Saturday, 4 May 2024
สิงคโปร์

'สิงคโปร์' เตรียมยกเลิก กม.ห้าม ‘เกย์’ มีเซ็กซ์ แต่ยังไม่อนุญาต ‘สมรสเพศเดียวกัน’

นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ ประกาศวานนี้ (21 ส.ค.) ว่า รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมจะยกเลิกกฎหมายอาญาที่ห้ามชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ยุคอาณานิคม ทว่ายังไม่มีแผนอนุญาตการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน

กลุ่มนักเคลื่อนไหว LGBTQ ได้ออกมาชื่นชมการตัดสินใจนายกฯ ลี ที่จะยกเลิกมาตรา 377A ในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดบทลงโทษสำหรับการมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชาย แต่ก็แสดงความกังวลว่า ผู้นำสิงคโปร์ยังคงปฏิเสธที่จะแก้ไขคำนิยามของการสมรสให้ครอบคลุมคู่รักเพศเดียวกัน และนั่นแปลว่าการแบ่งแยกกีดกันยังไม่หมดไปเสียทีเดียว

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติสิงคโปร์ ลี ระบุว่า สังคมสิงคโปร์ทุกวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวมีแนวคิดเปิดกว้างและยอมรับผู้ที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันมากขึ้น

“ผมเชื่อว่านี่คือการกระทำที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ยอมรับได้” นายกฯ ลี กล่าว

ทั้งนี้ ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่ามาตรา 377A จะถูกยกเลิกเมื่อใด

สิงคโปร์ถือเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่การยกเลิกกฎหมายกีดกัน LGBTQ โดยก่อนหน้านี้ ศาลสูงสุดอินเดียก็มีคำพิพากษายกเลิกกฎหมายห้ามการมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายเมื่อปี 2018 ส่วนประเทศไทยเองกำลังมีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม-คู่ชีวิต

กฎหมายอาญามาตรา 377A ของสิงคโปร์กำหนดระวางโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี สำหรับการมีเซ็กซ์ระหว่างชายและชาย ทว่าไม่ได้มีการบังคับใช้จริงมานานหลายสิบปีแล้ว อีกทั้งกฎหมายนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงเซ็กซ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง หรือเพศทางเลือกอื่น ๆ

องค์กรเพื่อสิทธิ LGBTQ หลายกลุ่มได้ออกคำแถลงร่วมเมื่อวันอาทิตย์ (21 ส.ค.) โดยระบุว่ารู้สึก “โล่งใจ” กับคำประกาศของนายกฯ

“สำหรับทุกคนที่เคยมีประสบการณ์ถูกบูลลี่ ถูกปฏิเสธ และถูกคุกคามจากกฎหมายนี้ การยกเลิกมันไปในที่สุดจะช่วยให้พวกเราสามารถเริ่มต้นกระบวนการเยียวยา และสำหรับใครก็ตามที่ปรารถนาให้สิงคโปร์เป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมและหลอมรวมมากขึ้น การยกเลิกกฎหมายนี้ถือเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง” คำแถลงร่วมระบุ

อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงฉบับนี้ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลสิงคโปร์หยุดฟังเสียงของพวกอนุรักษนิยมเคร่งศาสนาที่ต้องการให้คงนิยามของการสมรสในรัฐธรรมนูญว่าหมายถึงการแต่งงานระหว่าง 'ผู้ชายกับผู้หญิง' เท่านั้น เพราะนั่นถือเป็นการบ่งบอกกลาย ๆ ว่าพลเมือง LGBTQ ไม่มีสิทธิเท่าเทียมในด้านนี้

กระแสต่อต้านการยกเลิกมาตรา 377A มีมาโดยตลอดเช่นกัน โดยเมื่อเดือน ก.พ. ศาลสูงสุดสิงคโปร์มีคำตัดสินว่า เนื่องจากกฎหมายนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้จริงมานานแล้ว จึงไม่ถือว่าละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ฝ่ายผู้ร้องเรียนอ้าง ขณะที่นายกฯ ลี เองยอมรับว่า มีกลุ่มองค์กรมุสลิม คาทอลิก และโปรเตสแตนต์บางกลุ่มที่ยังไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 377A

บีทีเอสสยายปีก!! จับมือพันธมิตรสร้างรฟฟ. ข้ามพรมแดน 'สิงคโปร์-มาเลเซีย' เน้น 'สะดวก-ปลอดภัย' ตอบโจทย์ผู้โดยสาร ทั้งในประเทศ-ตปท.

