Saturday, 11 May 2024
ทักษิณ_ชินวัตร

'ชัยชนะ' ขึ้นชั้น 14 ยัน!! วันนี้ได้ทำหน้าที่ชัดเจนครบถ้วนแล้ว ส่วนภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

(12 ม.ค. 67) ที่โรงพยาบาลตำรวจ หลังจากที่ นายชัยชนะ เดชเดโช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ (กมธ.ตร.) สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะทำงาน เข้าศึกษาดูงาน ที่อาคารศรียานนท์ กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ (สบ7) โรงพยาบาลตำรวจ และคณะร่วมชี้แจงรายละเอียด ข้อซักถามต่างๆ

ต่อมา นายชัยชนะ พร้อม นางทิพา ปวีณาเสถียร ส.ส.ลำปาง พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ.ตร. และทีมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปที่อาคารภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ซึ่งเป็นอาคารพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนเดินทาง นายชัยชนะ กล่าวเพียงว่าขออนุญาตไปตรวจดูตามหน้าที่จะกลับมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยทั้งหมดขึ้นรถกอล์ฟ ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ

จากนั้นมีรายงานว่านายชัยชนะ และคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นไปถึงชั้น 14 และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลของสถานที่พักของผู้ป่วย แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ซึ่งใช้เวลาพูดคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ ได้นำคณะกรรมาธิการฯ ไปเยี่ยมนักโทษที่รักษาตัวอยู่บริเวณชั้น 7 ของอาคารแห่งนี้ต่อด้วย

ต่อมา นายชัยชนะ เปิดเผยว่า มีผู้ต้องขังมารักษาที่โรงพยาบาลค้างคืนท่านเดียว คือ นายทักษิณ รายอื่นเป็นผู้ต้องขังมารักษาแบบเช้าเย็นกลับ ทั้งนี้ตนได้หารือตามกรอบระเบียบกับทางโรงพยาบาลตำรวจ จึงอนุญาตให้ขึ้นไปชั้น 14 เพื่อไปดูขั้นตอนวิธีการคุมขัง

พบทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ตำรวจในท้องที่รวม 8 นาย ส่วนที่ถามว่าได้เจอตัวนักโทษหรือไม่ เรื่องนี้เป็นความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ส่วนบุคคลฯ ที่อนุญาตให้ได้เท่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่อนุญาตตามกฎหมายคือได้พบเจ้าหน้าที่ประจำชั้น

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ส่วนจะยืนยันว่านายทักษิณ พักอยู่ที่โรงพยาบาลหรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งก็แจ้งมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นพ.ร.บ.ส่วนบุคคล ทั้งนี้เรายืนยันว่าไม่ได้มาขอเยี่ยมใครคนใดคนหนึ่ง เพียงมาดูว่าวิธีปฏิบัติเท่าเทียมหรือไม่ ส่วนวิธีการรักษาก็ชี้แจงไม่ได้

ตนขอย้ำว่ามาดูขั้นตอน วิธีการ เจ้าหน้าที่ควบคุมอย่างไรเมื่อมีผู้ต้องหามาค้างคืน โดยจากที่ได้พูดคุย คือทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรเพื่อดูแล 24 ชั่วโมง และต้องมีการรายงานผู้บังคับบัญชาทุก 2 ชั่วโมง เป็นการถ่ายภาพในห้องที่ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยพักอยู่ ห้องพักไม่ได้มีการล็อกผู้คุมจะเดินเข้าออกได้ทุกเวลา

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ตนไม่ก้าวล่วงในการรักษาของแพทย์ จากนี้ต้องไปถามทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าเอกสารที่ กมธ.ตร.ขอไปว่าแต่ละวันผู้คุมคนไหนที่มาเข้าเวร ผลัดเปลี่ยนเวรอย่างไร ลงชื่ออย่างไร และส่วนของเอกสารค่ารักษาพยาบาล ที่แจ้งว่าใช้สิทธิ์ สปสช.และถ้าเกินจะใช้เงินส่วนตัวได้ ได้เตรียมให้ตามที่ขอไปแล้วหรือไม่

ตนยืนยันว่าส่วนของโรงพยาบาลตำรวจวันนี้ได้ทำชัดเจนครบถ้วนแล้ว ภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้ากรมราชทัณฑ์ไม่ต้องการเป็นจำเลยสังคมนี้ ต้องชี้แจงกับสังคมให้เข้าใจ เมื่อไรที่ชี้แจงไม่เข้าใจจำไว้เลยว่าจำเลยของสังคมก็คือกรมราชทัณฑ์ ส่วนโรงพยาบาลตำรวจ

ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โรงพยาบาลทำวันนี้ถูกต้องที่สุดให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริง การจะยืนยันว่านายทักษิณ อยู่หรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ตนขอยืนยันว่ามาดูกระบวนการขั้นตอนเท่านั้น“ นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวถึงประเด็นที่กล้องวงจรปิดของอาคารรักษาตัวของนายทักษิณ เสียทั้งอาคาร โดยฝากข้อความไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าขอให้ใช้งบประมาณจำนวน 2 ล้านบาทที่นำไปท่องเที่ยวต่างประเทศมาซ่อมแซมกล้องวงจรปิดให้ใช้งานได้ นอกจากภายในอาคารแล้ว บริเวณรอบข้างก็พบว่าก็วงจรปิดเสียด้วยเช่นกันและเสียมาหลายปีแล้ว

