Monday, 20 May 2024
ผิดกฎหมาย

คดีคนต่างด้าวถือครองที่ดินโดยผิดกฎหมาย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

สืบเนื่องจากปรากฏข้อมูลบนสื่อออนไลน์ว่า มีบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในประเทศไทย ซื้ออสังหาริมทรัพย์และถือครองที่ดิน ใน จ.เชียงใหม่ เป็นจำนวนมาก 


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. , พล.ต.อ. รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ บก.ตม.5 ร่วมกับ ภ.จว.เชียงใหม่ ตรวจสอบบริษัทที่เข้าข่ายต้องสงสัยที่ใช้ช่องว่างของกฎหมายในการถือครองตรวจสอบการถือครองที่ดินอสังหาริมทรัพย์และประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พบว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งเข้าข่ายลักษณะดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พงส.สภ.สันกำแพง 


ภ.จว.เชียงใหม่ จึงเร่งรัดให้รวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการขอหมายจับต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 8 หมาย ได้แก่ นิติบุคคล 1 หมาย คนจีน จำนวน 3 หมาย และคนไทย จำนวน 4 หมาย 


ต่อมาวันที่ 28 มี.ค.66  ภ.จว.เชียงใหม่ , บก.ตม.5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการปิดล้อมและติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 5 ราย ดังนี้

1.บริษัท ฟ้าหลวงการเกษตร จำกัด แจ้งข้อกล่าวหา Mrs.Qingfang Li (นางชิ่งฟาง หลี่) ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต”


2.Mrs.Qingfang Li (นางชิ่งฟาง หลี่) สัญชาติจีน เป็นผู้ที่ใช้ชื่อ นางปาริชาติฯ ถือหุ้นแทนตนและเป็นกรรมการ(Nominee)  ข้อหา “เป็นคนต่างด้าว ยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และเป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้นหรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย”


3.นางปาริชาติ  เป็นผู้ที่ถูก Mrs.Qingfang Li (นางชิ่งฟาง หลี่)   ใช้ชื่อถือหุ้นแทนตนและเป็นกรรมการ(Nominee)ข้อหา “เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือสนับสนุน ให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ โดยการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายอสังหาริมทรัพย์นี้เป็นธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษ ตามบัญชีท้าย บัญชีหนึ่ง ลำดับที่ 9 การค้าที่ดิน , เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้นหรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย”

‘ตร.สืบสวน’ รวบ ‘นวพร’ หัวหน้าใหญ่ ‘อุ้มบุญ-สวมบัตร’ แก๊งจีนเทา พบเอี่ยวค้ามนุษย์ทั้งในจีน-ไทย-กัมพูชา เผย ได้ค่าจ้างหัวละ 5 แสน!!

กรณีเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีชายชาวจีนสวมบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) และเข้าตรวจค้นอาคาร 5 ชั้นย่านถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางรัก พบบุคคลต่างด้าวจำนวน 7 ราย และตรวจพบว่าสภาพภายในมีการแบ่งซอยเป็นห้องพัก และมีอุปกรณ์ไว้สำหรับดูแลหญิงไทยที่รับอุ้มบุญให้กับชาวจีน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปนั้น

ล่าสุด วันที่ 11 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ขยายผลให้ทราบถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรชมพู และกรณีการอุ้มบุญดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่า ชื่อเจ้าของสถานที่ ดังกล่าวคือ น.ส.นวพร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่นำรายชื่อบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ภายในบ้านเลขที่ดังกล่าว

โดยใช้วิธีการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของตน และสำแดงเอกสารเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ย้ายชื่อบุคคลดังกล่าวเข้ามาในทะเบียนบ้าน และออกบัตรชมพูให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ น.ส.นวพรดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมและใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม น.ส.นวพร ได้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า น.ส.นวพร เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่ได้รับสัญชาติไทยจากการแต่งงานกับคนไทย จากนั้นหย่าร้าง และมีสามีใหม่เป็นคนสัญชาติจีน ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน โดยบุตรทุกคนได้รับสัญชาติไทยตามแม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ตามปกติ