'บีทีเอส' ร่วมทุนพันธมิตรมาเลเซีย ลุย รถไฟฟ้ารางเบาเชื่อมไฮสปีด ข้ามพรมแดนจากสิงคโปร์มายังมาเลเซีย ปักธงเป็นผู้ให้บริการทุกรูปแบบ ตอบโจทย์การเดินทางผู้โดยสาร ทั้งพื้นที่ในประเทศ-ต่างประเทศ เน้นสะดวก-ปลอดภัย

(20 ก.ย. 65) นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ และนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MATCH พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เข้าพบ Dato’ Avinderjit Singh A/L Harjit Singh และ Dato’ Siew Ka Wei ณ สหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงติดตามศึกษาโครงการระบบรถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail Transport System) ที่จะเชื่อมต่อกับโครงการระบบรถไฟความเร็วสูง (RTS Link) ข้ามพรมแดนจากประเทศสิงคโปร์มายังเมือง Johor Bahru ในสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างดำเนินโครงการ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่รอบระบบขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิด Transit-Oriented Development ที่เมือง Johor Bahru สหพันธรัฐมาเลเซีย

‘เสี่ยเฮ้ง’ ส่งตัวแทนเยี่ยมแรงงานไทยในสิงคโปร์ พร้อมกำชับดูแล ‘สิทธิประโยชน์แรงงาน’ อย่างเป็นธรรม

(8 ธ.ค. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) และนางดัชนี คูหาทอง ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) รักษาการในตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจและมอบข้าวสารแก่แรงงานไทยในสิงคโปร์ที่ไซต์งานของบริษัท Ed.Zublin AG Singapore ซึ่งเป็นบริษัทของเยอรมัน ประกอบธุรกิจสร้างท่อและวางท่อน้ำเสียขนาดใหญ่และเล็ก ที่ผลิตและนำเข้ามาจากสาขาของบริษัทในประเทศไทย ปัจจุบันมีโครงการวางท่อน้ำเสียในประเทศสิงคโปร์อยู่ 5 โครงการ โดยไซต์งาน F3C3 อยู่ที่ Jalan Buroh เป็นโครงการวางท่อน้ำใหญ่ มีหัวหน้าคนงานไทยเป็นคนผู้ควบคุมงาน มีคนงานไทยทำงานในบริษัทประมาณ 100 คน 

นายบุญชอบ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายจ้างพบว่า ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 แรงงานไทยได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานถือใบอนุญาตการทำงานประเภท Work Permit ในภาคก่อสร้าง อู่ต่อเรือ และภาคกระบวนการผลิต เนื่องจากประเทศไทยได้ถูดจัดให้อยู่ในกลุ่ม Non-Traditional Sources (NTS) ที่ประกอบด้วย ไทย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา เมียนมา ฟิลิปปินส์ แต่ไม่สามารถทำงานในภาคบริการ และอุตสาหกรรมได้ ปัจจุบันสิงคโปร์เปิดประเทศภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมการผลิตจึงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากสิงคโปร์พึ่งพาแรงงานต่างชาติ จากจีน และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนโยบายของประเทศดังกล่าวทำให้มีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศสิงคโปร์น้อยลง รัฐบาลจึงอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะสำหรับการจ้างงานแรงงานจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงแรงงานจากประเทศไทยด้วย จึงส่งผลให้มีแรงงานไทยเข้ามาทำงานในภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งนายจ้างส่วนใหญ่ต่างสนใจที่จะจ้างแรงงานไทยเพราะคนไทยมีความอดทน อุปนิสัยอ่อนโยน มีบุคลิกภาพที่เหมาะกับงานบริการ 

อีกทั้งในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมีความละเอียด รอบคอบ มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และรวมถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นายจ้างภาคอุตสาหกรรมจึงได้จ้างคนไทยมาประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ยังไม่มีปัญหาที่จะส่งผลกระทบกับการจ้างงานคนไทยในอนาคต 

ส่วนภาคบริการได้มีการเริ่มจ้างตั้งแต่ปี 2563 ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะเป็นการเปิดตลาดแรงงานอาชีพใหม่ ๆ ได้ในอนาคต ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 พบว่า มีจำนวนแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ที่มีการรับรองเอกสารการจ้างงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 - 2566 แล้วจำนวนเกือบ 5,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาช่างกึ่งฝีมือ เช่น ช่างเชื่อม ช่าง PCM ช่างในอู่ต่อเรือ รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้าง ช่างฝีมือ และภาคบริการ เป็นต้น

