Friday, 3 May 2024
นักการเมือง

เหตุไฉน!! นโยบายบางพรรคจากคนรุ่นใหม่ ไม่โดนใจทุกคน "ก็ใหญ่โตมาจากไหน ถึงมองสถาบันกษัตริย์ไทยไม่สำคัญล่ะ"

เด็กรุ่นใหม่ ๆ อายุยี่สิบต้น จนถึงสามสิบกลาง ๆ รวมถึงคนวัยใกล้ ๆ กันที่คิดต่างจากผมบางคน ชอบถามผมว่า เมื่อเห็นว่านโยบายของบางพรรคการเมืองที่มาจากคนรุ่นใหม่ดีถูกใจ ทำไมผมจึงยังไม่เลือกอยู่ดี ถามว่าทำไม? 

ผมมักตอบกลับไปยาว ๆ ว่า… 

การจะอ่านพฤติกรรมของนักการเมืองไทย ต้องอย่าดูแค่ ‘วาทกรรม’ แต่ต้องดู ‘พฤติกรรม’ ดูเจตนาลึก ๆ ที่ผ่าน ๆ มา ถ้าเราไม่ปัญญาเบา หรือมีอคติจนเกินไปก็จะมองออกได้ง่ายมาก ๆ พรรคการเมืองใดก็ตามที่ลึก ๆ กังขาสถาบันในเรื่องต่าง ๆ ไม่รู้สึกผูกพัน มองเป็นส่วนเกิน มองเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มองไม่เห็นประโยชน์ จนถึงขั้นคิดล้มล้างทำลาย ก็จะแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์ให้สังคมเห็นในวิธีต่าง ๆ ส่วนคนที่จะเลือกพรรคการเมืองแบบนี้ ก็ต้องมีเหตุผลหนึ่งเหตุผลใดตรงกับ ‘แนวคิด’ หรือ ‘อุดมคติ’ ของพรรคการเมืองแบบนี้เท่านั้น 

แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยที่เลือก บางส่วนก็กลัวคนอื่นจะล่วงรู้ว่าตนเองก็แอบไม่เอาสถาบัน ไม่ได้นึกถึงว่าตนเองเกิด และเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยนี้ได้อย่างร่มเย็น ผาสุข ส่วนสำคัญก็มาจากสถาบันกษัตริย์ไทย 

คำว่า ‘สถาบันกษัตริย์’ หาใช่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือแก่น คือความสำคัญอันดับต้นในความเป็นชาติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ด้วยบรรพบุรุษของกษัตริย์ กับคนไทยผู้หวงแหนแผ่นดิน ร่วมกันสร้างชาติจนเป็นชาติ ทำให้คนรุ่นต่อ ๆ มามีแผ่นดินอาศัย มีเอกราช มีเสรี มีความภูมิใจ ทำให้คนไทยที่คิดดีไม่กล้าคิดเนรคุณ หรือหลงลืมบุญคุณ ‘ชาติกษัตริย์ไทย’ เพราะจะมีความเชื่อคล้าย ๆ กันว่า คนที่คิดร้ายทำลายชาติ คิดเนรคุณแผ่นดินเกิดของตนเอง ย่อมนำเคราะห์ร้าย นำความหายนะมาสู่ชีวิตของตนเองในไม่ช้าก็เร็ว

แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของเหล่าคนรักสถาบันชาติกษัตริย์ไทย แต่ที่ผ่านมาก็มีฉายโชว์ให้เห็นจุดจบของคนคิดล้มล้างทำลายมาโดยตลอด 

ผมเกลียดนักการเมืองน้ำเน่า เกลียดการคอร์รัปชันโกงกินทุกรูปแบบ และฝันอยากได้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่คิดดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทยโดยแท้จริง แต่ที่เห็นและมีอยู่ยังไม่เฉียดใกล้มาตรฐานของคนไทยที่รักสถาบันจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย ผมอายตัวเอง ถ้าต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่สนับสนุนการกัดเซาะ ล้มล้าง ทำลายสถาบันเบื้องสูงของตัวเอง เพราะสำหรับผม สถาบันคือความมั่นคงที่คนไทยต้องปกป้อง..รักษา ไม่ใช่สิ่งที่เสมอเทียมคนปกติแบบเรา ๆ

ผมคิดแบบนี้ เขาคิดแบบนั้น ผมและเขาเราจึงคุยกันไม่รู้เรื่อง 

‘พักชำระหนี้เกษตรกร’ นโยบายฮิตใช้โกยคะแนน ชนวนเหตุทำลาย ‘วินัยทางการเงิน’ ของลูกหนี้