น.ส.นวพร เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนจีนมาลงทุนทำธุรกิจ ความเสียหายมากกว่า 700 ล้านบาท ถูกดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับทางการจีนพบว่า น.ส.นวพรมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งในจีน ไทย และกัมพูชา เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และมีทรัพย์สินในครอบครองเป็นบริษัทหลายแห่ง ซึ่งมีชื่อของญาติและลูกของ น.ส.นวพร เป็นกรรมการบริหาร รวมทั้งที่ดินและรถหรูอีกจำนวนมาก ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนประสานงานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทามาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าเครือข่ายทุนจีนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีเครือข่ายของ น.ส.นวพรในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนจีนเหล่านี้ ในการสวมบัตรและอุ้มบุญ เพื่อให้ทุนจีนสีเทาเหล่านี้สามารถประกอบธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆ เสมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเข้ามากระทำผิดในราชอาณาจักรไทย

และทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง ออกบัตรสีชมพูต่างด้าวไว้ให้ พบว่ามีน.ส.นวพรที่มาแต่งกับคนไทย เพื่อให้ได้สัญชาติก่อนเลิกรา แล้วไปอยู่กินกับคนจีน ซึ่ง น.ส.นวพรเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มบุญ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 เรื่องอุ้มบุญจีนในไทย

“น.ส.นวพรมีการถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคนจีนและร่วมมือกับอาหม่า ซึ่งอดีตเลขาฯปปง.รู้จักดี จากการตรวจค้นพบว่ามีการแบ่งห้อง และมีเตียงจำนวนมาก และพฤติการณ์มีการทุจริตกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในการออกบัตรสีชมพู วันนี้จะขอออกหมายจับเจ้าหน้าที่เขต และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง

'เชียงราย' จับกุมผู้ต้องหาพยายามลักลอบนำรถจักรยานยนต์ 15 คันออกนอกราชอาณาจักรโดย 'ผิดกฎหมาย' ชายแดนแม่สาย

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566ที่ผ่านมา เวลา 21.00 นาฬิกา หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง โดย กองร้อยทหารม้าที่ 3 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังพล 1 ชุดปฏิบัติการ ทำการ ลาดตระเวนเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตามแนวชายแดนในพื้นที่ บ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัยท่าทางมีพิรุธกำลังจะนำรถจักรยานยนต์  

ลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร บริเวณ บ้านเลขที่ 923 บ้านแม่สาย

ตำรวจดีเดย์ บุกค้น 1,600 จุด ทั่วประเทศ จับกุมอาวุธปืนกว่า 900 กระบอก กระสุนเกือบ 50,000 นัด ตั้งเป้าลดความรุนแรงอาชญากรรม และการกระทำผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ นำหมายค้นเข้าตรวจค้นผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่าย ดัดแปลง ซื้อขาย และเกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม กว่า 1,600 จุด วิสามัญคนร้ายมีหมายจับข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เสียชีวิต 1 ราย จับกุมผู้กระทำผิดเกือบ 1,000 คน และตรวจยึดอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมายจำนวนมาก ตั้งเป้าลดความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมาย  

วันนี้ 22 กรกฎาคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกและความผิดอื่นที่เกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.66 นั้น

ในส่วนของมาตรการป้องกันปราบปราม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานป้องกันปราบปราม ได้กำหนดให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายห้วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมีเป้าหมาย เช่น ความผิดเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควบคุมการปฏิบัติในภาพรวม 
 
ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญฯ ได้สั่งการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเครือข่ายผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายระหว่างหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ทำให้ได้ข้อมูลผู้กระทำผิดจำนวนมาก นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้ส่งเป้าหมายการสืบสวนขยายผลผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ส่งขายให้กับลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีกกว่า 300 จุด และกำหนดเข้าปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย พร้อมกันทั่วประเทศ จำนวน 1,658 จุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

ผลการระดมกวาดล้าง
1. จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 966 ราย 
2. ตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย
2.1 อาวุธปืนเถื่อน ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 811 กระบอก 
2.2 อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น (ปืนผิดมือ) จำนวน 99 กระบอก
2.3 เครื่องกระสุนปืน จำนวน 44,540 นัด
2.4 วัตถุระเบิด จำนวน 2 ลูก 
2.5 ยาบ้า จำนวน 6,239 เม็ด
    
สำหรับในการตรวจค้นครั้งนี้ มีการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญเช่น