เฉไฉไปเรื่อย!! ‘ศุภชัย’ ฉะ ‘ชูวิทย์’ ลั่น!! ทำตัวเหมือน ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ หลังไร้เอกสารโอน 3 หมื่นล้าน ไปสิงคโปร์ ปมรถไฟฟ้าสีส้ม

‘ศุภชัย’ ซัด ‘ชูวิทย์’ อย่าทำตัวเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ หลังผ่านมาจะ 2 สัปดาห์ ยังไม่ปรากฏเอกสารโอนเงินไปธนาคาร สิงคโปร์ กรณีรถไฟฟ้าสีส้ม

(11 มี.ค.66)  นายศุภชัย ใจสมุทร  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวทวงถามนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่บอกว่ามีเอกสารการโอนเงิน หรือบอกว่ามีเงินทอน 3 หมื่นล้าน โอนจากประเทศไทยไปสิงคโปร์ ธนาคาร HSBC ว่าสิ่งที่นายชูวิทย์ ออกมาพูดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่า ขณะนี้เป็นเวลานานแล้ว หากมีเอกสารจริง ควรจะได้นำออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ แต่พอกระทรวงคมนาคมถามไปว่าใครเป็นคนโอน ใครเป็นคนรับโอน ก็เฉไฉไปเรื่อย ๆ และไม่ยอมตอบ

สำรวจเงื่อนไขการเป็นเจ้าของรถยนต์ใน ‘ประเทศสิงคโปร์’ ภายใต้ ‘ใบอนุญาต’ ที่ทำให้รถราคาเบาๆ มีมูลค่ามหาศาล

เมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Panitxp’ ได้โพสต์คลิปเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการซื้อขายรถยนต์ในประเทศสิงคโปร์ รวมถึงเหตุผลที่ราคารถยนต์ในประเทศนี้สูงลิ่ว ด้วยว่า…

“การที่คุณจะเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ประเทศสิงคโปร์ได้ คุณจะต้องซื้อใบอนุญาต ซึ่งใบอนุญาตนั้น มีราคาแพงมาก เพราะฉะนั้น คนที่จะมีรถยนต์ได้ ต้องมีเงินเยอะมากๆ”

“สำหรับใบอนุญาตดังกล่าวนี้ เรียกว่า ‘Certificate of Entitlement’ หรือ ‘COE’ โดยในแต่ละปีรัฐบาลจะมีโควตาว่า ในปีนั้นจะสามารถมีรถใหม่เพิ่มได้กี่คัน ซึ่งใช้วิธีคำนวณจากรถที่ออกจากระบบในปีที่แล้ว และการเติบโตที่เฉลี่ยขึ้นประมาณ 3% ทุกปี หลังจากนั้น จะให้คนที่ต้องการซื้อรถยนต์ เข้ามาส่งราคา เพื่อทำการประมูลซื้อ หลังจากเสร็จสิ้นรอบการประมูลแล้ว จะมีการคำนวณราคาของ COE ให้ โดยทุกคนที่ได้โควตา จะจ่ายเท่ากับราคาของคนสุดท้ายที่อยู่ในโควตา”

“จากนั้นเมื่อได้ใบ Certificate นี้แล้ว คุณจะสามารถครอบครองรถได้ 10 ปี และอาจขอขยายเพิ่มได้ 5 หรือ 10 ปี หลังจากนั้น รถจะถูกบังคับขายและส่งไปยังต่างประเทศ ฉะนั้น แค่การซื้อรถ Toyota เล็กๆ สักหนึ่งคันที่นี่ อาจจะเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาทกันเลยทีเดียว”

“ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนรถยนต์ และลดปัญหาการจราจรในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหนาแน่นบนท้องถนนที่สุดในโลก”

‘PLANET’ ผนึกกำลังขาใหญ่ ‘จีน-สิงคโปร์’ ลุยธุรกิจรถยนต์ EV-สถานีชาร์จในไทยเต็มรูปแบบ

วันที่ (7 มิ.ย. 66) นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PLANET) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ว่า บริษัท Singapore Electric Vehicles Pte (SEV) ผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ในสิงคโปร์

ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำการตลาดและจัดจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ SOKON right-hand drive ในสิงคโปร์และประเทศไทย ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน บริษัท แพลนเน็ต อีวี จำกัด (Planet EV) ซึ่งบริษัทย่อยของบริษัทฯ คิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันดำเนินธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งการผลิต ซื้อขาย ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทุกชนิด ตลอดจนธุรกิจให้บริการสถานี สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวง

สำหรับ Planet EV และ SEV ในฐานะ Joint venture ยังได้ลงนามกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% รายใหญ่จากจีน คือ Sokon motors chongqing group เพื่อเป็นตัวจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ไฟฟ้าประเภท ประเภทรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็ก มินิแวนบรรทุกไฟฟ้า ยี่ห้อ SOKON ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ในเบื้องต้น Planet EV และ SEV จะร่วมกันนำรถยนต์ไฟฟ้า 100% ยี่ห้อ Sokon มาทำการตลาดในประเทศไทย ในรูปแบบของการขายและให้เช่า โดย Planet EV จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่าย

นายประพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินการธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างครบวงจร Planet ยังลงนามความร่วมมือกับบริษัท Beep technologies (Voltality) ผู้ให้บริการโซลูชั่น plug-and-play ชั้นนำจากประเทศสิงคโปร์ ในการติดตั้งอุปกรณ์ POS สำหรับเชื่อม EV charger ทุกชนิด เข้าในระบบการชำระเงินเดียวกัน (Single payment platform) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันขยายธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
 

พ่อเจ้าสาว กล่าวสุนทรพจน์สุดซึ้ง  ทำคนทั้งงาน น้ำตาไหล จนกลายเป็นไวรัลบน TikTok

วันหนึ่งถ้าเปลี่ยนใจ ไม่รักลูกสาวของพ่อแล้ว ขออย่าทำร้ายเธอเลยนะ แค่พาเธอกลับมาหาพ่อ มาคืนให้พ่อก็พอ 

นี่คือเหตุการณ์จริงที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ 

คุณพ่อรายหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่น่าประทับใจ จนกลายเป็นไวรัลบน TikTok คำพูดของเขาทำเอาทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว และแม้แต่แขกที่มาร่วมงานยังน้ำตาซึม

คลิปเผยให้เห็นภาพคุณพ่อพาเธอเดินมาตามทางเดินเพื่อส่งตัวให้กับเจ้าบ่าว เมื่อไปถึงเจ้าบ่าว พ่อของเธอก็เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ว่า

"ผมส่งลูกสาวที่มีค่าของผมไปให้คุณแล้ว ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวของผมมาก ผมจึงอยากให้คุณรักเธอ ดูแลเธอ ให้ความสำคัญกับเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ใด ขอให้รักลูกสาวผมตลอดไป ขอให้มีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ขอให้ทุกอย่างสมหวังดั่งที่ต้องการ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง"

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ทำเอาคนทั้งงานน้ำตาไหลไปตามๆ กัน เมื่อคุณพ่อของเจ้าสาว กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า "ถ้าหากวันไหนคุณไม่รักลูกสาวของผมแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอ แค่พาเธอกลับมาคืนให้ผม"

ซึ่งเจ้าบ่าวตอบรับทั้งน้ำตาว่า "ตกลงครับ มันจะไม่เกิดขึ้น" คุณพ่อจึงตกลงประกาศว่า "โอเค ลูกสาวที่ล้ำค่าของผมเป็นของคุณแล้ว"

เจ้าบ่าวกล่าวว่า "ขอบคุณครับพ่อ" ก่อนที่จะร้องไห้โฮเข้าไปกอดคุณพ่อเจ้าสาวที่จังหวะนั้นก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ขณะที่แขกที่อยู่ในงานต่างพากันร้องไห้น้ำตาไหลตาม

โครงสร้างพื้นฐาน ‘ไทย’ พัฒนาแซงทิ้งห่าง ‘มาเลเซีย’ ส่วน 'สายสีเหลือง' หลังเปิดตัว ดันระยะทางรวมแซง ‘สิงคโปร์’ แล้ว

จากช่อง Youtube 'Up Comment' ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับโครสร้างพื้นฐานและรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ของประเทศไทย ซึ่งได้ติดอันดับโลก และขึ้นแซงประเทศเพื่อนบ้านแล้ว สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเนื้อหาในคลิปนั้น มีใจความว่า ...