หลัง ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้เกษตรกรรายย่อย ตามนโยบายรัฐบาลระยะที่ 1 ย่อมมีเสียงทั้งการสนับสนุน และคัดค้าน ในนโยบายดังกล่าว ว่าจะเป็น ‘การช่วยเหลือ’ อย่างแท้จริง หรือเป็น ‘การซ้ำเติม’ เกษตรกรมากกว่าเดิมกันแน่

มาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร ภายใต้หลักการ ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ กำหนดให้มีการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรระยะเวลา 3 ปี โดยมีรายละเอียดมาตรการ ดังนี้

1. มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล โดยเกษตรกรลูกค้ารายย่อย ธ.ก.ส. จำนวน 2.698 ล้านคน ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้คงเหลือทุกสัญญารวมกัน ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 ไม่เกิน 300,000 บาท และมีสถานะเป็นหนี้ปกติและ/หรือเป็นหนี้ค้างชำระ (หนี้ 0-3 เดือน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs) ได้รับสิทธิ์ในการพักชำระหนี้ระยะแรกดำเนินการ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย.2567

เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ต้องการรับสิทธิ สามารถแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2567 สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะเป็น NPLs จะสามารถเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ได้ เมื่อได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของ ธ.ก.ส.แล้ว

2. การพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวภายใต้หลักการ ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระหนี้สินเกษตรกรอย่างบูรณาการ ธ.ก.ส. ร่วมกับส่วนงานราชการและหน่วยงานภายนอกดำเนินการอบรมเกษตรกรคู่ขนานไปกับมาตรการพักชำระหนี้ที่ได้เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรในการนำเงินไปลงทุนปรับเปลี่ยนหรือขยายการประกอบอาชีพ โดยการอบรมอาชีพเกษตรกรจะช่วยฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีศักยภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมวินัยการเงินซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ เพื่อให้การกำหนดมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างบูรณาการและให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน โดยคณะทำงานมีอำนาจและหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และกำหนดมาตรการในการพักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขสถานการณ์หนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ‘นโยบายพักชำระหนี้’ จะมีประกาศเป็นนโยบายจากพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค เพื่อที่จะหาเสียงจากกลุ่มเกษตรกร ลูกหนี้รายย่อย ซึ่งนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ก็ได้ให้ความเห็นคล้ายกันว่า นโยบายนี้ จะทำลายวินัยทางการเงินของลูกหนี้ ในวันข้างหน้า และมันก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ มาตลอด

การพักชำระหนี้ ถ้าในแง่เพื่อการส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจ การนำเงินที่จะต้องมาชำระหนี้ มาใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ ลงทุนในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ ย่อมจะเป็นประโยชน์ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

โครงการพักชำระหนี้ ‘ไม่ได้ห้ามส่งหนี้’ !! หากลูกหนี้ ที่เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถที่จะบริการจัดการการเงินอย่างมีวินัยได้ ย่อมจะส่งผลดี และเกิดประโยชน์กับตัวลูกหนี้ได้ ดอกเบี้ยไม่เดิน จัดสรรเงินที่ไม่ต้องส่งชำระหนี้ มาลงทุนให้เกิดรายได้ แล้วแบ่งชำระหนี้บางส่วน จัดสรรใช้จ่าย อย่างเข้มงวด 3 ปี ย่อมบรรเทาภาระ แต่...จากอดีตที่ผ่านมา หากไม่มีอคติ ย่อมมองเห็นได้ว่า ปัจจุบัน มันเริ่มกลายเป็นการเสพติดพักหนี้ ที่ลูกหนี้ เฝ้ารอคอย ในทุกการเลือกตั้ง

10 นิสัยสุดย้อนแย้ง!! ผู้อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ สร้างภาพให้สังคมตายใจ เผลอเมื่อไรไปซบเชียร์พรรคล้มเจ้า

ผมลองสังเกตดูสังคมไทย ลงลึกไปถึงสังคมคนรอบ ๆ ตัวของผมในวงการต่าง ๆ ที่ผมมีโอกาสเข้าไปสัมผัส ไม่เว้นกระทั่ง ‘วงการเพลง’ ที่ผมรัก เริ่มตั้งแต่สังคมไทยมีพรรคการเมืองที่ ‘ย้อนแย้ง’, ‘กลิ้งกลอก’, ‘ปลิ้นปล้อน’ และเดินหน้า ‘ล้มล้างสถาบัน’ อย่างจริงจังโผล่ขึ้นมาให้เห็น แม้จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอันจอมปลอม แต่ก็ยังสามารถกระเทาะเปลือกสำนึกอันดีงามของผู้คนจำนวนหนึ่งให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย จนเผยให้เห็นแก่นความนึกคิดที่แท้จริงของคนเหล่านี้ชัดเจน 