• ตำรวจภูธรภาค 8 โดย ฝ่ายสืบสวน สภ.เขาพนม , กก.สส.ภ.จว.กระบี่ และ บก.สส.ภ.8 ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้าน นายอนุชัย หรือบูม สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดและพยายามฆ่า เจ้าพนักงาน โดยมีหมายจับติดตัวจำนวน 3 หมาย หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นนั้น ผู้ต้องหารู้ตัวและได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปทางด้านหลังบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป ทันใดนั้นผู้ต้องหาวิ่งสวนออกมาจากที่ซ่อน และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงตอบโต้ถูกผู้ต้องหาเสียชีวิต ตรวจสอบที่ศพพบ อาวุธปืนพกสั้นยี่ห้อ Mauser ขนาด 9 มม. ตกอยู่ข้างตัว และ พบลูกระเบิดชนิดขว้าง M 67 จำนวน 1 ลูก และ ระเบิดควันจำนวน 2 ลูก อยู่ในกระเป๋าสะพายที่ผู้ต้องหาสะพายติดตัวอยู่ พนักงานสอบสวนจึงได้ร่วมกับ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ และให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้อีกส่วนหนึ่งแล้ว 
• ตำรวจภูธรภาค 4 โดย ภ.จว.อุดรธานี และ สภ.กุมภวาปี ได้เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา นายสมยศ หรือ เอ็ม ขอสงวนนามสกุล อายุ 42 ปี ที่บ้านพักใน ต.ห้วยเกิ้ง อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ในความผิดฐาน “ทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่งนำเข้า มีหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน สำหรับการค้า ,  มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน , มีและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนดัดแปลงแบบออโตเมติกและลูกโม่ ลำกล้องขนาด 9 มม. , .38  ละ .380 จำนวน 8 กระบอก แม็กกาซีน 17 อัน กระสุนปืนขนาดต่างๆ รวมกว่า 140 นัด ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด และอุปกรณ์พร้อมเครื่องมือที่ใช้ผลิตหรือดัดแปลงอาวุธปืนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง
    
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด โดยในห้วงที่ผ่านมามีการกระทำความผิดและใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของหน่วยต่างๆ เพื่อบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายลดลง
    
“การระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืนจำนวนมากในครั้งนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ทุกนายแล้ว ขอขอบคุณไปยังฝ่ายปกครอง และเครือข่ายภาคประชาชน ที่แจ้งข้อมูลผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ดัดแปลง จำหน่าย และซื้ออาวุธปืน เพื่อสืบสวนจับกุมทั้งหมด ขอฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม หรือเรื่องอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าว 

ผู้ว่าฯ 'ชัชชาติ' ชี้!! มีการแจ้งทักท้วง 'แอชตัน อโศก' หากขัด กม.ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด

(3 ส.ค. 66) กทม. นำโดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร และ รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมมพล รองผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร และนายสุรัช ติระกุล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมอาคาร แถลงข่าวประเด็นโครงการแอชตัน อโศก เผยไทม์ไลน์ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ระบุ กทม. ได้มีการแจ้งทักท้วงเรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม. ไปแล้ว 3 ครั้ง ระหว่างปี 2558 - 2559 

ไทม์ไลน์การยื่นแจ้งของโครการแอชตัน อโศก มีดังนี้ 

-23 ก.พ.2558 ยื่นแจ้งก่อสร้างครั้งที่ 1 (ไม่รับทราบแบบแปลน)
-26 พ.ค.2558 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลน

-16 ก.ค.2558 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 2 (ไม่รับทราบแบบแปลน)
-27 ต.ค.2558 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม.

-2 มิ.ย.2559 สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ยื่นฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส.53/2559
-22 มิ.ย.2559 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 3
-17 ส.ค.2559 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม.

-21 พ.ย.2556 บ.ยื่นแก้ไขข้อทักท้วง ยืนยันว่า รฟม. ให้ใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดิน รฟม. ตามหนังสือที่ รฟม. 012/1139 ลว.4 ก.ค.2557 และหนังสือที่ รฟม. 014/1568 ลว.4 ก.ย.2557 ประกอบการขออนุญาตได้

-30 ม.ค.2560 กทม. มีหนังสือรับทราบแบบแปลนการยื่นแจ้งครั้งที่ 3 และแจ้งเงื่อนไขการนำที่ดิน รฟม.มาใช้
-9 มี.ค.2560 สยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 450/2560
-17 พ.ย.2560 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 4