โครงสร้างพื้นฐานไทย แซงทิ้งห่างมาเลเซีย ในขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ดันระบบรถไฟฟ้าไทย แซงสิงคโปร์ ธนาคารโลกมีการจัดอันดับ โครงสร้างพื้นฐานแต่ละประเทศในโลก ประจำปี 2023 โดยอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทย อยู่ในอันดับที่ 25 โดยอันดับดังกล่าว เป็นอันดับที่เหนือกว่าประเทศมาเลเซีย อีกหนึ่งประเทศที่เป็นคู่แข่ง ทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งการแซงมาเลเซียด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นครั้งแรก ได้เกิดขึ้นในปี 2018 โดยปีนั้นประเทศไทยได้อันดับที่ 32 ซึ่งเป็นการขยับอันดับขึ้นมาจากปี 2016 ที่ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 45 ซึ่งในปี 2018 ก็เป็นปีแรกที่ไทยมีอันดับทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน เหนือกว่าประเทศมาเลเซีย และดูเหมือนว่าอันดับจะทิ้งห่างออกมาอีกในปี 2023 นี้

โดยการจัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานนี้ เป็นรายงานจาก Logistics Performance Index (LPI) 2023 ในหมวดโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารโลก โดยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ได้คะแนนอยู่ที่ 3.7 คะแนน จัดเป็นอันดับที่ 25 ของโลก จาก 139 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถ้านับเฉพาะประเทศในอาเซียน ประเทศไทยตามหลังเพียงแค่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น (สิงคโปร์มีอันดับทางด้านโลจิสติกส์ เป็นอันดับที่ 1 ของโลก)

สำหรับในส่วนของอันดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอาเซียนนั้น มีการจัดลำดับได้ดังนี้...

- อันดับที่ 1 ประเทศสิงคโปร์ 4.6 คะแนน 
- อันดับที่ 2 ประเทศไทย (อยู่ที่อันดับ 25 ของโลก) ด้วยคะแนน 3.7 คะแนน 
- อันดับที่ 3 ประเทศมาเลเซีย 3.6 คะแนน 
- อันดับที่ 4 ประเทศฟิลิปปินส์ (อันดับ 47 ของโลก) ด้วยคะแนน 3.2 คะแนน
- อันดับที่ 5 ประเทศเวียดนาม ด้วยคะแนน 3.2 (เท่ากับประเทศฟิลิปปินส์)
- อันดับที่ 6 ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยคะแนน 2.9 คะแนน 
- อันดับที่ 7 ประเทศลาว (อันดับที่ 108 ของโลก) ด้วยคะแนน 2.3 คะแนน 
- และอันดับที่ 8 ประเทศกัมพูชา (อันดับ 125 ของโลก) ด้วยคะแนน 2.1 คะแนน โดยการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีข้อมูลของประเทศบรูไนและประเทศเมียนมา

ทั้งนี้ หากพูดถึงการเปิดตัวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองของไทยที่ผ่านมา ทำให้ระยะทางรถไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีระยะทางรวมแซงประเทศสิงคโปร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยข้อมูลของเพจ City Walker ได้มีการรายงานถึง ระยะทางของรถไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง ณ เวลานี้มีการเปิดทำการอยู่ 6 สาย ซึ่งเป็นระบบ LRT ทั้งหมด 4 สาย รวมระยะทางทั้งหมด 228 กิโลเมตร ในขณะที่ระยะทางรถไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามข้อมูลของกรมการขนส่งทางราง เมื่อมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เผยว่าระยะทางของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ณ เวลานี้ จะอยู่ที่ 242.34 กิโลเมตร (ยังไม่นับรวมโครงการที่กำลังก่อสร้าง ทั้งของประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์)

ฉะนั้น จากข้อมูลนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าระยะทางรวมรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความยาวรวมแซงประเทศสิงคโปร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าทางประเทศสิงคโปร์ จะยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่ ซึ่งนั่นก็คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (สิงคโปร์) แต่ถ้าเทียบไทยที่ยังคงมีโครงการก่อสร้าง ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่และมีแผนจะก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีส้ม หรือว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพู และยังมีแผนแม่บทรถไฟฟ้าในระยะที่ 2 ซึ่งก็จะดำเนินการก่อสร้างต่อไปในอนาคตอีกมากมายนั้น ก็ดูเหมือนไทยจะเริ่มแซงหน้าสิงคโปร์ในส่วนของระยะทางไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตามองกันต่อไปว่า ระยะทางรถไฟฟ้า ระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์นั้น ประเทศไหนจะครองแชมป์ในอาเซียนในอนาคตต่อไป

บัตรคอนเสิร์ต 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ในสิงคโปร์ขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ ส่วนราคาเที่ยวบิน-ที่พักพุ่ง!! ด้านนักเศรษฐศาสตร์หวั่นเกิด 'เงินเฟ้อ'