ขอยกเพียงแค่ประเด็น ‘ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย’ ของคนไทย ‘นิสัยย้อนแย้ง’ มาเพียง 10 ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เปลือยให้เห็น ‘นิสัยที่แท้จริง’ ของคนได้ดีที่สุด

1. เหล่าเซเลบริตี้จำนวนหนึ่ง ออกงานอีเวนต์มักเลือกหยิบบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปร้องโชว์ นักร้องอัดเสียงร้องเพลง ดาราแสดหนัง ละคร ที่เกี่ยวสถาบันกษัตริย์ เพื่อสร้างชื่อเสียง หรือเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชีพจนได้รับผลลัพธ์ที่ดีในชีวิต แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

2. ได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน จาก ร.9 หรือ ร.10 รวมถึงได้เข้าศึกษา ณ โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งโดยพระมหากษัตริย์ไทย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

3. พูดออกตัวว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน จนได้รับโอกาสเป็นผู้จัดกิจกรรมทางดนตรีที่เกี่ยวกับ ‘บทเพลงของพ่อ’ ทำให้มีผู้คนจดจำภาพลักษณ์ที่ดีงาม แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ 

4. ใส่เสื้อสีเหลือง พร้อมโพสต์ข้อความในเชิงว่า ‘รักในหลวง’ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่บ่อยครั้งให้สังคมเห็น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

5. อาศัยใช้นามสกุลพระราชทานที่ใช้ต่อ ๆ กันมาจากต้นตระกูลต่อท้ายชื่อของตนเอง แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

6. แต่งชุดดำ ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อปลายปี 2559 แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

7. ที่บ้าน ที่ทำงาน ติดรูปในหลวงที่ข้างฝาห้องอย่างโดดเด่น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

8. ปากบอกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และจะจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะได้ที่นา ที่ดินทำสวน ทำไร่ จากโครงการของในหลวงจนชีวิตพลิกฟื้น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

9. ห้อยพระคล้องคอที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับในหลวง มีความผูกพันเชื่อมโยงถึงที่มา ความรัก พลังใจ จุดมุ่งหมาย คำสั่งสอน และการดำรงไว้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

10. ต้นตระกูลเป็นคนต่างถิ่น ต่างด้าว ต่างเชื้อชาติ ต่างดินแดน เดินทางมาพึ่งแผ่นดินทองของพระมหากษัตริย์ไทย ได้รับความเมตตากรุณาให้มีที่อาศัย ทำกิน จนมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

ห้วงเวลานี้ ถือเป็นเวลาที่คนรอบตัวจะถูกกระเทาะเปลือก จนเปลือยให้เห็นมิติที่ลึกกว่าที่เคย สิ่งที่อาจจะยังไม่แน่ใจในใครสักคนในเรื่องตรรกะ, วิธีคิด และแก่นแท้ของสำนึก ก็จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน ดูคนให้ดูห้วงเวลานี้จะเห็นนิสัยของคนชัดที่สุด 

ลองหันไปสำรวจดูว่า รอบ ๆ ตัวคุณ มีคนที่คล้าย ๆ ใน 10 ข้อนี้กี่คน?

ห่างได้ ห่างเลย รับประกันว่าชีวิตดี

‘นายกฯ’ จี้!! ติดตามทลายขบวนการ ‘หมูเถื่อน’ ยัน!! หากพบนักการเมืองมีเอี่ยว ไม่ปล่อยไว้แน่

(25 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมูเถื่อน ที่เวลานี้รัฐบาลยกเป็นวาระแห่งชาติ โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ฯ เข้ามารับผิดชอบดูแลว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้มีการแถลงข่าวไปแล้ว สืบเนื่องจากที่รัฐบาลได้มีการติดตามงานอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากโดย ร.อ.ธรรมนัส และอธิบดีดีเอสไอ ได้ร่วมกันแถลงข่าวไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการแถลงข่าวมีนักการเมืองใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง นายกฯ ยืนยันใช่หรือไม่ว่าจะไม่ปล่อยไว้แน่ นายเศรษฐา กล่าวว่า หากทำผิด ก็ไม่ปล่อยไว้ เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องจัดการตรงนี้ไป เมื่อถามว่า ณ เวลานี้ไม่ได้มีชื่อรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนี้เข้าไปเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีครับ ดูแล้วไม่มี 