-26 ธ.ค.2560 กทม. มีหนังสือรับทราบแบบแปลนการยื่นแจ้งครั้งที่ 4 และแจ้งเงื่อนไขการนำที่ดิน รฟม.มาใช้ และการออกใบรับรองการดัดแปลง
-24 ม.ค.2561 แจ้งผลว่าดัดแปลงไม่แล้วเสร็จ 

-5 ก.พ.2561 ยื่นแจ้งขอใบรับรองดัดแปลงอาคาร กทม.
-28 ก.พ.2561 แจ้งผลว่าดัดแปลงไม่แล้วเสร็จ  

-20 มี.ค.2561 บริษัทฯ ขออุทธรณ์ ว่าอาคารก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ สนย. ไม่ออกใบรับรองให้ 
-11 เม.ย.2561 สนย. ส่งเรื่องบริษัทฯ ขออุทธรณ์หนังสือ ให้ คกก.พิจารณาอุทธรณ์
-4 มิ.ย.2561 แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งผลการดัดแปลง เนื่องจากการไม่ออกใบรับรองโดยอ้างเหตุว่ามีการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่อไป

-11 มิ.ย.2561 สนย. ออกใบรับรองการก่อสร้าง และแจ้งเงื่อนไข
-30 ก.ค.2564 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนใบรับแจ้งฯ ทุกฉบับโดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ออกแต่ละฉบับ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
-24 พ.ย.2565 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ใช้อำนาจตามมาตรา 41 และ 42 แล้วแต่กรณี ภายใน 90 วัน

-27 ก.ค.2566 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางให้เพิกถอนใบรับแจ้งฯ ทุกฉบับโดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ออกแต่ละฉบับ

กทม. ระบุว่า การออกใบรับรองการก่อสร้างและดัดแปลงอาคารลงวันที่ 11 มิ.ย.2561 เป็นการออกใบรับรองแบบมีเงื่อนไข ระบุว่า

"เรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ที่มีผู้ฟ้องคดีกรณีโครงการใช้ที่ดินของ รฟม. หากศาลมีคำสั่งพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดแล้วผลการพิพากษาทำให้อาคารของโครงการขัดต่อกฎหมาย ผู้ได้รับใบรับรองจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น"

‘สส.ก้าวไกล อยุธยา’ โพสต์โปรโมตเบียร์ซ้ำรอย ‘หมออ๋อง’ ด้าน ‘ไอซ์ รักชนก’ ไม่ปราม กลับคอมเมนต์แซว ‘แบ้วเกิ๊น’

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค. 66) นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.เขต 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพตัวเองถือกระป๋องเบียร์และโปรโมตร้านขายเบียร์ โดยระบุข้อความว่า…

ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีคนทำ ‘เบียร์ยี่ห้อตัวเอง’ มาให้เรา ไม่คิดว่าจะได้มีเรื่องประทับใจแบบนี้เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป คนทำเบียร์ยุดยา นี่มันน่าร้ากกกกทุกคนเลยครับ มีหลายยี่ห้อด้วย Dark House Bar ของที่ระลึกชิ้นนี้ เราจะเก็บรักษาเพื่อเตือนใจ พวกเราให้ทำงานเต็มที่ เดินหน้าความฝันที่ทุกท่านส่งต่อมาให้ครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #กรุงเก่าก้าวไกล #เต้ทวิวงศ์

โพสต์ดังกล่าวได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กบางส่วนเข้ามาเตือนนายทวิวงศ์ให้รีบลบโพสต์ เพราะเป็นกรณีเดียวกับนายแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ สส.พรรคก้าวไกล ที่โพสต์ภาพเบียร์พิษณุโลก

อย่างไรก็ตามนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็ได้มาคอมเมนต์ด้วย ทว่ากลับไม่มีการทักท้วงเพื่อน สส.ว่าเป็นการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย แต่กลับคอมเมนต์ว่า ‘แบ้วเกิ๊น’

สำหรับการโพสต์ของนายทวิวงศ์ ส่อเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม

ตำรวจไซเบอร์จับ 2 บัญชีม้าขบวนการอ้างพัสดุผิดกฎหมาย แต่งชุดตำรวจวิดีโอคอลหลอกโอนเงิน สูญกว่า 2.6 ล้าน

