Friday, 3 May 2024
ประธานสภา

นับถอยหลัง ‘สุชาติ’ คว้าเก้าอี้ประธานสภาฯ ‘ทิม  พิธา’ เต็งหาม ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ

28 มิ.ย. เห็นนสพ.(ไทยโพสต์  รายวัน)พาดหัวตัวเป้ง..”14+1 หักก้าวไกล” พร้อมคำขยายว่า..เพื่อไทย ล็อกเก้าอี้ประธานสภา  ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น..”เล็ก  เลียบด่วน” ไม่ได้โม้...ประเด็นนี้ได้ฟันธงมานานแล้ว  และไม่แต่เก้าอี้ประธานสภาฯเท่านั้น ยังได้ฟันธงว่า..ที่สุดของที่สุด คุณพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์   ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก..

งานนี้พรรคก้าวไกลก็คงได้ลิ้มรสชีวิตจริงทางการเมืองมากขึ้น...ความฮึกเหิมทางการเมืองที่คิดจะกินรวบประเภท 14+2  คือ  กวาด 14 รัฐมนตรีว่าการ  กับอีกสองเก้าอี้ใหญ่คือ นายกรัฐมนตรีและเก้าอี้ประธานสภาฯ ในขณะที่คะแนนต่างกับเพื่อไทยแค่ 10 เสียงนั้นเป็นเรื่องที่น่าจะอ่านออกมาแต่ต้นว่าพรรคเพื่อไทยไม่น่าจะยอมได้...

ท่าที ท่วงทำนองฮึกเหิมห้าวหาญของพรรค”ด้อมส้ม” ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้นอกจากมองว่า..พวกเขาเชื่อมั่นใน 14 ล้านเสียงจนมากเกินไป และเบื้องลึกผู้ทรงอิทธิพลในพรรคหรือโปลิตบูโรพรรคอาจจะกดปุ่มให้เดินเกมได้เสีย   คือถ้าได้ต้องได้ทั้งสองเก้าอี้ใหญ่  ถ้าไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายค้านสร้างความเชื่อมั่นรอส้มทั้งแผ่นดินในการเลือกตั้งครั้งหน้า...

อย่างไรก็ตาม..สงครามยังไม่จบ “เล็ก  เลียบด่วน” ก็ยังไม่อยากนับศพทหาร..ฟังมาว่าวงเจรจาเก้าอี้ประธานสภาวันสองวันนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน    จะเปิดอกคุยกันอีกครั้งในวันที่ 30 มิ.ย.  คุณหมอชลน่าน  ศรีแก้ว  หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าแม้พรรคจะยืนยันในหลักการ 14+1  แต่ยังไม่ใช่มติพรรค...ต่อเมื่อไปคุยกับพรรคก้าวไกลอีกครั้งถ้ายังตกลงกันไม่ได้ก็จะใช้มติพรรคว่าเดินหน้าต่ออย่างไร...

นั่นคือท่าทีเชิงเทคนิคของคุณหมอชลน่าน...

ในส่วนของพรรคก้าวไกลนั้นยังไม่มีอะไรแหลมคมออกมามากไปกว่าตอนทุ่มเศษที่มีการเปิดตัว “หมออ๋อง”  ปดิภัทธ์  สันติภาดา   ส.ส.สมัยที่สองจากพิษณุโลก   ซึ่งหลายคนบอกว่าเขาคือสัตวแพทย์ปากจัด..  เป็นตัวชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ หลังจากพรรคเพื่อไทยเปิดเกมแถลงยืนยันสูตร 14+1 ตอน5โมงเย็น...เรียกว่าสองพรรคเริ่มเปิดฉากออกอาวุธชิงไหวชิงพริบกันแล้ว    ทั้งนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนาทีนี้หวยล็อกเก้าอี้ประธานสภาฯยังไม่เปลี่ยนไปจาก “พ่อมดดำ” สุชาติ  ตันเจริญ   ส.ส.9 สมัย  เป็นรัฐมนตรีมา 2 สมัย  รองประธานสภาฯมา 2 สมัย..

