยตามที่ประกาศไว้ ในวันที่ 22 ส.ค. เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พร้อมด้วย นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยา ได้เดินทางไปหานายทักษิณที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อรอเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยพร้อมกันในวันดังกล่าว โดยมี น.ส.แพทองธาร และครอบครัว มารอรับที่ดอนเมือง

‘บุ๋ม ปนัดดา’ ถูกรถชนท้ายอย่างแรงที่สิงคโปร์ ระบมทั้งหลัง-คอ มึนหัวจนอยากอาเจียน!!

(2 ก.ย. 66) ทำเอาแฟนๆ ตกใจอยู่ไม่น้อย หลังจากที่ ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ เผยผ่านอินสตาแกรมว่า ตอนนี้ตัวเองขึ้นรถแท็กซี่อยู่ประเทศสิงคโปร์ และถูกรถที่วิ่งตามหลังมาชนโครมใหญ่ จนระบมหลังล่างกับคอ มึนหัวจนอยากอาเจียน ด้านเพื่อนที่มาด้วยกันถูกโทรศัพท์มือถือกระแทกเข้าหน้า

“ต้อนรับการมาถึงสิงคโปร์ ด้วยรถชนจ้า โครมใหญ่มาก โดนชนจากข้างหลัง เพื่อนฝน มือถือหลุดกระเด็นกระแทกตา ส่วนของบุ๋มระบมหลังล่างกับคอ มึนหัวจนอยากอาเจียน แง

ปล. ดีที่เราใส่สายคาด แต่มันแน่นจนตัวไม่ขยับ แต่ก็เกิดแรงกระแทกหนักอยู่”

นอกจากนี้ บุ๋มยังเข้าไปเมนต์ตอบชาวเน็ตที่บอกว่า “ถ้าเจ็บมากให้รีบไปตรวจ” ด้วยข้อความว่า “ตอนนี้รู้สึกชาๆ มึนๆ อยู่”

‘บุ๋ม ปนัดดา’ เปิดค่ารักษาที่สิงคโปร์ โดนไปจุกๆ 2 หมื่นบาท หลังเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนท้าย เข้าโรงพยาบาลแค่วันเดียว

(3 ก.ย. 66) ถึงคราวฟาดเคราะห์จริงๆ สำหรับ ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ที่ก่อนหน้านี้เธอได้โพสต์ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว @boompanadda ว่าได้ประสบอุบัติเหตุขณะนั่งรถเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์ โดยถูกรถยนต์ชนจากบริเวณด้านหลังรถยนต์ที่เธอนั่งมาเข้าอย่างแรง ซึ่งในเวลาต่อมา ‘บุ๋ม ปนัดดา’ เผยว่าได้เดินทางไปโรงพยาบาลแล้ว โดยระบุแคปชันว่า

“อ่ะ! ไม่รอดค่ะ เพื่อนฝนมึนหัว อาเจียนหลายรอบ ส่วนบุ๋มปวดร้าวหลังล่างและคอ อาเจียนมีเลือดปน 2 รอบ หมอฉีดยาและเอ็กซเรย์เรียบร้อย ผลตรวจคือ Muscle Spasm กล้ามเนื้อตรงคอกับหลังล่างอักเสบเฉียบพลัน มีผลกับเส้นประสาท ก็ค่อยๆ รักษากันไปค่ะ ขอบคุณทุกความห่วงใยนะคะ มาสิงคโปร์เป็น 100 ครั้งไม่เคยเจออุบัติเหตุบนถนน ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตัวเอง ต้องขอขอบคุณน้องโบว์ชมพู @bow_bowchompoo ที่มาช่วยดูแลที่ รพ. จนเรียบร้อยทุกอย่าง ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ”

ล่าสุด ‘บุ๋ม ปนัดดา’ ได้โพสต์ลงในอินสตาแกรมอัปเดตอาการอีกครั้งและเผยถึงค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลในประเทศสิงคโปร์ว่า “หายดีแล้วทุกคน เพราะเจอค่ารักษาหมอไปสองหมื่นกว่า ประสบการณ์เข้าโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ เอกซเรย์คอกับหลัง ฉีดยาแก้ปวดหนึ่งเข็ม ยากลับบ้านสี่อย่าง ยาคลายกล้ามเนื้อ แก้อาเจียน บำรุงประสาท และแผ่นแปะแก้ปวด พร้อมกับค่าเจอหมอตอนดึก ค่าเอกสารที่ขอกลับบ้าน 20,000 กว่าบาท หายดีเลยจ้า แม่แข็งแรงแล้ว จริงจิ๊งงง”