สำหรับการมาศึกษาดูงานของกมธ.ตร.นั้น เพื่อสอบถาม ขั้นตอนการปฏิบัติผู้ต้องขังที่ส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ว่ามีวิธี รูปแบบขั้นตอนอย่างไร ปฏิบัติกับผู้ต้องขังทุกคนเท่าเทียมหรือไม่

รวมถึงมาสอบถาม กรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยและให้ความสนใจ คือการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ต้องขังที่รักษาตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.2566 ว่ามีการปฏิบัติอย่างไร รักษาตัวอยู่ที่ชั้นไหน อย่างไรบ้าง

‘ราชทัณฑ์’ เผย ‘ทักษิณ’ เข้าเกณฑ์พักโทษกรณีพิเศษ เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง-สูงวัย-เจ็บป่วยหลายโรค

(17 ม.ค. 67) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม, นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขาฯ รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายบริหาร และนายแพทย์สมภพ สังคุตแก้ว หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงประเด็นสำคัญของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ เกินกว่า 120 วัน โดยในทุกห้วงเวลานับตั้งแต่รักษาตัวครบ 30 ครบ 60 และเกินกว่า 120 วัน ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะต้องมีความเห็นและรายงานไปตามลำดับชั้น ทั้งการรายงานต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อครั้งรักษาตัวครบ 60 วัน และเมื่อเกินกว่า 120 วัน ก็ต้องรายงานให้รัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ที่ผ่านมา นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เซ็นรับทราบการอนุญาตนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ จากนั้นวานนี้ (16 ม.ค.67) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้เซ็นรับทราบถึงการนอนพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่เกินมา 136 วัน ถือว่าเข้าเงื่อนไขและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย

นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีของนายทักษิณ ที่นอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ ต้องยอมรับว่าได้ถูกตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น โดยเฉพาะทางผู้ตรวจการแผ่นดิน มีตัวแทนขึ้นไปบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ และได้พบนายทักษิณ ซึ่งส่วนตัวตนเองในฐานะข้าราชการการเมือง เชื่อมั่นว่านายทักษิณนอนพักที่ รพ.ตำรวจ จริง ไม่ได้อยู่ที่คอนโดมิเนียมอย่างที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยแน่นอน จึงอยากให้การแถลงข่าววันนี้ได้ลงรายละเอียดลึกเพื่อให้สังคมได้เข้าใจข้อเท็จจริง

ด้านนายสิทธิ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 นั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางกรมราชทัณฑ์ ได้มีการประชุมและรายงานต่อคณะกรรมการราชทัณฑ์ให้รับทราบถึงการดำเนินการ เพราะกฎกระทรวงกำหนดให้กรมราชทัณฑ์ต้องออกระเบียบนี้ ส่วนความคืบหน้าของระเบียบแนวทางการปฏิบัติ และกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขัง ที่จะต้องมารองรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หรือ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งในวันประชุม ทางฝ่ายเลขาก็ได้นำเสนอในที่ประชุมว่าถ้าหากคณะกรรมการราชทัณฑ์ท่านใดมีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ทางกรมราชทัณฑ์ก็จะต้องรับฟัง อีกทั้งในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิก็จะส่งข้อมูลให้กรมราชทัณฑ์ เพื่อเตรียมยกร่างหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา แต่ ณ วันนี้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำยังไม่ได้มีการดำเนินการใด เพราะต้องรอระเบียบหลักเกณฑ์ แนวทางการปฏิบัตินี้ก่อน

ส่วนกลุ่มผู้ต้องขังในรายคดีใดที่จะได้รับการละเว้นจากระเบียบดังกล่าว เราต้องใช้ในการจำแนกวิเคราะห์เช่นกัน ว่ารายคดีใดจะได้ประโยชน์ หรือรายคดีใดต้องละเว้น แต่ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องไปศึกษาให้รอบคอบก่อนว่าจะแบ่งกลุ่มอย่างไร ส่วนจำนวนผู้ต้องขังล็อตแรกที่จะใช้พิจารณาก็ยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอการศึกษาให้รอบด้านก่อน และต้องรอฟังความเห็นจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อความรัดกุมที่สุด