ครับ..สุดท้ายถ้าสองพรรคใหญ่เจรจาตำแหน่งประธานสภาฯกันไม่ได้ก็ต้องนำไปสู่การฟรีโหวตโดยที่ประชุมสภา  ซึ่งก็เดาไม่ยากว่าพรรคก้าวไกลจะแพ้หลุดลุ่ย...และหลังจากนั้นก็แทบจะพูดได้ว่าจบเกม..หรือที่คุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธ์  หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยบอกกว่า “จบเห่” นั่นเอง...หรือแม้แต่คุณหมอชลน่านก็ยอมรับว่าถ้าสถานการณ์ลากไปถึงขั้นฟรีโหวตมันจะไม่เป็นผลดีกับการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล  ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยประการทั้งปวง...

สุด..ไม่ว่าจะฟรีโหวตไม่ฟรีโหวตก็ฟันธงว่า เพื่อไทยจะคว้าเก้าอีกประธานสภาฯมาครอง...คำถามใหญ่กว่าที่รอยู่เบื้องหน้ามีอยู่สองประการคือ...หนึ่ง) รัฐบาลใหม่จะยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลหรือไม่   สอง)ใครจะเป็นนายกฯ ซึ่งในชั้นนี้เขียนชื่อแปะไว้ข้างฝาเป็นครั้งที่สิบว่า..ถ้าไม่ใช่ชื่อ ป้อม  ประวิตร ก็ จะเป็น  นิด  เศรษฐา  หรืออุ๊งอิ๊ง  แพทองธาร...

ส่วน ทิม  พิธา  นั้น  เป็นเต็งจ๋าเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  -เอวัง

เลขาสภาฯ ยังไม่มีหนังสือเชิญ ส.ส. ประชุมนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯ คาดรอความพร้อมจาก ‘พรรคก้าวไกล’ และ ‘พรรคเพื่อไทย’ หารือกันให้ลงตัวก่อน

นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือ แจ้งสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ขอเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดประชุมรัฐสภาวันที่ 3 ก.ค. เวลา 17.00 น ณ ห้องโถง พิธีชั้น 11 อาคารรัฐสภา ซึ่งตามกำหนดการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดประชุมรัฐสภา และจะมีนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี คณะ ทูต ทูตานุทูตประเทศต่างๆ ประธานศาลฎีกาและประธานองค์กรอิสระเข้าร่วม กว่า1,000 คน ทั้งนี้ได้แนบคำแนะนำสำหรับสมาชิกรัฐสภาในพิธีเปิดประชุม ทั้งขั้นตอน ต่างๆ และเครื่องแบบการแต่งกายด้วย

ส่วนวันที่ 4 ก.ค.เดิมที่วางไว้เป็นกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาฯ ทั้ง2 คน จนถึงขณะนี้ทางสำนักงานเลขาฯ ยังไม่มีการทำหนังสือเชิญสมาชิกเข้าร่วมประชุม โดยมีรายงานว่า สภาฯจะขอประเมินสถานการณ์ความพร้อมในการเลือกประธานสภาฯ อีกครั้งก่อน เนื่องจากขณะนี้ทั้ง 2 พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งพรรคตก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ยังไม่ลงตัวในตำแหน่งนี้ คาดว่าต้องรอการหารือของ 8 พรรคการเมืองในวันที่ 2 ก.ค.นี้ และตามขั้นตอนสภาฯจะต้องทำหนังสือแจ้งสมาชิกให้รับทราบล่วงหน้า 3 วันก่อนที่จะมีการประชุม และตามกรอบเวลาตามระเบียบ วันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกจะต้องเปิดประชุมภายใน10 วัน นับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา ซึ่งจะตรงกับวันที่ 12 ก.ค. 

ศึกชิงตำแหน่งประธานสภาฯ

ศึกชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ระหว่างก้าวไกลและเพื่อไทยยังคงลอยเป็นกระแสในโลกโซเชียลอยู่ กองเชียร์ของทั้ง 2 พรรคต่างก็มีเหตุผลมาหนุนให้พรรคในดวงใจได้นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ 
.
โดยตัวเต็งของเพื่อไทย คือ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ อดีตรองประธานสภาฯ คนที่ 1 (ปี 2548 และ 2562) และอดีต ส.ส. 9 สมัย มีประสบการณ์ทางการเมืองมากกว่า 30 ปี 
.
ทางฟากก้าวไกลก็คือ ‘หมออ๋อง’ ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตสัตวแพทย์ อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ (ก่อนเป็นก้าวไกล) หนึ่งในมืออภิปรายทุจริตกองทัพ ต้นตอกราดยิงโคราช
.
วันนี้ THE STATES TIMES สรุปประวัติคร่าวๆ ของตัวเต็งทั้ง 2 พรรคมาให้แล้ว จะโดดเด่น เหมาะสมกับตำแหน่งแค่ไหน มาดูกัน!!
 