(8 ก.ค.66) บัตรคอนเสิร์ตของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ นักร้องสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเตรียมมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 6 รอบในเดือนมีนาคมปีหน้า จำหน่ายหมดแล้ว หลังเปิดขาย 2 วัน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้อง และนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน เตรียมลัดฟ้าบินมาเปิดคอนเสิร์ต ‘ดิ อีราส์ ทัวร์’ (The Eras Tour) ที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ 6 รอบ ในวันที่ 2-4 และ 7-9 มีนาคม ปี 2024

โดย เออีจี พรีเซนต์ส เอเชีย (AEG Presents Asia) ผู้จัดคอนเสิร์ต เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า บัตรเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตดังกล่าว “จำหน่ายหมดแล้ว” หลังจากเปิดขายรอบพรีเซลเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) และรอบทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับโค้ดกดบัตรเมื่อวานนี้ (7 ก.ค.)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แฟนๆบางส่วนในสิงคโปร์ ตั้งแคมป์ปักหลักต่อคิวนานข้ามวัน บริเวณด้านหน้าที่ทำการไปรษณีย์สิงคโปร์สาขาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อรอซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยนักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 22 ปี รายหนึ่งเปิดเผยว่า มาต่อแถวตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธ หลังจากพลาดบัตรรอบพรีเซล จึงตัดสินใจรีบมาตั้งแคมป์ที่จุดจำหน่ายบัตร เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ตั๋ว

สิงคโปร์เป็นจุดหมายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักร้องสาวชาวอเมริกันรายนี้จะมาเปิดการแสดงสดเป็นเวลา 6 คืนต่อหน้าแฟนๆ ที่โชคดีกว่า 3 แสนคน แต่ ‘สวิฟตี้’ จำนวนมากทั่วภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 500 ล้านคน พลาดโอกาสสุดพิเศษนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการคอนเสิร์ตและความบันเทิงที่พุ่งสูงหลังวิกฤตโรคระบาด และอุปสงค์ที่พุ่งสูง ทำให้ราคาบัตร

คอนฯ ปรับตัวขึ้นสูงตาม จนนักเศรษฐศาสตร์บางคนเรียกปรากฏการณ์เงินเฟ้อลักษณะนี้ว่า ‘สวิฟต์เฟลชัน’ (Swiftflation)

ขณะที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์ถูกตั้งคำถามว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้จะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า ราคาเที่ยวบินและโรงแรมทั่วเกาะพุ่งสูงขึ้นมากในสัปดาห์ที่ ‘เทย์เลอร์’ จะมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 

‘อินเดีย’ เตรียมส่ง ‘ดาวเทียมสิงคโปร์’ ทะยานสู่ห้วงอวกาศ เพื่อใช้สนับสนุนการถ่ายภาพดาวเทียมของหน่วยงานรัฐฯ

เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, นิวเดลี รายงานว่า องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย หรือ ‘ISRO’ ประกาศแผนการส่งจรวดปล่อยดาวเทียมพีเอสแอลวี-ซี 56 (PSLV-C56) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมดีเอส-เอสเออาร์ (DS-SAR) ของสิงคโปร์ พร้อมดาวเทียมอีก 6 ดวง ขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 30 ก.ค. นี้

แถลงการณ์จากองค์การฯ เผยกำหนดการปล่อยจรวดตอน 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากฐานปล่อยจรวดแห่งที่ 1 ของศูนย์อวกาศสาธิต ดาวัน ในเมืองศรีหริโกฎา โดยบริษัท นิวสเปซ อินเดีย จำกัด (Newspace India) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดสำนักอวกาศของอินเดีย เป็นผู้จัดซื้อจรวดดังกล่าว

องค์การฯ กล่าวว่าดาวเทียมดีเอส-เอสเออาร์ จะถูกใช้สนับสนุนการถ่ายภาพดาวเทียมของหน่วยงานต่างๆ ภายในรัฐบาลสิงคโปร์ โดยบริษัท เอสที เอ็นจิเนียริง (ST Engineering) ของสิงคโปร์ จะใช้ดาวเทียมสำหรับการถ่ายภาพหลายรูปแบบและตอบสนองไว รวมถึงบริการเชิงพื้นที่สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

อนึ่ง ดาวเทียมที่ปล่อยอีกหกดวง ได้แก่ วีลอกซ์-เอเอ็ม (VELOX-AM) อาร์เคด (ARCADE) สคูบ-2 (SCOOB-II) นูลิออน (NuLIoN) กาลาสเซีย-2 (Galassia-2) และโออาร์บี-12 สไตรเดอร์ (ORB-12 Strider)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top