Tuesday, 21 May 2024
ดิจิทัลวอลเล็ต

คุ้มค่าหรือ? ‘รัฐบาล’ ทุ่ม 5 แสนล้านดัน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ‘นโยบายประชานิยม’ จะพาเศรษฐกิจไทยฟื้นหรือดิ่งเหว

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ กับการแถลงข่าวเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 มีการ ‘ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) ครั้งที่ 3/2567’ ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม

ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่พ้น ‘แหล่งที่มาของงบประมาณ’ ในโครงการ โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแหล่งเงินของโครงการฯ 500,000 ล้านบาท สามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยจะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 ส่วน ได้แก่

1. เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณในปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

2. การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 ของงบประมาณปี 2568

3. การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของรัฐบาล จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณปี 2567 เพิ่งเริ่มใช้ จึงมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาว่ารายการใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงงบกลาง ก็อาจนำมาใช้เพิ่มเติมในส่วนนี้ถ้าวงเงินไม่เพียงพอ รวมวงเงินส่วนที่ 1-3 เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท

นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่นายกฯ เศรษฐา ได้เคยแถลงเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ยืนยันว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทำได้แน่นอน และไม่มีการกู้เงินมาแจก ในวันนี้ได้เห็นแหล่งที่มาของการใช้เงินแล้ว คงพอรับรู้ได้ว่า เป็นการ ‘กู้เงิน’ หรือไม่ ?

การเดินหน้าโครงการนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงตัดสินกันในตอนนี้ไม่ได้ ถึงแม้นักวิชาการหลายท่าน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เคยให้ความเห็นติติงกันมาพอควรมาแล้ว

ทีนี้ มาลองดูโครงการใหญ่ ๆ จาก 3 ประเทศ ในเอเชีย ที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท ในช่วงนี้ มีเป้าหมายใช้งบประมาณในด้านใดบ้าง

เริ่มจาก ‘เกาหลีใต้’ ทุ่ม 2.5 แสนล้านเกาะกระแส AI หวังสร้างตำนานบทใหม่ สู่การเป็นมหาอำนาจเซมิคอนดักเตอร์ ประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล ของเกาหลีใต้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่ารัฐบาลจะลงทุน 9.4 ล้านล้านวอน (2.5 แสนล้านบาท) ในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ 1.4 ล้านล้านวอน (3.8 หมื่นล้านบาท) สำหรับส่งเสริมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI ภายในปี 2027 เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัย

โดยรัฐบาลเกาหลีใต้วางแผนที่จะขยายการวิจัยและพัฒนาชิป AI เช่น หน่วยประมวลผลประสาทเทียม (NPU) และชิปหน่วยความจำแบนด์วิธสูงรุ่นต่อไป นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) และเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคตที่เหนือกว่ารุ่นที่มีอยู่ และตั้งเป้าที่จะทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในสามประเทศชั้นนำในด้านเทคโนโลยี AI รวมถึงชิป และครองส่วนแบ่งในตลาด system semiconductor ทั่วโลกให้ได้ 10% หรือมากกว่าภายในปี 2030

ถัดมา ‘เวียดนาม’ ทุ่มลงทุน 9.6 แสนล้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกฯเวียดนาม เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ว่า เวียดนามเตรียมจัดสรรเม็ดเงินลงทุนภาครัฐราว 657 ล้านล้านดอง (กว่า 9.6 แสนล้านบาท) ในปี 2567 โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นส่วนใหญ่ พร้อมเน้นย้ำว่า เมื่อโครงการด้านการคมนาคมเริ่มดำเนินการแล้ว จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และยกระดับศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับองค์กรต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม การบริการ และชุมชนเมือง