สืบเนื่องจาก เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 66 ที่ผ่านมา ได้มีมิจฉาชีพโทรหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นพนักงานส่งพัสดุของแบรนด์ดัง แจ้งว่ามีพัสดุส่งจาก จ.ตาก ไป จ.อุบลราชธานี โดยมีชื่อผู้ส่งเป็นชื่อผู้เสียหาย โดยหลอกว่าในกล่องพัสดุมีสมุดบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย จำนวน 3 เล่ม และมีหนังสือเดินทางของชาวจีนอีกจำนวน 15 เล่ม  ต่อมา ผู้เสียหายหลงเชื่อ มิจฉาชีพจึงโอนสายให้ คุยกับตำรวจปลอม อ้างสังกัด สภ.เมืองตาก แล้วขอภาพถ่ายบัตรประชาชนจากผู้เสียหายไป นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังได้ขอแอดไลน์และวิดีโอพูดคุยในชุดเครื่องแบบตำรวจติดยศระดับพันตำรวจเอกอ้างว่าเป็นผู้กำกับ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และพูดจาข่มขู่ให้ผู้เสียหายรู้สึกกลัว แล้วหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ทำการตรวจสอบ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินไปทั้งสิ้น จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,661,529.45 บาท สุดท้าย เมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอก จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ บก.สอท.3 เร่งสืบสวนหาตัวผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้หลายราย

กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3  ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า มีผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารให้ขบวนการดังกล่าวใช้เป็นเครื่องมือ กบดานอยู่ในพื้นที่ จ. เพชรบุรี จำนวน 2 ราย จึงได้ร่วมกันลงพื้นที่และวางแผนเข้าจับกุม

ต่อมา วันที่ 16 ต.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ โดยสามารถจับกุม นายธีรนพ อายุ 21 ปี และ นายไพบูลย์ อายุ 24 ปี ชาวเพชรบุรี ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”  โดยสามารถควบคุมตัวได้ในพื้นที่ ต.ช่องสะแก และ ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี จึงนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.3 ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะข่าวฯ บก.สอท.3 ได้ดำเนินการสั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์, พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ และ ชุดสืบสวน ร่วมกันดำเนินการจับกุม

กระบี่-เปิดปฏิบัติการ (Kick off) ปล่อยแถวระดมกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมายตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล เน้นย้ำการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

นายสมชาย หาญภักดีปฎิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมายตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อสนองนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการป้องกันและปราบปราม ผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งออกตรวจจัดระเบียบสังคม เพื่อกวดขัน ตรวจตรา และให้คำแนะนำต่อสถานบริการสถานประกอบกิจการต่างๆ ได้ถือปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดในการเปิดให้บริการเน้นย้ำห้ามเด็กและเยาวชนเข้าใช้บริการ ในสถานบริการและห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กและเยาวชน รวมถึงการปิดให้บริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

สำหรับจังหวัดกระบี่ได้เร่งจัดตั้งกลไกในการดำเนินการ การติดตามและรายงานผล เพื่อนำนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปสู่ การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ทุกภาคส่วน ร่วมกับชุดปฏิบัติการของฝ่ายปกครองที่จังหวัดและอำเภอจัดตั้ง ดำเนินการตั้งจุดตรวจจุดสกัดสิ่งผิดกฎหมาย ตรวจตรา หาข่าวที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การครอบครองและพกพาอาวุธปืน การพนัน ผู้มีอิทธิพล ตลอดจนสถานบริการและสถานบันเทิง ที่กระทำผิดกฎหมาย และเน้นย้ำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนในทันที

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้แจ้งเบาะแสมายังศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1195 พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนในทุกภาคส่วนของสังคม ได้ร่วมกันใช้มาตรการทางสังคม กดดันผู้กระทำผิดให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการทางกฎหมายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในการขยายผลปราบปรามจับกุมอย่างจริงจัง พร้อมทั้งร่วมกันให้ข้อมูลข่าวสาร หรือเบาะแสเพิ่มเติม เกี่ยวกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ผ่านทาง ตู้ ปณ. 1111 รวมทั้ง ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่าน หมายเลข 1599

ผบ.ตร.สั่งด่วน จเรตำรวจ เร่งตรวจสอบสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุง ว่ามีลักษณะเป็นส่วย หรือเจ้าหน้าที่ไปมีเอี่ยวหรือไม่ รายงานผลภายใน 3 วัน เน้น น.1 ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง คาดโทษตำรวจทั่วประเทศห้ามยุ่งเกี่ยวเรียกรับผลประโยชน์