5 อันดับ เมืองจุดหมายปลายทางยอดนิยม สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ (ม.ค.-มิ.ย. 66)

(15 ก.ย. 66) ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร อโกด้า (Agoda)แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว กล่าวว่า อโกด้าได้เปิดเผยจุดหมายปลายทางสำหรับการจองเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) ปรากฏว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอง 5 อันดับแรก มีกรุงเทพฯ (ประเทศไทย) คว้าอันดับ 1 ตามมาด้วย สิงคโปร์, โซล (ประเทศเกาหลีใต้), โฮจิมินห์ ซิตี้ (ประเทศเวียดนาม) และกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศมาเลเซีย)

เมื่อพิจารณาถึง 5 เมืองยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยตัดสินใจเลือกเดินทาง พบว่าประเทศเวียดนามกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองดานัง ฮานอย หรือโฮจิมินห์ ซิตี้ เมืองเหล่านี้ถือเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยตามลำดับ โดยมีฮ่องกงและกัวลาลัมเปอร์ตามมา ซึ่งจุดหมายสำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศยอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต

ออมรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ อโกด้า ได้จัดอิมเมอร์ซีฟอีเวนต์ครั้งแรกของแบรนด์เพื่อเปิดตัวบริการจองตั๋วเครื่องบิน ‘Agoda Flights’ อย่างเป็นทางการ โดยงาน ‘Fly for Less'’ คืออีเวนต์ที่อโกด้าจัดขึ้นเพื่อพาผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเดินทางท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง สู่จุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวเลือกบินไปเที่ยวพักผ่อน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 ก.ย. 66 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 22.00 น. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

งาน Fly for Less เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ร่วมงานจะได้เดินทางแบบเสมือนจริง ผ่านการรับชมวีดีโอที่ฉาย 360 องศาในโดม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบูธถ่ายภาพให้ผู้เข้าร่วมงานได้เก็บภาพทริปเดินทางในฝันของตนเอง ส่วนลดสำหรับจองตั๋วเครื่องบินสูงสุด 350 บาท และสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลตั๋วเครื่องบิน 1 ใบ จากทั้งหมด 100 ใบ ‘ฟรี’ เมื่อร่วมเล่นเกมชิงรางวัล

“เราต้องการเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้และนึกถึงเป็นอันดับ 1 ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้จองตั๋วเครื่องบิน และหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในราคาที่คุ้มค่าพอ ๆ กับราคาที่พักที่พวกเขาจองที่พักกับอโกด้า และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอโกด้าจึงเปิดตัวฟีเจอร์จองเที่ยวบิน Agoda Flights บนแพลตฟอร์มของเราเมื่อปี 2019 โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวหาดีลเดินทางที่ดีที่สุดได้อย่างสะดวกที่สุด เรารู้สึกยินดีมากที่จะเฉลิมฉลองการเปิดตัว Agoda Flights อย่างเป็นทางการ ด้วยการจัดงาน Fly For Less ที่ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวเลือกบินมาเที่ยวมากที่สุด” ออมรี กล่าวทิ้งท้าย

เปิดวิธีการ ‘ทุนจีนเทา’ ฟอกเงินในสิงคโปร์ ‘ซื้อสัญชาติ-ถือครองทรัพย์หรู-ซื้อหุ้นหลากบริษัท’

(17 ก.ย. 66) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้เผยผลสอบสวนคดีฟอกเงินจากประเทศสิงคโปร์ โดยเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา (***ลิงก์ต้นข่าวสิงคโปร์ เมื่อวันที่จับกุม 17 ส.ค. 66 >> https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=843361127352891&id=100050370353740&mibextid=Nif5oz) ได้มีการจับกุม 10 ผู้ต้องหาสัญชาติจีน พร้อมตรวจค้น และยึดทรัพย์สินได้กว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์

โดย 10 คนสัญชาติจีนนี้ ส่วนใหญ่มาจากฟูเจี้ยน ถือพาสปอร์ต กัมพูชา 3 ราย และวานาอูตู, ไซปรัส, ตุรกี ตามลำดับ ซึ่งผลสอบสวนล่าสุด พบว่า มีการซื้อขายสัญชาติเฉพาะกัมพูชา อยู่ที่ราคาประมาณ 4.6 ล้านบาท