และอีก 1 ประเทศ ที่มีการลงทุนหลักแสนล้าน ‘มาเลเซีย’ ทุ่มเกือบ 3 แสนล้านขยายท่าเรือใหญ่สุดในประเทศ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เวสต์พอร์ทส์ โฮลดิงส์ ผู้ให้บริการท่าเรือรายใหญ่สุดของมาเลเซียกำลังมองหานักลงทุนจากภายนอกเพื่อระดมเงินลงทุนขยายท่าเรือ 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 299,539 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ศักยภาพของท่าเรือขยายเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือใหญ่อันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขยับขยายท่าเรือจะเพิ่มศักยภาพเป็น 27 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จากปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้าน ตลอดอายุสัมปทานซึ่งจะอยู่จนถึงปี 2082

การขยายท่าเรือเวสต์พอร์ทส์สะท้อนความพยายามในการขยายท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้านตามแนวช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก

การลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ดึงต่างชาติมาลงทุน เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของ 3 ประเทศข้างต้น เปรียบเทียบกับงบประมาณที่รัฐบาลไทย จะทุ่ม 500,000 ล้านบาท ตามนโยบายประชานิยมที่เคยหาเสียงไว้ คุ้มค่าหรือไม่? บางทีอาจเป็นคำถามที่ไม่ต้องการผลลัพธ์เพื่อตอบคำถามนี้ 

เรื่อง: The PALM

ขีดเส้นใต้ 'ปรับครม.-ดิจิทัลวอลเล็ต-ปูกลับบ้าน-พลิกขั้ว' สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง อาจพาประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

เปลี่ยนบรรยากาศขอมัดรวมสถานการณ์ด้านการเมือง ที่เป็นแก่นแกนสถานการณ์ ควรแก่การขีดเส้นใต้ให้คอการเมืองได้ติดตามสถานการณ์กันอย่างพินิจ ใคร่ครวญ...ต่อไป...

1) ถ้าไม่ยืดย้วย ภายในเดือน เม.ย.กรรมการดิจิทัล วอลเล็ต จะสรุป-เสนอรัฐบาลเรื่องให้ครม.พิจารณาอนุมัติ ซึ่งขณะนี้ประเด็นสำคัญที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดคือ การใช้งบประมาณของ ธกส.โดยอาศัย มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่? ขัดกับกฎหมายการจัดตั้ง ธกส.หรือไม่? ... ประเด็นนี้แบงก์ชาติและนักวิชาการแสดงความกังวล

อีกประเด็นคือ วิธีการใช้จ่ายเงิน ทำไมไม่ใช้ระบบเงินสดตั้งแต่รอบแรก มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ รวมทั้งการพัฒนาแอปฯ 'ทางรัฐ' ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมอีกเท่าไหร่?

2) ทักษิณ ชินวัตร ได้เปล่งบารมีเป็นศูนย์กลางอำนาจตัวจริงของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ขณะไปปักหลักเชียงใหม่ห้วงเทศกาลสงกรานต์ มีเพียงรัฐมนตรีของพรรค 4 คนที่ติดภารกิจเท่านั้นที่ไม่ไปร่วมคือ เศรษฐา ทวีสิน, ภูมิธรรม เวชยชัย, ปานปรีย์ พหิทธานุกร และ จักรพงษ์ แสงมณี

สายข่าวแจ้งว่า การปรับครม.น่าจะเกิดในช่วงเดือนพ.ค.หรืออย่างช้าหลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 ผ่านวาระแรกในเดือน 5-6 โดยวัดจากอุณหภูมิในขณะนี้ รัฐมนตรีที่ไข้ขึ้นสูงถึงขั้นต้องพักผ่อนคือ นายสุทิน คลังแสง และไชยา พรหมมา ส่วน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ถ้าจะโยกจาก รมว.สธ.ไปสภาฯ ก็ตีความกันว่า ต้องไปเป็นประธานสภาฯ แทนท่านวันมูหะหมัดนอร์ มะทา เท่านั้น

แต่คำถามมีอยู่ว่า...ท่านวันนอร์จะยอมไหม? ถ้ายอม..แล้วไม่กลัว 'พ่อมดดำ' สุชาติ ตันเจริญ ที่ยอมกลืนเลือดมา 7-8 เดือนจะโวยวายบ้างเหรอ?? งานนี้ยุ่งตาย....

3) สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามความปลอดภัยในนาทีที่ดูเหมือนบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการปรับ ครม.และ ดิจิทัล วอลเลต ก็คือ...ความรู้สึกอึดอัดของผู้คนจำนวนไม่น้อยกับตัวละครคนสำคัญของ 'ดีลลับ' คือ 'ทักษิณ' ที่ยังเป็นจำเลยสังคมกรณีความเป็นนักโทษเทวดาและพักโทษ...ซึ่งล่าสุดได้พูดชัดเจนกรณีน้องสาว 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ที่หนีคดีจำนำข้าวว่า จะได้กลับบ้านอย่างแน่นอนภายในปีนี้ หรือมาทำบุญกรานต์ปีหน้าร่วมกัน...

ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์สถาบันนิด้าคนดัง โพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 15 เม.ย.67 ตอนหนึ่งว่า...

"สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังตั้งเค้า เป็นเงาทะมึนดำ -ท้องฟ้ากำลังสาดฉายแสงฉานสีแดงอมส้ม-การเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมรอคอยสถานการณ์และเงื่อนไขที่สุกงอม-แต่สิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเราเสมอมาคือ ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย..ฯลฯ.."

'เล็ก เลียบด่วน' อ่านทางเดาใจ ดร.อานนท์ สรุปแล้วอาจารย์น่าจะคาดหมายว่า...ในอีกไม่นานพรรคส้มกับพรรคแดงคงจะร่วมรวมกันจับมือกัน...แล้ววันนั้นอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมให้บ้านเมืองพลิกข้างเปลี่ยนโฉมไปมากขนาดนั้นแน่...อันตราย!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

เทียบฟอร์ม 'คนละครึ่ง-ดิจิทัลวอลเล็ต' โครงการไหนตอบโจทย์ ไม่ซับซ้อน

(17 เม.ย.67) จากเพจ 'เชียร์ลุง' ได้โพสต์ภาพกราฟิกพร้อมเนื้อหาในหัวข้อ 'เทียบกันชัด ๆ คนละครึ่ง กับ ดิจิทัลวอลเล็ต คุณชอบโครงการไหนครับ' ไว้ดังนี้...

>> คนละครึ่ง
- รัฐออกให้ครึ่งนึง ใช้งบประมาณครั้งละ 3-4 หมื่นล้านบาท
- ใช้ได้ทุกที่
- ป้องกันทุนใหญ่
- ใช้แอปฯ เป๋าตัง ใช้ง่าย สะดวก
- ช่วยค่าใช้จ่ายปากท้อง เพิ่มปริมาณการใช้จ่ายให้มากขึ้น
- ถูกกฎหมายทำได้ทันที

>> ดิจิทัลวอลเล็ต
- รัฐออกให้ทั้งหมด ใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท
- จำกัดระยะทาง
- ไม่ป้องกันทุนใหญ่
- ลงทุนสร้างแอปฯ ใหม่ เงื่อนไขซับซ้อน
- หวังกระตุ้น GDP
- รอตีความทางกฎหมาย มีผู้คัดค้านมากมาย

'อดีตรมว.คลัง' ชี้!! แจกเงินดิจิทัล ไม่น่าเป็นพายุหมุนทาง ศก. อาจกระทบอนาคต เป็นได้แค่ลมโชย เพราะไม่ใช่แหล่งเงินใหม่เติมเข้าไปในเศรษฐกิจ

(23 เม.ย.67) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala หัวข้อ ‘ไม่ใช่พายุหมุนแค่ลมโชย’ มีรายละเอียดดังนี้ ไม่ใช่พายุหมุนแค่ลมโชย รัฐบาลประกาศว่า การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะสร้างพายุหมุน จะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

>> ถามว่า โฆษณาไว้อย่างไร?