เมื่อวานนี้ (9 พ.ย.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุงว่า “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ได้สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.จตช. ตรวจสอบข้อเท็จกรณีกรณีรถบรรทุกประสบเหตุ ตกบ่อก่อสร้างโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินทรุดตัว ถนนสุขุมวิท หน้าซอยสุขุมวิท 64/1 เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 จนเป็นเหตุที่ประชาชนได้รับ ผลกระทบเป็นวงกว้าง มีผู้บาดเจ็บ โดยทำให้การจราจรไม่สามารถใช้การได้หลายชั่วโมง ขณะที่บริเวณกระจกด้านหน้า รถบรรทุกคันดังกล่าว มีรูปดาว ตัวอักษรภาษาอังกฤษ B สีเขียว โดยประธานสหพันธ์ขนส่งแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า เป็นสัญลักษณ์ของส่วยสติ๊กเกอร์ตามที่ปรากฏภาพข่าว จึงให้จเรตำรวจดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จว่า มีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับผลประโยชน์ทั้งทางตรง ทางอ้อมหรือไม่ หากพบให้ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา วินัยและปกครอง และรายงานผลให้ทราบ ภายใน 3 วัน

ผบ.ตร.ยัง สั่งกำชับให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ลงไปควบคุมการทำคดีนี้ อย่างตรงไปตรงมา ทำความจริงให้ปรากฎ รวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกฐานความผิด รวมทั้งประเด็นข้อสงสัยของสังคม เช่น การเคลื่อนย้ายดินออกจากรถ หรือประเด็นอื่นๆ  และให้สืบสวนขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย หากพบเป็นความผิด

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้สั่งการย้ำให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้สังคมรับทราบ และเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกรายที่ฝ่าฝืนทำผิดกฎหมาย พร้อมกำชับตำรวจทั่วประเทศไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากส่วยสติกเกอร์ หรือสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบจะดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา ปกครอง วินัย รวมทั้งเอาผิดผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยด้วย

ตร. เตือน จำนำรถติดไฟแนนซ์ ผิดกฎหมาย! ส่วนคนรับจำนำ หรือซื้อรถหลุดจำนำ เสี่ยงผิด “รับของโจร”

วันนี้ ( 1 กุมภาพันธ์ 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ โดยปัจจุบันได้มีพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาภาระหนี้สิน เนื่องมีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรือต้องรีบหาเงินมาชำระให้กับเจ้าหนี้ ได้นำรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระกับสถาบันทางการเงิน หรือที่เรียกว่า “รถติดไฟแนนซ์” ไปจำนำไว้กับผู้ที่ประกาศรับจำนำรถ ทั้งที่ยังมีภาระหนี้สินกับไฟแนนซ์อยู่

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่า รถที่ติดไฟแนนซ์หรืออยู่ระหว่างผ่อนชำระกับสถาบันทางการเงิน ผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของรถตัวจริงของรถคันดังกล่าว คือสถาบันทางการเงิน ส่วนผู้เช่าซื้อเป็นเพียงผู้ครอบครองเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์

ดังนั้น การที่ผู้เช่าซื้อนำรถติดไฟแนนซ์ไปจำนำ แล้วผู้เช่าซื้อไม่ผ่อนชำระหรือไม่นำเงินมาปิดยอดไฟแนนซ์ที่เหลืออยู่ จะเข้าข่ายเป็นการ “ครอบครอบทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต” ซึ่งเป็นความผิดฐาน “ยักยอก” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนผู้รับจำนำหรือผู้รับซื้อรถคันดังกล่าว หากรู้หรือควรจะรู้ได้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถติดไฟแนนซ์ การรับจำนำหรือรับซื้อรถคันดังกล่าวไว้ อาจเข้าข่ายเป็นการ “ซื้อ หรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานยักยอก” ซึ่งเป็นความผิดฐาน “รับของโจร” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนการสังเกตว่า รถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ให้ตรวจสอบจาก “ใบคู่มือจดทะเบียน” ซึ่งจะระบุ รายละเอียดทะเบียนรถ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ และผู้ครอบครองรถ ถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่าชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ เป็นชื่อของสถาบันทางการเงิน ให้ระมัดระวังในการรับจำนำ หรือรับซื้อรถคันดังกล่าว เพราะอาจตกเป็นผู้กระทำความผิดฐาน “รับของโจร” ได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top