‘พิธา’ จบข่าว.. ‘ป้อม-เศรษฐา-อนุทิน’ ชิงชัย ถอดรหัส ‘พีระพันธุ์’ ทิ้งเก้าอี้ ส.ส. ลุ้นเก้าอี้ใหญ่

ย่างสู่วันแรกของเดือนใหม่..กรกฎาคม เดือนแห่งความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  เริ่มหลักกิโลเมตรใหม่ทางการเมือง   มีประธานรัฐสภาคนใหม่  นายกรัฐมนตรีคนใหม่...ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ยังฟันธงให้ขาดผึงไม่ได้ว่าเป็นใคร...เพียงแต่น่าเชื่อว่า..

ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภา  ตัวเต็งคือ “พ่อมดดำ”สุชาติ  ตันเจริญ จากพรรคเพื่อไทย   “ตัวตึง”คือ ปดิพัทธ์    สันติภาดา  หรือ”หมออ๋อง”จากค่ายก้าวไกล...ซึ่งต้องรอดูคำตอบสุดท้ายจากการเจรจาของสองพรรคใหญ่ในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ว่าจะยอมกัน ณ จุดไหน อย่างไร..

ตำแหน่งประธานสภาฯ จะบอกเล่าเรื่องราวและเรื่องยาวได้ชัดเจนว่า  หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 จะเป็นใคร  แต่ในชั้นนี้ “เล็ก  เลียบด่วน” ฟันธงด้วยการข่าวว่าให้ตัดชื่อ..พิธา   ลิ้มเจริญรัตน์  ออกไปได้เลย  แม้จะถูกเสนอชื่อและอีก7พรรคร่วมชะตากรรมโดยเฉพาะเพื่อไทยจะยืนยันนอนยันเป็นครั้งที่555 แล้วว่าจะหนุนจนสุดตัวสุดทาง...และแม้จะมีกระแสข่าวเล็ดรอดออกมาว่ามีการทุ่มทุนล็อบบี้ส.ว.กันอย่างเอาการเอางานก็ตาม..

ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า..กรณีการใช้ยุทธปัจจัยจากกลุ่มทุนบางกลุ่มล็อบบี้ส.ว.นั้นเป็นการล็อบบี้ให้กับตัวเต็งนายกฯที่ชื่อ “เศรษฐา” หรือ “อุ๊งอิ๊ง”  เป้าหมายเพื่อสกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งบัดนี้คนในสภาสูงจำนวนหนึ่งที่ใจแกว่งกะจะหาโบนัสส่งท้ายก่อนสิ้นวาระกลางปีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนใจร้องเพลง..ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า..กันเป็นแถว..

สรุปรวมความ..เต็งจ๋านายกฯตอนนี้ยังคงเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ  ที่ลูกน้องดันหลังเต็มแม็กซ์ แต่เสียงสนับสนุนจากส.ว.ยังไม่แน่นหนาเท่าที่คนภายนอกนึกคิด

เต็งสอง  ห้ามมองข้ามก็คือ..เศรษฐา ทวีสิน  จากเพื่อไทย นาทีนี้ภาษากายบ่งบอกชัดเจนว่า..พร้อมมาก..พร้อมที่จะเป็น...ซึ่งโอกาสมีไม่น้อยถ้าเพื่อไทยไม่ผูกขาไว้กับพรรคก้าวไกลแบ่บว่า..ไปไหนไปด้วยกัน..

เต็งสาม   แม้จะชื่อ”หนู” แต่ก็อาจเป็นหนูที่อาจช่วยราชสีห์..เป็นทางเลือกให้กับบ้านเมืองเดินหน้าไปได้..ใช่แล้ว..เขาคืออนุทิน  ชาญวีรกูล   หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ที่ “เล็ก   เลียบด่วน” ขอยืนยันว่าคนในสภาสูงเขาอยากโหวตให้มาก...