ตอบว่า : 1. รัฐบาลคุยว่า การแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นจีดีพีปี 2567 ให้ขยายตัวได้ถึง 5% (จากครรลองปกติ 3%) จะเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3-4% เม็ดเงิน 560,000 ล้านบาท จะหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ 2-3 รอบ ก่อให้เกิดมูลค่าถึง 1.5 ล้านล้านบาท 

2. คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ประเมินว่า โครงการนี้จะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในเวลาอันรวดเร็ว คาดคะเนว่าเงินจากดิจิทัลวอลเล็ตจะเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจเฉลี่ย 3.7 รอบ หากคิดจากยอดเงินของโครงการที่ 5 แสนล้านบาท จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 2 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย 

3.นักวิชาการผู้นำกลุ่มริเริ่มโครงการบอกว่า "การหมุน จะเกิดขึ้นหลายรอบ ผมคำนวณ 4-5 รอบ และจะเก็บภาษี แวท ได้ตามที่คำนวณในคลิป แต่ที่สำคัญคือ มันไม่ได้หยุดในไตรมาสเดียว มันจะเกิดการหมุนหลายรอบข้ามเวลามากกว่าสี่ไตรมาส Q4/67 ….Q4/68.."

>> ถามว่า แหล่งเงินสำหรับโครงการจะมาจากไหน?

ตอบว่า : เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, กฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง, ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ เฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ร่วมแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน ดิจิทัลวอลเล็ต ลวรณ ในฐานะปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงถึงรายละเอียดว่า รัฐบาลดำเนินตามกฎหมายทุกประการ โดยใช้แหล่งเงินที่มาจากงบประมาณทั้ง 500,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และ 2568 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

1. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้มีการขยายงบประมาณในปี 2568 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จากการดำเนินการโครงการจากหน่วยงานของรัฐ 172,300 ล้านบาท โดยใช้มาตรา 28 และมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เป็นผู้ดูแลประชาชนในกลุ่มที่เป็นเกษตรกรจำนวน 27 ล้านคน

3. งบการบริหารจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท

ผมขอบอกว่า ผลการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะเปลี่ยนจากพายุหมุน ไปเป็นลมโชย ก็เนื่องจากการใช้แหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. และจากงบประมาณปี 2567

>> ถามว่า เหตุใดการใช้ 2 แหล่งเงินนี้จะเปลี่ยนจากพายุหมุน ไปเป็นลมโชย?

ตอบว่า : บรรดาผู้ที่แถลงข่าวควรคำนึงถึงปัจจัยเศรษฐกิจต่อไปนี้

หนึ่ง วิธีก่อพายุหมุนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลกู้หนี้สาธารณะ เพราะเป็นการหาเงินใหม่เข้ามาเติมเข้าไปในเศรษฐกิจ แต่เงินจาก 2 แหล่งนี้ไม่ใช่เงินใหม่

สอง เมื่อรัฐบาลให้ ธ.ก.ส. ใช้เงินเพื่อดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากผิดกฎหมายเพราะอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์แล้ว ยังเป็นเงินจำนวนสูงมาก จะเป็นอุปสรรคต่อการที่ ธ.ก.ส. จะให้กู้ตามครรลองปกติ

ตัวเลขจีดีพีปกติ ประมาณ 3% นั้น ส่วนหนึ่งหนุนจากการที่ ธ.ก.ส. ให้กู้ตามครรลองปกติ 

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเบียดบังเงินนี้ เอาไปใช้เพื่อการอื่นซึ่งทำให้ ธ.ก.ส. ไม่สามารถให้กู้ได้ตามเดิม ตัวเลขจีดีพีย่อมจะต้องลดลง ต้องหักทอนออกจากพายุหมุนพายุหมุนจึงกลายเป็นลมโชย

สาม การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ให้ได้เงินจำนวน 175,000 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลนั้น ย่อมต้องชะลอการใช้จ่ายด้านอื่นรายจ่ายประจำปี 2567 ที่เป็นเงินเดือนและสวัสดิการข้าราขการ รวมถึงบรรดาค่าใช้จ่ายประจำนั้น เดิมผู้รับเงินก็จะเอาไปใช้จ่าย ซึ่งจะหนุนจีดีพีตามแนวโน้มปกติ 3% 