ทั้งนี้ การซื้อขายสัญชาติ เป็นสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพ และผู้หนีคดี อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์  หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การพนันออนไลน์, การซื้อขายสินทรัพย์เสมือน (เงินดิจิทัล) และการขนเงินออกจากจีน เพื่อมาซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือเงินทุจริตยักยอกออกนอกประเทศ ที่เรียกว่า ‘ธนาคารใต้ดิน’

ในส่วนของประเด็นการฟอกเงินในสิงคโปร์ สามารถสรุปวิธีการได้ ดังนี้...
1.) ขายสินค้าออนไลน์ แบรนด์เนม กระเป๋านาฬิกา ไวน์ รถยนต์ อสังหาฯ
2.) ครอบครองอสังหาฯ หรู รถยนต์ บ้าน คอนโด
3.) ซื้อหุ้น บริษัทต่างๆ
4.) รับเงินโอน แทน แรงงานต่างด้าว (อาทิ แรงงานจะโอนเงินออกจากสิงคโปร์ แล้วแก๊งจะเป็นตัวแทนโอนแทน โดยมีเครือข่ายในประเทศต้น-ปลายทาง ได้ฟอก และกำไรจากเรทเงิน)

‘สาว’ แชร์ภาพ ‘ห้องเช่ารูหนู’ เล็กเหมือนโลงศพ ที่สิงคโปร์ แถมค่าเช่ายังมหาโหด 17,000 บาท ลั่น!! จ้างก็ไม่อยู่

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์ไต้หวันกำลังพูดถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการเช่าบ้านกลับได้พื้นที่ขนาดเล็กไม่สมกับราคา โดยชาวเน็ตสาวรายหนึ่งออกมาโพสต์กลุ่มเฟซบุ๊กเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอเกี่ยวกับบ้านเช่า

โดยเธอแชร์รูปภาพห้องเช่าแบ่งย่อยที่ชาวฮ่องกงเห็นในเว็บไซต์เช่าบ้าน ระบุว่า “กว่าจะอยู่ฮ่องกงไม่ง่ายเลย นี่คือห้องเช่าในฮ่องกงแบบห้องน้ำเป็นรวม ความรู้สึกนี้เล็กกว่าโลงศพ ตื่นมาแล้วต้องกังวลว่าจะหัวชนกัน ถ้าตู้นั้นยังไม่ได้ตอกตะปูแน่น ๆ ก็ดูท่าจะสู่ขิตได้นะ แล้วคุณจะซื้อที่นอนมั้ย ห้องเท่านี้ราคาเช่า 8000 ดอลลาร์ไต้หวัน (9,177บาท) เลยทีเดียว”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นในสิงคโปร์เช่นกัน ชาวเน็ตหญิงคนหนึ่งเปิดเผยในแอปฯ เสี่ยวฮงซูว่า เจ้าของบ้านชาวสิงคโปร์ให้เช่า ‘ห้องเก็บของ’ จริง ๆ ดังที่เห็นในภาพถ่ายเป็นภาพห้องเปิดโล่งไม่มีหน้าต่างออกไปด้านนอกในห้องมีเพียงเตียงเดี่ยวและชั้นเก็บของเล็ก ๆ แถมพื้นที่ยืนยังมีจำกัดมาก และค่าเช่ารายเดือนสูงถึง 650 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 17,552 บาท)

นอกจากนี้ เจ้าของโพสต์ยังเผยว่า “ค่าเช่าแบบนี้ถูกกฎหมายจริง ๆ เหรอ ไม่มีแม้แต่ที่นอนด้วย (เจ้าของบ้าน) คลั่งไคล้เรื่องเงินมาก” เธอยังชี้ให้เห็นว่า จ้างให้อยู่แค่จ่ายค่าเช่า 200 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 5,393 บาท) เธอก็ไม่คิดที่จะอยู่ แถมบอกว่าถ้าอยู่ในห้องแบบนี้ “ร่างกายจะถูกทำลาย”

ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ก็เกิดการถกเถียงกันและหลายคนแนะนำว่าควร รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “17,000 ก็เกินไปครับ ผมเข้าใจว่าบางคนจะเช่าที่แบบนี้เพื่อประหยัดเงินเพราะเจ้าของบ้านผมก็เช่าเหมือนกันแต่เขาเช่าในราคาที่ต่ำมากเพราะเงินเดือนไม่สูง” , “อากาศไม่หมุนเวียน ความชื้นก็หนัก ภูมิคุ้มกันของฉันลดลงหลังจากอาศัยอยู่ที่นั่นได้หนึ่งเดือน” , “แนะนำให้ผู้เขียนรายงานเรื่องนี้อย่างยิ่ง ผิดกฎหมาย” , “เกือบจะเหมือนกับสิ่งที่ฉันเช่า”