เมื่อถามว่า นักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หากมีการตรวจสอบเสร็จสิ้นกระบวนการจะมีการเปิดเผยชื่อออกมาหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มันต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วยเหมือนกันตรงนี้ก็แล้วแต่กระบวนการยุติธรรมซึ่งต้องว่าไปตามกฎหมาย ถ้าถึงเวลาต้องเปิดเผย ก็เปิดเผย

‘จตุพร’ ชี้!! การเมืองปี 66 เป็นปีแห่งการตลบตะแลง ตระบัดสัตย์ไร้ยางอาย จับตา!! ทิศทางการเมือง 3 เดือนแรก ปี 67 ส่อชิงเหลี่ยม-เฉือนคมรุนแรง

‘จตุพร’ ฟาดนักการเมืองส่งท้ายปี 66 ยังส่อนิสัยโกหก กะล่อน ตระบัดสัตย์สิ้นยางอาย คาดสัญญาณเปลี่ยนเริ่มเห็นร่องรอยใน 3 เดือนแรกปี 67 ปนเปด้วยปัญหาทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ขย่มอารมณ์สงสัยดีลฟ้าใส เอื้ออภิสิทธิ์ชน จับตาก่อน สว.พ้นอำนาจ ส่อหักโค่น ชิงเหลี่ยมกันรุนแรง

(29 ธ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ส่งท้ายปี 2566 ว่า เป็นปีที่นักการเมืองแสดงความหน้ามึน ด้านชาออกมา มีทั้งโกหก ตลบตะแลง ตระบัดสัตย์แต่อ้างประชาชนอย่างสิ้นยางอาย ดังนั้น ในปี 2567 ปัจจัยเปลี่ยนการเมืองจะส่งสัญญาณตั้งแต่ใน 3 เดือนแรก โดยเริ่มจากร่องรอยของศาล รธน.นัดตัดสิน 3 คดีสำคัญใน ม.ค. 2567

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองปี 2566 เป็นปีแห่งการโกหก ตลบตะแลง ตระบัดสัตย์ ไม่มีความตรงไปตรงมา ส่วนในปี 2567 จะเป็นปีเริ่มต้นทำความจริงให้ปรากฏอันเป็นผลจากการโกหกแต่ละเรื่อง เมื่อการเมืองมีอะไรซ้อนทับมากกว่าที่จะแลเห็นได้เป็นปกติ ดังนั้น ปี 2567 จะเน้นการวิเคราะห์พวกตลบตะแลงทางการเมือง

อีกทั้งชำแหละการจัดตั้งรัฐบาลในปี 2566 ว่า การวิเคราะห์พวกกล่อนทางการเมืองนั้น ย่อมยากจะหาความจริงได้ถูกต้องทั้งหมด เหตุนี้ จึงต้องพยายามคลี่คลายหาผลของการดีลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2566 ให้พบ ซึ่งทำความสมดุลให้เกิดขึ้นกับความรู้สึกของสังคมด้วย

“การดีล (ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านและตั้งรัฐบาลเพื่อไทย) ที่ได้ประโยชน์กันนั้น แต่ประชาชนเสียความรู้สึก ในซีกของผู้มีอำนาจรัฐบาลอาจจะสมประโยชน์ ถ้าประชาชนเสียความรู้สึกแล้วไปกระทบจิตใจในระยะยาวและขยายกว้างขึ้น แม้วันนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อะไรถ้าประชาชนเห็นว่ามากไป ประวัติศาสตร์สอนถึงการลุกฮืออย่างรวดเร็วของประชาชนมามากแล้ว”

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีคดีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง สะท้อนถึงผลแนวโน้มจะกลับบ้านด้วยเช่นกัน แต่ยิ่งลักษณ์ ยังมีคดีที่มีคำพิพากษาโทษเด็ดขาด 5 ปีอยู่ สิ่งสำคัญในการจัดลำดับกลับไทย ที่ทักษิณ นำร่องมาแล้ว โดยไม่ต้องติดคุกสักวัน หากยิ่งลักษณ์ ทำตามก็จะเป็นเรื่องใหญ่ในอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน

อีกทั้งยังกล่าวว่า หากยิ่งลักษณ์ รอให้ทักษิณ ออกจาก รพ.ตำรวจ ชั้น 14 เพื่อกลับบ้าน แล้วจึงกลับมา ยิ่งจะทำให้ทั้งทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ต้องติดกับความไม่พอใจของประชาชน อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองเหตุการณ์เช่นนี้ จะมีการดีลกันเป็นตอนๆ ตามแต่ละเรื่องที่แต่ละฝ่ายต้องการ ดังนั้น สถานการณ์ปี 2567 จึงต้องติดตามใกล้ชิด