...ส่งท้าย ด้วยปริศนาการเมือง จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่าว่าแต่คนภายนอกเลยที่ออกอาการงงเต้ก..คนในพรรคเองก็มึนตึ้บไปตามๆกัน  กรณี”บิ๊กตุ๋ย”พีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค”  หัวหน้าพรรค ไม่ไปรายการตัวเป็นส.ส.ซึ่งเท่ากับสละตำแหน่งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 ของพรรคไป..

ดูเฟซบุ๊กพีระพันธุ์ วันที่ 30 มิ.ย.ระบุว่าเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.เคยบอกว่าจะไม่มีวันทิ้ง”ลุงตู่” วันนี้วันที่ 30 มิ.ย.ขอยืนยันอีกครั้งว่าจะทำหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีช่วยลุงตู่จนวินาทีสุดท้าย...ก่อนที่จะตบท้ายว่า  “ในฐานะหัวหน้าพรรคผมไม่ได้หายไปไหน  ผมยังคงทำหน้าที่กองทุนและดูแลการทำงานของพรรค  ของส.ส.และของสมาชิกพรรคให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติของเราตลอดไป”

สายข่าวของ “เล็ก  เลียบด่วน” แจ้งว่าวันที่ 3 ก.ค.พีระพันธุ์จะไปยืนเข้าเฝ้ารับเสด็จฯร่วมรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในฐานะตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี..ในขณะที่มีการคาดหมายกันว่า..อนาคตฉากต่อไปเขาอาจรับบทรัฐมนตรีหรือตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง...ซึ่งเราๆท่านๆยังไม่รู้

แต่”บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กตุ๋ย” รู้แล้ว..!!??

ย้อนดู พฤติกรรม ว่าที่ประธานสภาฯ ‘หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ อภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

‘หมออ๋อง’ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก อดีตนายสัตวแพทย์ ที่พรรคก้าวไกล ส่งชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร สู้กับพรรคเพื่อไทย หากเราลองย้อนดูพฤติกรรมที่ผ่านมาของหมออ๋องแล้ว ก็จะพบว่ามีพฤติกรรมหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะสม

หมออ๋องไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ 
ซึ่งประเด็นนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เคยกล่าวอภิปรายในร่างข้อบังคับฯ ในประเด็นการแต่งกายของส.ส. แล้วว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ การแต่งกายไม่เรียบร้อยนั้นเป็นการไม่เคารพต่อประธานสภาและเพื่อนสมาชิก

หมออ๋อง ขึ้นอภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
โดยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2563 นายปดิพัทธ์อภิปรายว่า "นี่เป็นคำถามแห่งยุคสมัย ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า จากบทสนทนาที่เราคุยกันในโต๊ะอาหาร วงเหล้า หรือในกลุ่มเพื่อนสนิท ตอนนี้กลับมาเป็นประเด็นทางสาธารณะ มันหมายความว่านี่คือคำถามแห่งยุคสมัย แทนที่ผู้ใหญ่จะใช้วิธีปิดปากปิดตา ปิดหู ทำไมเราไม่ทำหน้าที่ในการตอบ ในการถามกลับ” 

ในปี 2565 นายปดิพัทธ์ ยังได้เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของมาตรา 112 ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน ในช่วงที่นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวังไม่ได้รับการประกันตัวจากการถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565

นายปดิพัทธ์ เคยกล่าวถึงบทบาทของอนุ กมธ. ชุดนี้ว่า ต้องการสร้างกระบวนการที่สามารถให้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและหาทางออกร่วมกันได้ โดยได้มีการเรียกให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี ม.112

ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้เตรียมจะส่งนายสุชาติ ตันเจริญ หรือพ่อมดดำ ส.ส.ฉะเชิงเทรา หลายสมัย ผู้มากประสบการณ์ ในการเดินเข้าสภาฯสมัยที่แล้ว ก็ยังได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ถ้าเปรียบเชิงมวยกันแล้วก็ดูเหมือนว่า พ่อมดดำ นั้นจะได้เปรียบหมออ๋องอยู่ไม่น้อย เพราะมีเสียงสนับสนุนทั้งจากทางพรรคเพื่อไทยเอง และจากทางพรรคการเมืองอื่น

จากกำหนดการไทม์ไลน์ก็คงจะได้เปิดสภาฯกันเร็วๆนี้ ถึงตอนนั้นก็ไปลุ้นกันว่าหมออ๋อง จะได้นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ หรือว่าจะได้กินแห้ว