‘Flash Coffee’ ร้านกาแฟสัญชาติอินโดฯ ปิดแล้วทุกสาขาในสิงคโปร์ ด้านใน ‘ไทย’ พบขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท หลังติดลบต่อเนื่อง 

เมื่อไม่นานนี้ ‘แฟลช คอฟฟี่’ (Flash Coffee) ร้านกาแฟสตาร์ตอัปสัญชาติอินโดนีเซีย ประเดิมสาขาแรกในบ้านเกิดเมื่อปี 2020 และสามารถขยายไปอีกหลายประเทศทั่วเอเชียได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทยที่มีสาขากระจายทั่วทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ล่าสุดสำนักข่าว ‘เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์’ (South China Morning Post) รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ในประเทศสิงคโปร์ว่า บริษัทปิดทำการร้านแฟรนไชส์ทุกสาขาในสิงคโปร์ทั้งหมดแล้ว โดยโฆษกของแบรนด์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของบริษัทจะไม่กระทบกับสาขาในประเทศอื่นๆ อาทิ สาขาในฮ่องกงที่ยังคงดำเนินกิจการตามปกติ พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนและขยายตลาดในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวระบุถึงสาเหตุการถอนทัพจากสิงคโปร์ของ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ว่า อาจมาจากสองประเด็นหลักๆ คือ ‘ภาระหนี้สินบริษัทที่เพิ่มขึ้น’ ส่งผลถึงการหยุดงานประท้วงของพนักงาน เนื่องจากการจ่ายเงินเดือนที่ล่าช้ากว่ากำหนด ทว่า โฆษกของแฟลช คอฟฟี่ได้ออกมายืนยันภายหลังว่า พนักงานในสิงคโปร์ไม่ได้มีการนัดหยุดงานประท้วงแต่อย่างใด บาริสต้าและพนักงานในส่วนอื่นๆ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว เนื่องจากร้านค้ามีการหยุดดำเนินการไปก่อนหน้า

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการปิดตัวลงในสิงคโปร์ ‘แฟลช คอฟฟี่’ ได้ประกาศถอนตัวออกจากไต้หวันไปเมื่อเดือนมีนาคม 2566 รวมถึงสาขาในไทยที่มีการระบุบนเว็บไซต์ทางการว่า เปิดให้บริการกว่า 84 สาขานั้น ได้มีการทำการสำรวจข้อมูลแล้ว ล่าสุดบนแอปพลิเคชัน ‘แฟลช คอฟฟี่’ พบว่า ปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการทั้งหมด 42 สาขา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง หลังจากเข้ามาทำตลาดในไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563

สำหรับข้อมูลผลประกอบการของ ‘บริษัท แฟลช คอฟฟี่ ทีเอช จำกัด’ พบว่า ยังคงมีตัวเลข ‘ติดลบ’ ต่อเนื่องกันทั้งสองปี ดังนี้

- ปี 2563 : รายได้รวม 3.2 ล้านบาท ขาดทุน 8.5 ล้านบาท
- ปี 2564 : รายได้รวม 60 ล้านบาท ขาดทุน 100 ล้านบาท

‘นักแสดงสิงคโปร์ชื่อดัง’ ทุ่มเงินแสน จ้างนางรำชุดใหญ่ 52 คน แก้บน ‘พระพรหมเอราวัณ’ หลังพรที่เคยขอไว้ 3 ปีก่อน สมปรารถนา

เมื่อไม่นานมานี้ สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ‘นายริชาร์ด โลว์’ หรือ ‘หลิว เฉียน อี’ นักแสดงสิงคโปร์ชื่อดัง ได้มาแก้บนที่ ‘ศาลท้าวมหาพรหม’ หรือ ‘พระพรหมเอราวัณ’ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยจ้างนางรำ รำถวายกว่า 52 คน

โดย สื่อต่างประเทศ รายงานว่า นักแสดงวัย 71 ปีนี้ ทุ่มเงินไปกว่า 104,000 บาท ไปกับการแก้บน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (24 ตุลาคม) เพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับความปรารถนา 2 ข้อ ที่เขาเคยขอไว้เมื่อ 3 ปีก่อน