นอกจากนี้ ในปี 2567 คดีเกี่ยวกับนักการเมืองจะมีอยู่มากมาย ที่น่าสนใจ คือ ศาล รธน.นัดอ่านคำวินิจฉัยใน ม.ค. ถึง 3 กรณีใหญ่ๆ ที่นักการเมืองพัวพันอยู่ ทั้งคดีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีหุ้นไอทีวี และการชี้ขาดคดีพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง กรณีหาเสียงแก้ ม.112

รวมถึง การสิ้นสุดอำนาจของ สว.ในกรณีโหวตเลือกนายกฯ ตั้งแต่กลาง พ.ค. 2567 ดังนั้น ถ้านายเศรษฐา ทวีสิน อยู่รอดจนถึง สว.ปัจจุบันหมดอำนาจไป จึงต้องมาคำนวณปัจจัยดีลทางสถานการณ์ทางการเมืองใหม่อีกครั้ง

“เราจึงคาดกันว่า ถ้าเห็นร่องรอยในการเปลี่ยนแปลงแล้ว ต้องลงมือก่อนจะเกิดการยุบสภา อีกอย่างการยุบก้าวไกลยิ่งทำให้พรรคนี้เติบโตสูงขึ้น รวมทั้งผลการดีล 22 ส.ค. 2566 นั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เพราะผลการดีลจะบ่งชี้ถึงการไม่รอ สว.ให้หมดวาระ แต่จะลงมือการเปลี่ยนแปลงกันก่อน เนื่องจากต้องการเสียง สว.มาควบคุมสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ในมืออีก”

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าต้องการเปลี่ยนนายกฯ แล้ว ย่อมเกิดขึ้นก่อนเวลา 2 เดือนที่ สว.จะครบวาระคือในเดือน มี.ค.กับ เม.ย. ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนตัวนายกฯ แล้ว นายเศรษฐา จัดเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินเลย ซึ่งจะเป็นความแปลกประหลาดมาก

อย่างไรก็ตาม งบประมาณ 2567 กว่าจะเข้าสภาและผ่านออกมาจะเหลือเวลาใช้ประมาณ 5 เดือนนับตั้งแต่ พ.ค. 2567 จึงเป็นความผิดปกติเช่นเดียวกับที่มาของรัฐบาลและตำแหน่งนายกฯ ที่ สว.โหวตให้นายเศรษฐา ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดกันเลย ดังนั้น สิ่งนี้จะอยู่ในกระบวนการดีลฟ้าใส ตกลงกันไว้หรือไม่

“ในปี 2567 ตั้งแต่ ม.ค. ต้องติดตามการตัดสินคดีนักการเมืองในศาล รธน.และการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมทั้งการแก้ รธน. และการนิรโทษกรรม จะว่ากันอย่างไร ยิ่งที่มา สว. 100 จะมีการแต่งตั้ง 23 คน ซึ่งเอาเปรียบประชาชนที่เลือกตั้งมา ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหามากมาย”

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีนักโทษรักษาตัวอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ และกล้องวงจรปิดทุกตัวของ รพ.ตำรวจพร้อมใจกันเสีย สิ่งนี้จะสะสมอารมณ์สงสัยของประชาชนมากขึ้น ดังนั้น คาดว่าภายใน 3 เดือนของปี 2567 ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค.จะได้เห็นทิศทางการเมืองกันมากมาย โดยมีปัจจัยแปรสำคัญคือ นายกฯ ยังจะชื่อ ‘นายเศรษฐา’ หรือไม่ ขณะที่ยิ่งลักษณ์จะกลับเข้ามาอย่างไร ทั้งหมดนี้ จะเป็นเหตุการณ์ประเดประดังในปีหน้าทั้งสิ้น

นายจตุพร กล่าวว่า การแก้ รธน.ยกเว้นหมวด 1 กับ 2 ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องยากมาก และใครคิดทำก็จะเกิดปัญหาตั้งแต่ต้น ส่วนสาระที่เป็นแก่นสารในการแก้ไขนั้น อำนาจจะเป็นของประชาชนจริงหรือไม่ ด้วยการกำหนดที่มาของ สสร.ไปร่าง รธน. ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงของประชาชน อีกทั้งยังป้องกันการยึดอำนาจไม่ได้ ดังนั้น กระบวนการนำไปสู่การแก้ รธน. ย่อมเป็นการสูญเสียงบประมาณนับหมื่นล้านบาท