นายสิทธิ กล่าวถึงประเด็นโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ว่า เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของผู้ต้องขังที่มีสิทธิ์ได้รับ แต่การพิจารณาว่าผู้ต้องขังรายใดจะเข้าเกณฑ์โครงการดังกล่าวนั้น ทาง ผบ.เรือนจำฯ แต่ละแห่งจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครมีความเหมาะสมหรือผ่านคุณสมบัติได้รับการพักโทษ ทั้งแบบกรณีมีเหตุพิเศษและแบบปกติ ซึ่งผู้ต้องขังจะไม่สามารถเสนอตัวเองได้ เป็นการจัดทำประมวลเรื่องโดยเรือนจำนั้นๆ อย่างไรก็ตาม เรือนจำแต่ละแห่งจะมีการพิจารณาผู้ต้องขังที่ผ่านเกณฑ์พักโทษในทุกเดือน แล้วจึงจะเสนอรายชื่อมายังกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำเข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษ ที่จะประชุมในทุกเดือน ทั้งนี้ ทางกรมราชทัณฑ์ โดยนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังไม่ได้รับรายงานจากนายนัสที ทองปลาด ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถึงประเด็นรายชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร ว่าเข้าเกณฑ์โครงการพักการลงโทษหรือไม่

“สำหรับคุณสมบัติของนายทักษิณ หากดูจากหลักเกณฑ์ที่ว่าเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง สูงวัย และมีอาการเจ็บป่วย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาในโครงการพักการลงโทษ กรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป (นักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป) แต่อย่างไร ณ วันนี้ทางกรมยังไม่ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงยังไม่มีข้อมูลตรงนี้ ส่วนกระบวนการหากนายทักษิณผ่านเข้าโครงการดังกล่าวจริง จะเป็นการดำเนินการโดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติว่าจะจัดทำเรื่องเอกสารอะไรอย่างไร รวมถึงกรณีการติดกำไล EM จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพักการลงโทษที่จะพิจารณาเหตุต่างๆ หากจะไม่ติดกำไล ก็ต้องมีเหตุผลประกอบ” นายสิทธิ กล่าว

นายสิทธิ กล่าวถึงระบบพักการลงโทษว่า หากผู้ต้องขังรายใดเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ตามขั้นตอนแล้วก็จะมีต้องมีรายชื่อของผู้อุปการะ ซึ่งกรมคุมประพฤติจะต้องไปสืบเสาะว่าใครจะเป็นผู้อุปการะผู้ต้องขัง และเมื่อพักโทษจะประกอบอาชีพอะไร และจะต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติอย่างไรบ้าง หรือกำหนดอาณาเขตว่าห้ามพ้นรัศมีเท่าใด หรือห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ส่วนบทบาททางการเมือง ในระหว่างการพักโทษ สามารถกระทำได้หากไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไปทำอะไรที่ผิดระเบียบ

‘ทักษิณ’ พลิกเกม!! ข้ามคดี ม.112 พร้อมกู่ก้อง ‘พักโทษกรณีพิเศษ’

ต้องขอบคุณ อ.วิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปปท.) ที่ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหามีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีไปจ้อที่เกาหลีใต้...และมีคนร้องเอาผิดว่า ‘หมิ่นฯ’ จนกลายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และอัยการสูงสุด (อสส.) ต้องรับผิดชอบ...

ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อสส. ในขณะนั้นมีความเห็นเมื่อ 19 ก.ย.ว่า ‘ควรสั่งฟ้อง’ ตามที่พนักงานสอบสวนเสนอมา...แต่ช่วงนั้นอย่างที่รู้ ๆ กันว่าทักษิณกำลังหนีคดีทัวร์เที่ยวโลก ทาง อสส. จึงให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับ โดยคดีจะหมดอายุความ 21 พ.ค. 2567

นั่นแหละ!! อ.วิรังรอง จึงต้องทำหนังสือสอบถามทั้งพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี คือ กองบังคับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และสำนักงานอัยการสูงสุด...

และวันนี้ (6 ก.พ. 67) ประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดมือโปร จึงนำทีมมาแถลงข่าวเรื่องนี้…โดยสรุปสาระสำคัญที่สุดได้ว่า...หลังจากทักษิณเดินทางกลับไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเมื่อ 22 ส.ค. 67 แล้ว เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 67 ทางสำนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา-พฤติการณ์คดีให้ทักษิณรับทราบพร้อมบันทึกคำให้การ ซึ่งนายทักษิณได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม...

ที่สุดของที่สุดจึงต้องรวบรวมเรื่องราวเสนอให้ อสส. พิจารณาเพื่อฟันธงอีกครั้ง ซึ่งการฟันธงมีความเป็นไปได้ 3 ทางคือ 

1) สั่งสอบเพิ่ม 
2) สั่งฟ้อง 
3) สั่งไม่ฟ้อง

โดยที่ระหว่างนี้หากวันที่ 18 หรือ 22 ก.พ. 67 หากทักษิณได้รับการพักโทษ ก็อยู่ที่พนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างไร...ต้องดูด้วยว่าการดำเนินรวบรวมพยานหลักฐาน ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ของทางอัยการเรียบร้อยหรือยัง...

ครับ...นั่นคือสาระจากด้านอัยการ แต่อีกด้านหนึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์...นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ ให้สัมภาษณ์ยอมรับแล้วว่าคนชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เข้าข่ายหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษคือ อายุเกิน 70 ปี ป่วย และรับโทษครบ 6 เดือน เพียงแต่ นายสหการณ์ เขินอายที่จะบอกว่าผู้ที่ได้รับการพักโทษในเดือนนี้มีชื่อทักษิณหรือไม่ แต่ยอมรับว่าเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการพิจารณาผู้ได้รับการพักโทษได้จบสิ้นไปแล้ว...

ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขมวดลงตรงประเด็นสรุปว่า...จะด้วยความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมที่ถูกโกงความยุติธรรมหรือเพราะเหตุผลกลใดก็ตาม...มีแนวโน้มสูงยิ่งที่ ‘ทักษิณ’ จะได้รับการพักโทษโดยไม่ต้องไปตัดผมสั้น หรือต้องนุ่งกางเกงขาสั้นชุดนักโทษในเรือนจำ...ขณะที่คดี ม.112 ก็ยังคาราคาซัง คาสำนักงานอัยการต่อไป...

วันปล่อยตัวทักษิณ...ก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นหน้าเห็นตา...อีกต่างหาก

สวัสดีประเทศไทย

‘พีระพันธุ์’ ปัดตอบ!! คุม ก.ยุติธรรม ใช้ภาพลักษณ์การันตี ‘คดีทักษิณ’

(13 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กรณีการได้รับแบ่งงานมาคุม กระทรวงยุติธรรม และรักษาการแทน รมว.ยุติธรรม โดยถูกจับตามองว่า เป็นการเอาภาพลักษณ์มาการันตีคดีของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ซึ่งนายพีระพันธุ์ ตอบว่า "ต้องไปถาม กระทรวงยุติธรรม ไม่เกี่ยวอะไรกับผม" ก่อนเดินขึ้นตึกบัญชาการ 2 เดินผ่านทางเชื่อมไปประชุม ครม. ที่ตึกบัญชาการ 1

ตัวแทน ‘นพ.ใหญ่’ เผยอาการ ‘ทักษิณ’ สวิงขึ้น-ลง  เสี่ยงวิกฤตตลอดเวลา ยืนยัน!! รักษาตัวอยู่จริง

(14 ก.พ.67) ที่โรงพยาบาลตำรวจ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ ไทย (คปท.) ได้ไปเจรจากับตัวแทนของนายแพทย์ใหญ่ เกี่ยวกับอาการป่วยของ นายทักษิณ ชินวัตร โดยได้รับคำตอบว่า อาการของนายทักษิณสวิง ขึ้น ๆ ลง ๆ ชีพจรไม่คงที่ เนื่องจากนายทักษิณ อายุ 75 ปี ซึ่งอาการเสี่ยงวิกฤตตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อขอขึ้นไปเยี่ยมอาการที่ชั้น 14 ตัวแทนนายแพทย์ไม่ได้อนุญาต นอกจากนี้ ในส่วนสอบถามคำถามอื่น ๆ ไม่ได้รับคำตอบ และโยนให้ไปถามทางราชทัณฑ์แทน

พร้อมกันนี้ ทาง คปท. ได้ตั้งข้อสงสัยกับทางแพทย์ว่า เมื่อถึงวันพ้นโทษอาการของนายทักษิณจะอาการดีขึ้นและสามารถเดินเหินได้หรือไม่ นายแพทย์บอกว่ายังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งส่วนนี้เป็นที่น่าสงสัยของประชาชนที่ตั้งคำถาม อยากให้ประชาชนช่วยจับตาดูว่าหากมีการพักโทษแล้ว อาการของทักษิณจะกลับมาปกติเลยหรือไม่ 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่านายทักษิณยังรักษาตัวอยู่ชั้น 14 หรือไม่นั้น ทางแพทย์ยืนยันว่า ยังคงมีการรักษาตัวอยู่จริง ซึ่งตนกับทางคณะยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทั้งนี้ ทาง คปท.จะปักหลักที่สะพานชมัยมรุเชฐต่อ จนกว่าจะถึงวันพักโทษ และจะจับตาดูอัยการว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างหลังจากนายทักษิณได้พักโทษ

นายพิชิต ระบุอีกว่าหลังจากการพักโทษ ทาง คปท.จะมีการไปทวงถาม ป.ป.ช.ว่ามีการสอบนายข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการให้นายทักษิณรักษาตัวนอกเรือนจำ ว่ามีการสอบไปถึงไหนแล้ว ซึ่งเคยยื่นเอกสารให้ตรวจสอบไปแล้วก่อนหน้านี้

‘พิชิต ไชยมงคล’ ชี้!! ‘คปท.’ ไม่ได้แพ้ ขอให้ติดตามกันต่อไป เชื่อ!! ทักษิณได้พักโทษคือมะเร็งร้าย ที่จะย้อนทำลาย รบ.เพื่อไทย

(15 ก.พ. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“ชนะศึกแพ้สงคราม

ยกแรก ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษแน่นอน มีคนปรามาสว่านี่คือความพ่ายแพ้ของ คปท. ทักษิณ ชนะแล้ว