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง ประธานสภาฯ ‘พิธา’ บอกยังมีเวลา ขอทำงานเป็นขั้นเป็นตอน

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 2 ชั่วโมง น่าจะจบลงแบบไม่ราบรื่นนัก
ที่ประชุม 8 พรรคร่วม ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง #ประธานสภา จะเป็นของพรรคใดระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย พิธาบอกว่า ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน อย่าเปิดประเด็นใหม่ 

ดูจากสีหน้าของทุกคู่ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนแถลงจับมือ ส่งรอยนิ้ว จับมือรูปหัวใจ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่มีรอยยิ้มให้เห็น

ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าพิจารณากันตามข้อเท็จจริง คือมีเวลาแค่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะมีการประชุม ส.ส.ของพรรค ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องแจ้งเรื่องทิศทางในการเลือกประธานสภาว่าจะเป็นอย่างไร จะต้องเลือกใครจากพรรคไหน

พรุ่งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมสภา จากนั้นวันที่ 4 กรกฎาคม ก็จะเป็นการประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภา และรองประธานสภาสองตำแหน่ง

หรือการโหวตเลือกประธานสภาจะย่างเข้าสู่โหมตฟรีโหวตจริงๆ แต่ถึงแม้นจะฟรีโหวต และพรรคก้าวไกลเสนอชื่อคนของพรรค ก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ ยังจะยกมือให้คนของพรรคก้าวไกลเป็นประธานสภา เพื่อให้การจัดตั้งเดินหน้าต่อไปได้ แบะทอดเวลาไปสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมือง เพราะเมื่อโหวตเลือกประธานสภาแล้ว มีเวลาอีก 10 วัน ในการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เกมต่อไปคือเกมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงวันนี้ ทำไมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรี ถึงยังไม่บอกกล่าวกับใครว่า “ตกลงซาวเสียง สว.แล้ว เขาจะเลือกพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีสักกี่คน”

ทำให้สงสัยได้ว่า “หรือ 1 เดือนของความพยายามในการกล่อม สว.ให้กลับใจมาเลือกพิธา ยังย่ำอยู่ที่เดิม ที่เดิมที่ 6-7 เสียง หรือ 19-20 เสียง ยังไม่ขยับเข้าไปใกล้ 64 เสียง เพื่อให้ได้ 376 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา

หรือใจมันสั่นๆที่จะพูดความจริง ความจริงที่ว่า “เรามีเสียง ส.ส.อยู่ 312 เสียง และมีสว.ใจเต็มร้อยให้พิธาแค่ 6-7 เสียง ที่เหลือรับปาก แต่ไม่ยืนยัน แน่นอนว่าทางการเมืองใครไปหาเขาก็รับปากหมดแหละ ไม่มีใครปฏิเสธต่อหน้าหรอก

เหมือนเวลา ผู้สมัคร ส.ส.ไปพบหัวคะแนน ไปคุยกับชาวบ้าน ทุกคนรับปากจะช่วยรับปากจะเลือกทุกคน จนทำให้ผู้สมัครหลงตัวเองว่า “เสียงดี-กระแสตอบรับดี”

แต่ผลคะแนน ผลโหวตจะเป็นตัวขี้วัด ระบอบประชาธิปไตย คือระบอบการมีส่วนร่วม ทั้งทางตรง และทางอ้อม ทางตรงผ่านขบวนการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือตัวแทนที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ทำหน้าที่แทน

14 ล้านเสียงนั่นคือทางตรงที่ประชาชนออกไปเลือกพรรคก้าวไกล และเป็น 14 ล้านเสียงที่ทรงพลัง หนุนก้าวไกล หนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ในการเจรจา ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ด้อยกว่าเพื่อไทยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย

วันนี้ก้าวไกล 151 เสียง จึงตกเป็นรองต่อเพื่อไทย 141 เสียง ทำนอง “ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” ซึ่งข้อเท็จจริงก้าวไกลขาดเพื่อไทยก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หันซ้ายก็เห็นศัตรู หันขวา เราก็เคยตั้งป้อมจะปลดล็อคเขา เดินไปข้างหน้าก็เห็นป้อมปราการที่มีอายุหนักเล็งอยู่

โอ้…ก้าวไกลจะเดินต่ออย่างไรดี หรือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ บอกได้เลยครับว่า “เจ๊ง” การเมืองไม่มีธรรมชาติ มีแต่การล็อบบี้ ต่อรองทั่งนั้น