อีกทั้งเชื่อว่า รัฐบาลใช้เทคนิคการร่าง รธน.เพื่อเอื้อให้อายุรัฐบาลครบวาระ โดยมุ่งแก้ รธน.ไม่เสร็จก็เลือกตั้งใหม่ไม่ได้ หากเขียน รธน.เสร็จแล้วเพิ่มเนื้อหาดึงเวลาการเลือกตั้งอีกด้วย จึงขยับอายุรัฐบาลอยู่ได้นานขึ้น

นายจตุพร กล่าวถึงการสลับหน้าที่รองนายกฯ คุมงานว่า การให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มาคุมงานยุติธรรม แทนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จาก เพื่อไทย โยกไปดูแลงานสาธารณสุขนั้น แสดงถึงต้องการแยกปัญหาของทักษิณ ชั้น 14 ไปให้พรรค รทสช.อธิบายแทนเพื่อไทย จะได้ผลดีและน่าเชื่อถือมากกว่า

“ส่วนเพื่อไทยก็ลอยตัวในปัญหาทักษิณยังอยู่ รพ.ตำรวจต่อไปได้ พร้อมกับคนมาใหม่คือ ยิ่งลักษณ์ เมื่อได้นักกฎหมายมาอธิบายประชาชนย่อมทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ลงได้ ดังนั้น การเปลี่ยนหน้าที่รองนายกฯ จึงเป็นการบริหารอารมณ์ประชาชนไม่ให้ลุกลามขยายวงกว้างออกไป”

เมื่อ 'นักการเมือง' มาตรฐานไม่สูง ผสานสามัญสำนึกแบบด้วนๆ แม้แต่สมบัติทางปัญญา ยังกล้า 'ก๊อบ-ลอก-ลัก-แอบขโมย'

อาชีพของคนเรามีมากมายก่ายกองให้เลือกทำ ถ้ารู้ว่าตัวเราไม่เข้าคุณสมบัติของสายงานบางอาชีพ ด้วยอาจจะมีกติกา และมาตรฐานที่จำเป็นต้องสูงมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป ก็อย่าพยายามเข้าไปทำให้สังคมอาชีพนั้น ๆ เกิดความหม่นมัว เช่นคนอาชีพ 'นักการเมือง' เพราะคือ ตัวแทนของประชาชน คือคนที่ประชาชนช่วยกันเลือกเข้ามาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 

ก็ย่อมต้องเป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ กตัญญู ฉลาด กล้าหาญ มากไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม ยังต้องมีสัจจะ มีความจริงใจ มีอุดมการณ์อย่างโดดเด่นที่จะอุทิศกายใจเพื่อส่วนรวม 

ถ้าผิดจากนี้หรือมีคุณสมบัติที่ด้อยกว่านี้ สังคมก็จะเจริญช้า

'นักการเมืองน้ำดี' หรือ 'นักการเมืองอาชีพ' ตัวจริงเสียงจริง จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของตนเองเกิดความด่างพร้อย หรือเสื่อมเสียแม้เพียงน้อยนิด บางคนที่มีมาตรฐานสูง ๆ หากเผลอทำผิดพลาดไป ก็จะแสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่งทันที แต่นักการเมืองมาตรฐาน 'ระดับไฮเอนด์' เช่นนี้ อาจจะไม่เคยมีอยู่จริงในประเทศไทยของเรา 

นักการเมืองของไทยเราขนาดเคลมว่าตนเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะล้างสิ่งชั่วร้ายที่นักการเมืองรุ่นเก่าเคยทำไว้ แต่สิ่งที่พบเห็นคือตรงกันข้าม นอกจากไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยังเดินหน้ากัดเซาะล้มล้างทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แต่กลับไม่กล้ายอมรับออกมาตรง เมื่อจับได้ไล่ทันก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งทันที เรียกว่า 'ปากกล้าขาสั่น' และไร้ซึ่งความจริงใจ

มากกว่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่าน ๆ มา สังคมยังจับได้ว่าแอบไปลักขโมย 'สมบัติทางปัญญา' ของคนอื่น มาตีเนียน ๆ ให้เหล่า 'สาวกที่ใหลหลง' ต่างหลงเข้าใจว่า 'ศาสดาล้มเจ้า' ของตนเองมีความสามารถเลิศล้ำ เป็นเจ้าของความคมคายที่ฉายโชว์ออกโซเชียลในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประโยคคม ๆ จากนักเขียน, โลโก้พรรค, รูปจากภาพยนตร์ และล่าสุดก็คือหลอกต้มผู้คนว่าเป็นคนวาดภาพเอง ทั้งที่ไปเหมือนกับผลงานของจิตรกรระดับโลกชาวฝรั่งเศสนาม 'Claude Monet' ราวกับแกะ