ไม่หรอก ทักษิณพักโทษเหมือนชนะศึก แต่ คปท. ก็ไม่ได้แพ้ศึกนี้นะ การเปิดพื้นที่ทวงคืนความยุติธรรม สร้างป้ายแขวนคอที่ถอดออกไม่ได้ให้ ทักษิณ ว่าเป็นนักโทษเทวดา สร้างความเหลื่อมล้ำ ไปทั้งชีวิตที่เหลือ นี่คือชัยชนะของ ประชาชน แล้ว

ทักษิณ พ้นโทษไปแบบมีชนักติดคอไปตลอด พักโทษเหมือนชนะศึกแต่ คปท.  ก็ไม่ได้แพ้

ทักษิณบาดเจ็บหนักกว่า คปท.เยอะ ใครกันแน่ที่ชนะศึกนี้คิดดูดีๆ

กลศึกสงครามจึงไม่ได้ตัดสินที่ผลการศึกอย่างเดียว

แน่นอนว่า หลังจากการพักโทษจะมีเรื่องราวให้ติดตามอีกมาก ทักษิณนี่ละจะเป็นมะเร็งร้ายที่ลุกลามทำลายรัฐบาลเศรษฐา ทักษิณจะเป็นจุดอ่อน เป็นรอยด่าง ในรัฐบาลเพื่อไทย

รอยด่างนี้เหมือนแผลมะเร็งที่รักษาไม่หายเพราะมันเกิดขึ้นบนความเหลื่อมล้ำ คิดมองทั้งกระดานยาว ๆ สงครามความถูกต้อง ใครมีบาดแผล สงครามความเหลื่อมล้ำ ใครสร้างบาดแผลให้ใคร
ในสงคราม กองทัพไหนมีจุดอ่อนให้ถูกโจมตี กองทัพนั้นย่อมถูกทำลายในที่สุด

กองทัพ ประชาชนไม่มีรอยด่าง มีแต่ความจริง การเมืองก็เช่นกัน

ทักษิณ ศึกนี้ดูเหมือนชนะแต่ไม่ชนะ แถมมีชนักที่แกะไม่ออกและมันเป็นชนักเรื่องความเหลื่มล้ำของกฎหมาย กระดานสงครามจึงพอมองเห็นว่าจะเป็นเช่นไร

ทักษิณและพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเศรษฐา จะแพ้ทั้งศึกและแพ้ทั้งสงคราม อย่างหลีกหนีไม่พ้น

เราจะเดินสู้ต่อ สู้กันยาว ๆ วัดกันทั้งกระดาน

'ก้าวไกล' กับพื้นที่ ที่เริ่มไม่ปลอดภัย ส่วน 'ทักษิณ' พักโทษ แต่ 'คปท.' รุกต่อ

ต้องบอกว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์เดือดของเหตุบ้านการเมือง โดยเฉพาะวันที่ 14 ก.พ. 67 กลายเป็นวาเลนไทน์เดือด หวุดหวิดจะได้เลือด...หากสถานที่ดังกล่าวไม่ใช่สภาฯ...ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ควรแก่การ 'สรุป-บันทึก' หมายเหตุให้แฟนรายการคอลัมน์ 'เลียบการเมือง' ได้รับทราบ ติดตามดังนี้...

1) กรณีญัตติด่วนเรื่อง การทบทวนมาตราการ การรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ และประชาธิปัตย์ขอพ่วงท้าย และอภิปรายกันจนเป็นวาเลนไทน์เดือด

บทสรุปก็คือ ส่งผลการพิจารณาญัตติด่วนให้รัฐบาลและ กมธ.วิสามัญ พิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม  ส่วนที่ กมธ.ความมั่นฯ ที่รังสิมันต์ โรม ขอกลางสภาฯ ด้วยนั้น ประธานสภาฯ จะจัดส่งให้เป็นกรณีต่างหาก ซึ่งดูเหมือนจะสร้างความผิดหวังให้กับพรรคก้าวไกลพอประมาณ เพราะพรรคก้าวไกลถูก 'ชาดา ไทยเศรษฐ์' รมช.มหาดไทย ที่อภิปรายตอบโต้รังสิมันต์ โรม แฉกลับว่ามีผู้ช่วย สส.ของบางพรรคให้เงินสนับสนุนเยาวชนเคลื่อนไหวด้อยค่าสถาบัน

จากญัตติด่วนฯ ครั้งนี้ แม้พรรคก้าวไกลจะพยายามอภิปรายประเด็นสิทธิเสรีภาพ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยของสังคม ฯลฯ โดยไม่มีน้ำเสียงตำหนิ 'ตะวัน' ที่ก่อเหตุ หนำซ้ำยังอภิปรายเชิงปกป้องด้วยวาทกรรมร้อยแปด...นักสังเกตการณ์ทางการเมืองต่างเชื่อว่าจะทำให้กลุ่มกลาง ๆ ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถอยห่างออกมาไม่น้อย

2) กรณีทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษโดยไม่ต้องติดกำไลอีเอ็ม คาดว่าทักษิณจะยังไม่เปิดตัวในมิติที่มีความสุขสดชื่นอย่างแน่นอน เพราะจะย้อนแย้งกับข่าวอาการป่วย เป็นไปได้ที่จะมีการปล่อยภาพการนอนพักรักษาตัวหลุดออกมาโชว์ให้เห็น

ทั้งหลายทั้งปวง ใช่หรือไม่ว่า...ขณะที่ครอบครัวชินวัตรมีความสุขที่ได้ต้อนรับทักษิณกลับบ้าน พร้อมบริการราชทัณฑ์จันทร์ส่องหล้า แต่ประเด็นทางสังคม...ผลทางอ้อมเชิงลบที่ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร จะได้รับอันเนื่องจากกรณี 'นักโทษเทวดา' ก็จะเป็นมลทินที่ยากจะลบล้าง...