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมจะเสนอคนลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย และชื่อคนลงชิง ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ ก็จะเป็นชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ถ้าพรรคพลังประชารัฐเสนอก็จะเป็นชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

พีระพันธุ์ ยอมสละเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับทิ้งประโยคเด็ด “ไม่ทิ้งลุงตู่ จะอยู่ช่วยจนคนสุดท้าย” มีความหมายโดยนัยยะทางการเมืองอย่างไม่น่ามองผ่าน

วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า ซีก 188 เสียงต้องโหวตให้พีระพันธุ์ แล้วดันมี สว.200 คนโหวตเลือกพีระพันธุ์ จะทำให้เสียงพีระพันธุ์มี 388 เสียง “ส้มก็จะหล่น”ใส่ พีระพันธุ์แบบเต็มตีน

ไม่ใช่เชียร์พีระพันธุ์ แต่ถ้าก้าวไกลไม่ชัด คำตอบของโจทย์ยาก อาจจะมาในรูปนี้ก็เป็นได้

‘ลุงป้อม’ ลั่น จะขออยู่ ‘พลังประชารัฐ’ จนวันตาย ติวผู้แทนใหม่ ยึดประโยชน์ชาติ ไม่ยึดประโยชน์ตัวเอง 

วันนี้ (2 ก.ค. 2566) เวลา 14.15 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ กล่าวมอบแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ว่า ก่อนอื่นตนขอแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ รวมไปถึงคณะกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการยุทธศาสตร์ คณะกรรมการนโยบาย รวมไปถึงสมาชิกของพรรค พปชร.ทุกคน ตนและคณะกรรมการบริหารพรรคขอแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ทุกท่านด้วยความยินดียิ่งที่ท่านได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมามีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นมากกว่าทุกครั้ง จากข้อมูลการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองมาเสนอให้กับพี่น้องประชาชนเลือกถึง 67 พรรค และมากกว่า 4,000 หน่วย 400 เขตเลือกตั้ง ซึ่งมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งกว่า 75% สูงที่สุดในประวัติการณ์ แม้ว่าพรรค พปชร.จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับ 4 ก็ตาม แต่ก็ได้รับเลือกตั้งมาเป็นตัวแทนประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาค ยกเว้นกรุงเทพมหานคร จึงถือได้ว่า พวกเราได้รับความศรัทธาจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะ ส.ส.ที่ได้นั่งอยู่ในห้องนี้ผ่านการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมาก แต่ก็เอาชนะมาได้ เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะต้องนำผลการเลือกตั้งไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

หัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า ตนได้แถลงขอบคุณประชาชนทั้งประเทศที่ให้ความไว้วางใจในพรรค พปชร. ไปแล้วตั้งแต่ในวันที่เสร็จสิ้นการเลือกตั้ง และตอนนี้ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับพรรค พปชร.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่ทำงานอยู่ร่วมกันอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมไปถึงผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกคน ทุกเขตที่ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำงาน และมีส่วนร่วมสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

“ถึงวันนี้พรรคพลังประชารัฐของเราจะต้องเดินไปข้างหน้าตามอุดมการณ์ ตามเจตจำนงของพรรคที่ขออาสาเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมขอยืนยันว่าจะดูแลพรรคพลังประชารัฐไปตลอดชีวิตของผม เท่าที่ผมมี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าผมจะลาออกหรือไปที่ไหน อย่างไรก็จะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐตลอดไป”พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า หลังจากพิธีเปิดประชุมรัฐสภา 3 ก.ค.จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธาน สภาฯในวันที่ 4 ก.ค. จากนั้นจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ไม่ว่าผลการจัดตั้งรัฐบาลจะออกมาในรูปใดก็ตาม พรรค พปชร. ยังจะเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อรับใช้ประชาชนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

หัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า การปฐมนิเทศวันนี้ ตนอยากให้เป็นจุดเริ่มต้นที่รวมบุคลากรคนสำคัญของพรรค ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม จะต้องร่วมกันทำงานเพื่อให้พรรค พปชร.เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป โดยเฉพาะ ส.ส.ใหม่หรือคนเก่า ไม่ว่าสมัยที่แล้วอยู่พรรคใด แต่วันนี้จะต้องมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวของพรรค พปชร. จะต้องทำหน้าที่ทั้งในและนอกสภาฯอย่างเต็มที่ จะต้องทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม เมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนพวกเรา เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ อยากจะให้ข้อคิดกับ ส.ส.ทุกท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติว่า การทำหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติข้อบังคับของพรรค อย่างเคร่งครัด รวมถึงจะต้องมีจริยธรรม โดย ส.ส. พรรค พปชร.จะต้องเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทุกอย่างที่ตนพูดในวันนี้ไม่ใช่ว่าจะก่อประโยชน์ให้กับคนใดคนหนึ่ง แต่จะก่อให้เกิดประชาชนและประเทศชาติ ส.ส.ของพรรคเราจะยึดประเทศชาติเป็นที่ตั้งไม่ใช่ผลประโยชน์ของพรรค และจะต้องรักษาผลประโยชน์ของพรรค ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว หากทุกคนปฎิบัติตามนี้แล้ว เชื่อมั่นว่าพรรค พปชร.จะเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และจะเป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป การปฐมนิเทศวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ ส.ส.จะได้ทำหน้าที่เป็น ส.ส.ของพรรค พปชร.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ขอให้กำลังใจแก่ทุกท่านให้ปฎิบัติหน้าที่ ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกประการ

‘วันนอร์’ เตรียมชิงตำแหน่งประธานสภา ยุติปัญหาขัดแย้ง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’

(3 ก.ค. 66) รายงานข่าวจากที่ประชุม 8 พรรคการเมืองเสียงข้างมาก ระบุว่า ในการประชุมหัวหน้า และตัวแทน 8 พรรคการเมืองเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 66 ที่ทำการพรรคก้าวไกล ได้มีการหยิบยกปัญหาในส่วนของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยต่างต้องการผลักดัน ส.ส.ของตัวเองให้ดำรงตำแหน่ง ขึ้นมาพูดคุยนอกรอบ โดยตัวแทนพรรคอื่นๆ ได้พยายามโน้มน้าวให้ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ถอยคนละก้าว เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยสามารถเดินหน้าได้ เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้เกิดความไม่ชัดเจนจนมีปัญหาในการลงมติเลือกประธานสภา ซึ่งเป็นการลงคะแนนลับ ย่อมส่งผลถึงการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในส่วนของการเจรจาของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนั้น ทางคณะเจรจาของ 2 พรรค มีการสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากทั้ง 2 พรรคต่างยืนกรานที่จะต้องได้ตำแหน่งประธานสภา โดยไม่สามารถถอยหรือปรับเพดานลงได้ เนื่องจากถือเป็นมติของที่ประชุมพรรคของทั้ง 2 พรรค

อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้ง รวมถึงหาทางลงให้กับทั้ง 2 พรรค จึงมีการเสนอให้คนกลางที่เป็นที่ยอมรับ อย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่มีความอาวุโส และมีประสบการณ์เคยเป็นประธานสภา และประธานรัฐสภามาแล้ว เป็นผู้รับตำแหน่งประธานสภา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยที่ พรรคก้าวไกล จะได้ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 และพรรคเพื่อไทย จะได้ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 2

เบื้องต้นคณะเจรจาของพรรคเพื่อไทย ขอนำข้อเสนอดังกล่าวไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ของพรรค ในช่วงสายของวันนี้ ก่อนจะแจ้งผลตอบรับมายัง พรรคก้าวไกล และแถลงข่าวในช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน 

'จตุพร' ลั่น!! 4 ก.ค. ข้อตกลงพรรค MOU ถึงจุดจบ เหตุ 'ก้าวไกล-พท.' ไม่รอมชอมปม 'ประธานสภาฯ'

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน 'อ่านให้ขาด' โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลไม่อาจหาข้อยุติในตำแหน่งประธานสภาได้ ดังนั้น หลังวันที่ 4 ก.ค. ข้อตกลงพรรค MOU จำนวน 312 เสียงคงต้องเลิกลา สิ้นสุดพันธะจับมือร่วมตั้งรัฐบาล การพบกันของ 8 พรรคการเมืองเมื่อ 2 ก.ค. นี้ อาจเป็นการประชุมกันครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะการหารือในวันดังกล่าวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยังไม่มีข้อยุติกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยพรรคเพื่อไทยขอไปหารือกับ ส.ส.ของพรรคก่อน และวันที่ 3 ก.ค. ก่อนเที่ยงจะส่งผลสรุปให้พรรคก้าวไกล ซึ่งคาดเป็นการแจ้งผลให้ทราบเท่านั้น และไม่มีอะไรเป็นที่ยุติได้แน่ชัดตามเคย