ถ้าไม่อายตัวเอง ก็อย่าหลงคิดว่าคนไทยที่สติยังดีเขาจะไม่รู้สึกอับอายที่มีนักการเมืองมาตรฐานต่ำ และสามัญสำนึกด้วนเช่นนี้ 

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘นักการเมือง’ พยายามจะเข้าเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ชี้!! ขัดประมวลจริยธรรม ซ้ำ!! ‘พักโทษ’ ไม่ได้แปลว่า ‘บริสุทธิ์’

เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความเห็นว่า…

“เห็นมีกระแสข่าวว่านักการเมืองบางคนโดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือจะไปเข้าเยี่ยม/ขอคำปรึกษาจากคุณทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้ากันใหญ่ ซึ่งผมเห็นแล้วไม่สบายใจอย่างมาก 

ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ข้อ 10 (9) กำหนดว่า ข้าราชการการเมืองจะต้องไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนแก่ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือมีชื่อในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน

ในพระราชหัตถเลขาอภัยโทษ กล่าวไว้ชัดแจ้งว่าคุณทักษิณยอมรับว่าได้กระทำความผิดฐานทุจริตจริงตามคำพิพากษา และได้สำนึกผิดแล้ว ประเด็นที่ว่าคุณทักษิณผิดจริงหรือไม่จึงยุติโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องโต้แย้งกันอีกว่าเป็นเพราะรัฐประหารหรือถูกกลั่นแกล้ง และการได้รับการอภัยโทษหรือพักโทษ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณทักษิณจะกลายเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของรับโทษทัณฑ์ สิ่งที่คุณทักษิณทำไปนั้นผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง ซึ่งต่างจากการนิรโทษกรรมที่จะทำให้สิ่งที่กระทำกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความผิด

ดังนั้นจึงต้องถือว่าคุณทักษิณเป็น ‘ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย’ และเป็น ‘ผู้มีชื่อในทางเสื่อมเสีย’ อันอาจกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ซึ่งหากข้าราชการการเมืองคนใดไปคบหาหรือให้การสนับสนุน ก็จะต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดประมวลจริยธรรมข้างต้น และอาจเป็นสารตั้งต้นในการถูกดำเนินคดีทางจริยธรรมต่อไป

ผมจึงอยากฝากให้นักการเมืองทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งแห่งหน ว่าคิดจะทำอะไร หัดเกรงอกเกรงใจประชาชนด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี”

'บุ้ง ทะลุวัง' ร่ายยาว!! จดหมายจากเรือนจำ ถึง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ยาหอม!! ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมง่ายมาก แต่สุดท้ายตลบตะแลง

(18 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ทะลุวัง’ ได้โพสต์ข้อความจากจดหมายของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ส่งจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย มีใจความว่า

“ด้วยวิธีการที่คุณเลือกจะกลับบ้านคือการเอาเสียงของประชาชนไปแลก ทำให้คุณเป็นได้แค่นักการเมืองน้ำเลวคนหนึ่ง จดหมายฉบับนี้อยากพูดถึงคุณทักษิณและพรรคการเมืองที่แสนกลับกลอกของเขาสักหน่อย ถึงจะอดอาหารเอาชีวิตและร่างกายแลกเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมถูกปฏิรูปอยู่ แต่ตอนนี้บุ้งก็ได้ข่าวของคุณทักษิณอยู่บ้างจากการที่เพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง

“ในสายตาบุ้ง คุณทักษิณเป็นคนที่น่ารังเกียจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเคยมีคุณงามความดีอะไร ตอนนี้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของคุณไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปรสิต ส่วนคุณอุ๊งอิ๊งก็น่าเสียดายเหลือเกิน คุณไม่จำเป็นต้องทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่างก็ได้นะคะ แต่อนิจจาลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ครั้งหนึ่งตอนที่ทะลุวังประกาศว่าจะไปเยือนเพื่อไทย คุณทักษิณเคยพูดว่า “อย่าทะลุวังเลยมาทะลุทำเนียบเถอะ” และให้การต้อนรับบุ้งเป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้บุ้งและเพื่อน ๆ นั่งคุยกับคนของเพื่อไทยเพื่อฟังคำขอของบุ้ง ถึงแม้จะมัดมือชกไล่สื่อออกจากห้อง ทั้ง ๆ ที่บุ้งต้องการให้เป็นการคุยแบบเปิดก็ตาม