อนึ่งสำหรับ กลุ่มผู้ชุมนุมที่นำโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) คาดว่าจะมีการชุมนุมไปอีกระยะ เพราะล่าสุดมีการเติมเสบียงและเสริมทัพจากกองทัพธรรม ทั้งนี้เพื่อรอสถานการณ์สะเด็ดน้ำ

3) รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน ดูเหมือนจะออกอาการบ้านหมุน ประคับประคองตัวตั้งหลัก...โดยเฉพาะกรณีดิจิทัล วอลเล็ต...คณะกรรมการมีมติยืดเวลาออกไป 30 วันเพื่อศึกษาข้อเสนอ และหาแนวทางป้องกันการทุจริต ซึ่งไป ๆ มา ๆ รวมเวลาทางธุรการกว่าจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งก็ร่วมสองเดือน ซึ่งก็ไม่มีหลักประกันที่แข็งแรงใด ๆ ว่าจะจบ...

4) ขณะที่พรรคเพื่อไทย...ฝ่ายกฎหมายก็ออกอาการเสียรังวัด เมื่อจู่ๆ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 67 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ก็ทำหนังสือขอถอนร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ...ที่กำลังจะเข้าที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 16 ก.พ. จนต้องมีการแจ้งยกเลิกประชุมกะทันหัน

สาระหลักของร่างกฎหมายดังกล่าวเปิดโอกาสให้ 'ผู้เสียหาย' สามารถฟ้องร้องได้เองหาก ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่อง เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการรื้อคดีสำคัญๆ ในอดีตขึ้นมา กลายเป็นดาบสองคม  เพราะฝ่ายตัวเองก็มีสิทธิ์โดนด้วย...นี่น่าจะเหตุผลหนึ่งที่ถูกสั่งให้ถอนร่างออกมา...

3 ภารกิจลึก แต่ไม่ลับของ 'นายใหญ่' 'ปิ๊กบ้าน' วางเกมยึดเมืองหลวงชินวัตรกลับคืน

การเมืองไทยสัปดาห์นี้ โฟกัสอยู่ที่ 2 นายกรัฐมนตรี...คนแรก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯคนที่ 23 คนหลัง เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30 คนปัจจุบัน...

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด 15 หรือ 16 มี.ค.นี้ สองท่านจะป๊ะกันที่มุมใดมุมหนึ่งของเชียงใหม่ หลังจากที่พบกันไปแล้วที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 24 ก.พ.67

ว่ากันว่า การพบกันรอบสองนี้จะล้างข่าวที่ว่า 'วีซ่าตำแหน่งนายกฯ' ของเศรษฐาจะหมดลงในวันที่ 10 เม.ย.ตามข้อตกลงดีลลับ ที่ จตุพร พรหมพันธ์ เชื่อเป็นตุเป็นตะ...

อันนั้นก็ว่ากันไป...

แต่วาระไม่ลับแต่ลึกของ 'นายใหญ่' ทักษิณ ชินวัตร ในการปิ๊กบ้านหนนี้มีอยู่ 3 ประการสำคัญ...

1) ไหว้บรรพบุรุษ ในวาระใกล้เทศกาลเชงเม้ง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งไหว้วิญญาณพี่สาวหัวปี 'เยาวลักษณ์ ชินวัตร' ที่ล่วงลับเมื่อปี 2552 ระหว่างทักษิณตะลอนทัวร์หนีคดี...

2) ส่งสัญญาณทางการเมืองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม...ถึงมวลชนมิตรรักแฟนเพลงคนเสื้อแดง ซึ่งข่าวเบื้องต้นแว่วว่าจะบริหารจัดการอย่างไรไม่ให้เอิกเกริกจนเกินไป ถึงแม้ว่านาทีนี้จะประเมินกันว่า...คนเสื้อแดงเชียงใหม่ไปใส่เสื้อส้มกันไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม

3) เปิดเจรจา ปรับความเข้าใจในทางลึกกับตระกูล 'บูรณุปกรณ์' ที่เคยกอดคอกันมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย แต่มาแตกคอแยกวงกันเมื่อปี 2562 และเรื่อยมา...ซึ่งตราบใดยังเป็นอย่างนี้ ทั้ง 'ชินวัตร' และ 'บูรณุปกรณ์' อาจโดนพรรคส้มกลืนกินทั้งคู่...

ย้อนอดีตสั้นๆ ปี 2563 ศึกชิงนายกฯ อบจ. 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายใหญ่ ส่ง 'สว.ก๊อง' พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ลงนายกฯ อบจ.เอาชนะ 'เสี่ยโต๊ะ' บุญเลิศ บูรณุปกรณ์...