“พรุ่งนี้ (3 ก.ค.) ก่อนเที่ยง พรรคเพื่อไทยบอกจะส่งผลหารือของพรรคให้พรรคก้าวไกล แต่คาดว่าผลลัพธ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น เพื่อไทยคงต้องบอกให้ก้าวไกลรู้ว่า 4 ก.ค.ต้องเสนอชื่อประธานสภาเข้าแข่งขันกับก้าวไกล โดยอาจเสนอนายชูศักดิ์ ศิรินิล หรืออาจเป็นคนอื่นก็ได้ แต่พรรคเล็กจะเสนอนายสุชาติ ตันเจริญ เข้าแข่งขันร่วมด้วย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังเหมือนเดินคือ นายสุชาติ เป็นประธานสภา” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร กล่าวต่อว่า การเสนอชื่อนายสุชาตินั้น จะมีผลต่อการตรวจสอบเสียงงูเห่าที่จะแยกตัวไปลงเสียงให้นายสุชาติ เมื่อนำไปรวมกับฝ่าย 188 เสียงแล้วจะเกิน 251 เสียงในการตั้งรัฐบาลหรือไม่ เพราะการตรวจสอบเสียงจำนวนนี้จะส่งผลต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพลังประชารัฐ ต้องเข้าชิงในตำแหน่งนายกฯ ด้วย

“แม้เพื่อไทยจะหาทางออกที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากไม่เสนอนายสุชาติ แข่งชิงประธานสภาก็ตาม แต่การไม่ยอมกันของเพื่อไทยกับก้าวไกลนั้น นำไปสู่การโหวตลับได้นายสุชาติ จากการเสนอของพรรคเล็ก ซึ่งผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนเลย เมื่อสองพรรคลงเอยกันไม่ได้ ดังนั้น หลังวันที่ 4 ก.ค.ย่อมเป็นวันแยกตัวของพรรค MOU” นายจตุพรกล่าว

นอกจากนี้ การหารือทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยนั้น ยึดมั่นแต่กิเลสทางการเมืองล้วน ๆ จึงเท่ากับเป็นการหักล้างหลักการทางการเมืองให้กระจุยกระจายไป ด้วยเหตุนี้ พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยจึงยากที่จะรอมชอมจับมือกันร่วมรัฐบาลได้อีกต่อไป

“การแสดงออกของนักการเมืองนั้น มักโชว์หลักการการเมืองเสมอ แต่พฤติกรรมกลับยึดมั่นกิเลสที่เจ้าของพรรคสั่งการมา ดังนั้น จึงทำให้ผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนไปจากนายสุชาติ ในตำแหน่งประธานสภา” นายจตุพรกล่าว

‘สุริยะ’ เผย ‘เพื่อไทย’ จ่อชู ‘วันนอร์’ ชิงประธานสภาฯ เชื่อ!! ‘คนกลาง’ คือทางออก ลดขัดแย้ง

(3 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหนึ่งในคณะเจรจาพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีแนวทางจะเสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นคนกลางชิงตำแหน่งประธานสภาฯ หลังพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล ยังตกลงเรื่องนี้กันไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ หากกก.บห. มีมติเสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ จะสามารถอธิบายชี้แจงกับส.ส. ให้เข้าใจได้ เพื่อให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้เมื่อมีความขัดแย้ง และเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยได้ 

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมเสียโควตาประธานสภาฯ ใช่หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการให้การเมืองหน้าต่อไปได้ ถ้าเป็นทางออกที่ดี เมื่อพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลยังไม่มีข้อสรุปที่ลงตัวจึงต้องมีการเสนอชื่อคนกลาง ทั้งนี้ ยอมรับว่าได้มีการทาบทามนายวันมูหะมัดนอร์ ไว้ในเบื้องต้นแล้ว 

เมื่อถามต่อว่าพรรคก้าวไกลจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่นั้น นายสุริยะไม่ตอบคำถามนี้ก่อนเดินเข้าลิฟท์ขึ้นไปประชุมทันที


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top