“คนของพรรคเพื่อไทยรับปากกับบุ้งว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้นง่ายมากและจะเป็นสิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยทำ บุ้งดีใจมากนะคะและเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะทำตามคำพูด เพราะคนที่ได้รับปากเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคนเราจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ก็เพราะรักษาคำพูดของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วโลกของผู้ใหญ่ก็ทำให้บุ้งผิดหวัง เมื่อพรรคเพื่อไทยตอ…ตลบตะแลง กลับกลอกปลิ้นปล้อน อย่างหน้าไม่อาย บุ้งและเพื่อน ๆ ผิดหวังเสียใจ และหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในตัวพรรคการเมือง แต่ถึงกระนั้นความหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงและคนตากใบยังไม่หายไปหรอกค่ะ บุ้ง ตะวัน และแฟรงค์ จึงเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อความหวังไม่มี เรา 3 คน จึงเลือกสร้างมันขึ้นมาเอง โดยกลั่นจากชีวิตเลือดเนื้อและอุดมการณ์ของพวกเรา

“ที่เล่าเพราะอยากให้คนข้างนอกเข้าใจ ว่าที่เราทำไม่ใช่เพราะพวกเราบุ่มบ่าม ก้าวร้าว ทำอะไรไม่คิด แต่เพราะนักการเมืองทำให้เราผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราไม่เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่เราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม

“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายหรอกค่ะ ทุกวินาทีที่ผ่านไปในตอนนี้เวลาของพวกเรานับถอยหลังลงทุกที แต่พวกเราแลกได้เพราะเลือกแล้วที่จะทำ

“ขอให้คนข้างนอกที่ไม่หยุดสู้ สู้ต่อไป สักวันชัยชนะต้องเป็นของประชาชน

“บุ้งยังคงยืนยันที่จะอดอาหารจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ อยากให้ทุกคนเข้าใจบุ้งด้วยนะคะ”

‘ดร.เสรี’ กังวล ‘นักการเมืองเศรษฐี’ ใช้เงินยึดวุฒิสภา ห่วง!! ‘นักการเมืองธรรมดา’ จะเอาอะไรไปต่อกรด้วย

(19 มี.ค. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวิธีเลือก สว. อันสลับซับซ้อนอย่างที่เห็น ถ้าดูดี ๆ ถ้าใช้เงิน 250 ล้าน สามารถยึดวุฒิสภาได้เลยนะ

เพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ ท่านคิดว่าจะมีคนใช้เศษเงินของเขา 250 ล้านยึดวุฒิสภาไหมคะ

สว. มีบทบาทในการผ่านกฎหมาย การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการ

เมืองไทยมีเศรษฐีที่มาทำงานการเมือง โดยที่เงิน 250 ล้านเป็นเศษเงินของเขาอยู่หลายคน

แล้วนักการเมืองที่ไม่มีเงินมากพอที่จะต่อกรกับนักการเมืองที่เป็นเศรษฐี จะเอาอะไรมาชนะพวกเขาในสังคมที่นักการเมืองบางคนคิดว่ามีเงินดีกว่ามีจริยธรรม

คิดแล้ว มันน่าเป็นห่วงจริงๆนะคะ

หรือเราทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจ

“เงินตกใส่ทราย ทรายทรุด เงินตกใส่มนุษย์ มนุษย์ไม่มีจริยธรรม” เรื่องนี้ท่าจะจริงนะคะ

ลูกสาวชูวิทย์ ลงสตอรี่ไอจี สยบทุกข่าวลือ ย้ำ!! คุณพ่อยังไม่เสียชีวิต โชว์ภาพชูวิทย์ ยิ้มสดใส ให้กล้อง

(30 มี.ค.67) จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้เดินทางไปรักษาตัวจากโรคมะเร็งในต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

ล่าสุด ต๊ะ ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ลูกสาวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ได้โพสต์ภาพคู่กับคุณพ่อชูวิทย์ ลงในสตอรี่ไอจี บัญชี trakarntakamolvisit โดยภาพดังกล่าวคาดว่าถูกถ่ายที่ต่างประเทศ โดย นายชูวิทย์ มีใบหน้าสดใสยิ้มแย้มให้กล้อง

โดย ต๊ะ ตระการตา ระบุข้อความไว้ในภาพว่า “มีข่าวลือว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ขอย้ำนะคะ พ่อต๊ะยังไม่ตายนะคะ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top