ต่อมาเลือกตั้ง สส.14 พ.ค.66 พรรคเพื่อไทยเกือบสูญพันธุ์ที่เชียงใหม่ ได้มา 2 เก้าอี้จาก 10 เก้าอี้ ส่วนก้าวไกลกวาดไป 7 ที่นั่ง...พลังประชารัฐ คนของ 'เสี่ยโต๊ะ' เอาไป 1

เชียงใหม่...ไม่ใช่เมืองหลวงของชินวัตรอีกต่อไปอย่างแน่นอน หากเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ต้นปี 2568 และเลือกตั้ง สส.รอบหน้า พรรคส้มยังยึดพื้นที่ จนกลายเป็นเมืองหลวงสีส้ม...

ทักษิณพบกับเศรษฐาก็น่าสนใจ...แต่ที่น่าสนใจกว่าในชีวิตจริง คือ 'เสี่ยโต๊ะ' บุญเลิศได้พบกับทักษิณหรือไม่?...

คืนวันที่ 14 มี.ค.ชายวัย 75 ที่ยังป่วยหนัก? จะนอนพักรีสอร์ทหรูในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ อ.แม่ริม ของครอบครัวจุฬางกูร คนแซ่เดียวกับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ...

สนามนี้มีไนท์กอล์ฟด้วย แต่คนป่วยอย่างทักษิณคงไม่มีแรงไปออกรอบตีกอล์ฟ...

หากแต่คุยกับเสี่ยโต๊ะและใครต่อใคร เพื่อยึดเมืองหลวงเชียงใหม่คืนมา ดูจะเข้าท่ากว่าแน่นอน!!

‘ทักษิณ’ ควง ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งรถรางชมอุทยานราชพฤกษ์ 'อดีตนายกฯ สมชาย-เจ๊แดง-ธรรมนัส-บิ๊กโจ๊ก' รอรับ

(14 มี.ค. 67) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเครื่องบินส่วนตัว พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะบุตรสาว นายปิฎก สุขสวัสดิ์ บุตรเขย และหลานสาว ลงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รองผบ.ตร. มาต้อนรับด้วย

ก่อนที่นายทักษิณ เดินทางต่อด้วยรถยนต์รถเลกซัสสีดำ ทะเบียน ขย 111 กรุงเทพมหานคร มาชมพืชสวนโลก ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่นายทักษิณ ได้ผลักดันสมัยเป็นนายกฯ ก่อนถูกรัฐประหาร ปี 2549

โดยทันทีที่ นายทักษิณ มาถึงนายภูดิท อินสุวรรณ์ อดีต สส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย นำพระพุทธรูปพุทธบารมี วัดทับคล้อ หน้าตัก 9 นิ้ว มามอบให้นายทักษิณ พร้อมกันนี้นายทักษิณยังกล่าวทักทายคนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าการมาครั้งนี้ นายทักษิณ มีสีหน้าสดใส สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าคราม กางเกงยีนส์ รองเท้าลำลอง และเดินกุมมือกับ น.ส.แพทองธาร ตลอดเวลา โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่ามาเชียงใหม่ครั้งนี้ เชียงใหม่เปลี่ยนแปลงไปเยอะหรือไม่ นายทักษิณ ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า เหมือนเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคณะที่เดินทางมาร่วมกับนายทักษิณ ประกอบด้วย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ และยังมีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มารอต้อนรับด้วย 

โดยตลอดการเดินทางของนายทักษิณ มีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งนายทักษิณ ยังสวมเฝือกอ่อนที่คอ จากนั้นคณะได้ขึ้นรถกอล์ฟไปด้านในอุทยานหลวงฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการลงพื้นที่ครั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดรวมตัวเพื่อให้กำลังใจนายทักษิณ ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อำเภอสันกำแพง ในวันที่ 15 มี.ค. ทำให้บริเวณพืชสวนโลกมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาที่จุดดังกล่าวประปราย โดยเป็นคนเสื้อแดงจากจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ มาชูป้ายสีแดงรูปนายทักษิณ พร้อมข้อความนายกฯ ในดวงใจ และใส่เสื้อที่มีรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับนายทักษิณ รวมทั้งยังมีการถือกระเป๋าผ้าสกรีนรูปนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมลายเซ็นด้วย

ด้านนางสำเนียง คงพลปาน ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดง เปิดเผยว่า มาให้กำลังใจนายทักษิณ นายกฯ ในดวงใจ  อันเป็นที่รักและเป็นนายกฯ ที่ดีที่สุด ที่ผ่านมามีผลงานที่ชัดเจน ประเทศชาติประชาชนมีกิน มีอยู่ทุกคน ได้สัมผัสชัดเจน และในวันที่ 15 มี.ค. จะไปรวมตัวที่วัดโรงธรรมสามัคคีด้วย ส่วนที่มีกระแสข่าวคนเสื้อแดงบางส่วนเปลี่ยนใจนั้น ขอยืนยันว่า เลือดเปลี่ยนสีเมื่อไหร่เปลี่ยนใจเมื่อนั้น 