ริชาร์ด ได้เชิญนางรำ 52 คน มารำในพิธี โดยจ้างนางรำคนละ 2,000 บาท และเสริมว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และเมื่อถามว่า ทำไมเขาถึงเลือกเลขนี้ เขาบอกว่าเลขนำโชคของเขาคือ 26

“เมื่อความปรารถนาแรกเป็นจริง ก็คิดว่าจะจ้างนางรำ 26 คน มาร่วมพิธี แต่แล้วความปรารถนาอีกข้อก็สมหวัง ก็เลยตั้งใจเพิ่มอีก 26 คน” และยังบอกด้วยว่า 52 ก็ยังหมายถึงปีเกิดเขาด้วย

เมื่อถามถึงสิ่งที่เขาอธิษฐานั้น เขาลังเลไปอยู่สักครู่ ก่อนเปิดเผยว่า เขาไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในอดีต ด้วยอายุของเขา เขาก็หวังให้สถานการณ์ทางการเงินของเขามีความก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นเพราะความปรารถนาที่เขาทำไว้ สิ่งต่างๆ ก็พลิกผัน ริชาร์ดบอกว่า เส้นทางอาชีพของเขาราบรื่นขึ้น และสถานการณ์ทางการเงินเขาก็ดีขึ้นมา เขารู้สึกขอบคุณมากๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลง

“ผมอายุ 70 กว่าแล้ว การมีชีวิตที่มั่นคงในช่วงปีหลังๆ คือความฝันของคนรุ่นใหญ่ทุกคน” ริชาร์ดบอก และกล่าวว่า “แน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดคือ สุขภาพ คุณจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีสุขภาพที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจเดิมที่จะมาขอบคุณพระพรหม ถูกระงับไปเพราะโควิด 19 ก่อนที่เขาจะได้โอกาสบินมาไทยเมื่อจันทร์ที่ผ่านมา พร้อมกับภรรยา และน้องชาย เพื่อเตรียมพิธีที่จัดขึ้นในเวลา 07.00 น. ของวันอังคาร ที่เขาคุกเข่าตลอด 45 นาทีของพิธี

‘สภาฯ สิงคโปร์’ วุ่น!! เร่งถก ‘แลนด์บริดจ์ไทย’ หวั่นกระทบการค้า-สะเทือนเศรษฐกิจในประเทศ

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 สำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์ รายงานว่า นายชี ฮง ทัต รักษาการณ์รัฐมนตรีคมนาคมสิงคโปร์ได้ชี้แจงและตอบข้อซักถามต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสิงคโปร์ในวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ในประเด็นโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย ซึ่งถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์

โดยนายชี กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์อาจช่วยลดเวลาการขนส่งสินค้าราว 2-3 วันก็จริงอยู่ แต่เรือขนสินค้าอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และจริงๆ อาจลดเวลาได้ไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยปัจจัยสำคัญ คือ เรือสินค้าจะต้องเสียเวลาในการโหลดสินค้าขึ้นจากท่าเรือฝั่งหนึ่ง เพื่อขึ้นรถบรรทุกหรือรถไฟขนส่งไปยังท่าเรืออีกฝั่ง จากนั้นก็โหลดสินค้าลงสู่เรือเพื่อเดินทางต่อ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ บริษัทขนส่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งอาจทำให้ต้องมีการทบทวนและเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ระหว่างการแล่นอ้อมช่องแคบมะละกาและสิงคโปร์ และการใช้แลนด์บริดจ์ของไทยว่าทางไหนคุ้มกว่ากัน

สำหรับประเด็นที่ว่าโครงการแลนด์บริดจ์ซึ่งเชื่อมอ่าวไทยและทะเลอันดามันของไทย จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ และกระทบกับศักยภาพการแข่งขันของสิงคโปร์ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งหรือไม่ นายชีตอบว่า “สิงคโปร์ไม่สามารถห้ามประเทศอื่นจากการพัฒนาท่าเรือหรือโครงสร้างใดๆ ก็ตามได้ แต่สิ่งที่สิงคโปร์ควรทำและทำได้ คือ ทำอย่างไรที่จะให้สิงคโปร์ไม่ได้รับผลกระทบ หรือหาทางเพิ่มศักยภาพท่าเรือสิงคโปร์ให้ดึงดูดเรือขนสินค้าเหล่านั้น”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top