ถอดรหัส ‘ทักษิณ’ กินรวบ!! กับดักอันตราย ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ ในวันที่ขั้วอำนาจเดิมต้องอาศัยเสียง 'เพื่อไทย' สยบ 'ก้าวไกล'

บทสรุปของทักษิณ ชินวัตร ในการเดินทางไปปิ๊กบ้าน กราบไหว้อัฐิบรรพบุรุษที่เชียงใหม่ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. 67 สมควรจะถูกบันทึกไว้สั้น ๆ อีกครั้ง หลังจากที่สัปดาห์ก่อน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้กล่าวถึงภารกิจสำคัญของทักษิณไปบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามนั้น…

มองย้อนปรากฏการณ์ทักษิณปิ๊กบ้านหนนี้ แล้วสรุปเป็นข้อ ๆ ในเชิงวิเคราะห์ข่าวได้ดังนี้…

1. ทักษิณใช้ต้นทุนสูงมากในภารกิจครั้งนี้...ต้นทุนสูงที่สุดก็คือการเปลือยให้คนทั้งประเทศมีความรู้สึกอย่างเดียวกันว่า...ที่ผ่านมาทักษิณไม่ได้ป่วยหนักหรือป่วยวิกฤตจริง ๆ

จากนี้ไปการตรวจสอบข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ หน่วยงานที่รู้เห็นเป็นใจในการช่วยทักษิณแม้แทบจะมองไม่เห็นหนทางชนะในตอนนี้ แต่อนาคตอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้...

2.การไปเชียงใหม่ทักษิณได้รับการต้อนรับ ดูแล เอออวยจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำยิ่งกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี และพี่น้องคนเสื้อแดงที่บริหารจัดการกันมาจำนวนหนึ่ง...มองให้ลึกลงไปค่อนข้างจะขาดความมีชีวิต แม้ว่าในทางการเมืองการปิ๊กบ้านของทักษิณหนนี้จะเป็นการส่งสัญญาณให้คนเชียงใหม่รู้ว่าทักษิณกลับมาแล้วก็ตาม…

3.สมการการเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน สส. 10 คน เป็นพรรคก้าวไกล 7 คน เพื่อไทย 2 คน พลังประชารัฐ 1 คน ส่วนนายก อบจ. คือ ‘สว.ก๊อง’ หรือ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร คนของพรรคเพื่อไทย...ตอนแรกคาดกันว่าตระกูล ‘บูรณุปกรณ์’ บ้านใหญ่ที่เคยล่มหัวจมท้ายกับเพื่อไทยจะหวนคืนมาจับมือกับทักษิณ-เพื่อไทยในทันที แต่ยังไม่เห็นภาพนั้น ดูแล้วแต่ละฝ่ายยังตรึงกำลังกันอยู่…

3.1 ศึกชิงนายกอบจ. ต้นปี 2568 เพื่อไทย-เจ๊แดง หรือเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ คงจะหนุน สว.ก๊อง ลงนายกอบจ.ต่อ ขณะที่พรรคก้าวไกล จะส่ง ‘ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์’ อดีตผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งประเทศ (NIA) คนหนุ่มคนเชียงใหม่ลงสมัคร ทำให้ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีตสส.เพื่อไทย ที่ไปลุ้นอยู่ด้วยอกหัก…

3.2 การเลือก สส. บารมีทักษิณน่าจะช่วยให้พรรคเพื่อไทยทวงคืนเก้าอี้ในบางเขตกลับคืนมาได้บ้าง...แต่หนทางที่จะกวาดยกจังหวัดแบบเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ยากที่จะเกิดขึ้นได้อีก...ด้วยหลายเหตุผล

4. อย่างไรก็ตาม…สำหรับการเมืองระดับชาติในขณะนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ พูดคุยเสวนากับนักวิชาการมาหลายสำนัก มีความเห็นตรงกันประการหนึ่งว่า… ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ถือไพ่ดุลอำนาจเหนือกว่าทุกฝ่าย จนพูดกันว่า ‘ทักษิณกินรวบ’ เหตุเพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิมยังต้องอาศัยเสียงของพรรคเพื่อไทย สยบหรือตรึงพรรคก้าวไกลที่ถูกขีดเส้นใต้ว่าเนื้อแท้แล้วยังเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯ…

ดังนั้นการล้ำเส้นความเป็นอภิสิทธิ์ชนของทักษิณในเวลานี้ยังไม่ใช่ปัญหาหลักในสายตาของผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทั้งที่เป็นจุดแห่งความเสื่อม...

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมระแวงเหมือนกันว่าพรรคเพื่อไทยว่าจะเบี้ยวข้อตกลง...โดยเฉพาะหลังวันที่ 10 พ.ค. 67 วันที่สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันหมดวาระและสิ้นอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ...พรรคเพื่อไทยอาจไปจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้…เพียงแต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมประเมินว่าทักษิณใจไม่กล้าพอที่จะเลือกหนทางนั้น…

เพราะสุ่มเสี่ยงที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...!!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top