เมื่อรัฐบาลเบียดบังเอาไป ตัวเลขจีดีพีย่อมจะต้องลดลง ต้องหักทอนออกจากพายุหมุน รายจ่ายประจำปี 2567 ที่เป็นโครงการลงทุน เดิมผู้รับเงินก็จะเอาไปใช้จ่าย ซึ่งจะหนุนจีดีพีตามแนวโน้มปกติ 3% แต่นอกเหนือจากนั้น การลงทุนจะเพิ่มความสามารถในการหารายได้ของประเทศในอนาคต

เมื่อรัฐบาลเบียดบังเอาไป ตัวเลขจีดีพีย่อมจะต้องลดลง ต้องหักทอนออกจากพายุหมุน แต่ที่สำคัญคือ จะกระทบความสามารถในการหารายได้ของประเทศไปในอนาคตอีกด้วย

พายุหมุนจึงกลายเป็นลมโชย ทฤษฎีสูบออกสูบเข้า

ทั้งนี้ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรมให้ตัวอย่างอธิบายแบบภาษาชาวบ้านรัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจไทยเหมือนคนไข้ขาดเลือด ต้องเอาเลือดสูบเข้าร่างกาย แต่เลือดที่จะสูบเข้านี้ ไม่ได้มาจากไหนเป็นเลือดที่รัฐบาลสูบออกไปจากคนไข้นั้นเอง สูบเข้าสูบออกนั้น ไม่สามารถเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

'โฆษกรัฐ' แจงเสียงวิจารณ์ 'เงินดิจิทัล' เทเข้ากระเป๋าเจ้าสัว ยกตัวเลขร้านค้ามีตั้ง 1.2 ล้านร้าน ของเจ้าสัวแค่หลักหมื่น

(23 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย​ วัชรงค์​ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ภายหลังจากที่มีการประชุมหารือไปหลายรอบ สุดท้ายได้ข้อสรุปเป็นหลักการ ของโครงการเงื่อนไขผู้ที่ได้รับ 50 ล้านคน​ อายุ 16 ปีขึ้นไป​ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท​ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องมีการลงทะเบียนผ่าน Application บน Smartphone

ส่วนการใช้จ่าย​ จะใช้จ่ายในเขตอำเภอตามทะเบียนบ้าน และใช้ในร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โดยรายละเอียดกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้กำหนดว่าร้านค้าขนาดเล็กหมายถึงร้านใดบ้าง และประชาชนมือ​ 1 มีกรอบนี้เวลาการใช้จ่ายเงิน​ 10,000 บาทภายใน 6 เดือน​ เพื่อให้จบในโครงการ​ ขณะที่ร้านค้ามือที่ 1 ที่ขายของให้ประชาชนที่นำเงินดิจิทัลไปใช้ ร้านค้ากลุ่มนี้เป็นร้านอะไรก็ได้​ แม้กระทั่งหาบเร่​ แผงลอย​ ก็สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์เป็นร้านค้าได้ แต่เมื่อขายของแล้ว​ ได้เงินดิจิทัลมาแล้ว​ ยังไม่สามารถนำไปขึ้นเป็นเงินได้​ โดยจะต้องนำไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ซึ่งร้านค้าที่ขายให้ประชาชนมือ 1 ที่ผ่านมาแล้ว จะนำไปซื้อของต่อที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตอำเภอ แต่จะสามารถซื้อ​ข้ามเขตจังหวัดได้ และผู้ที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นเงินดิจิทัลที่ผ่านการใช้ 2 รอบมาแล้ว​เป็นขั้นต่ำ และร้านค้านั้นๆจะต้องอยู่ในระบบภาษีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม​ ภาษีนิติบุคคล​ หรือภาษีบุคคลธรรมดา​ ตามมาตรา 40 ( 8)​ ของประมวลรัษฎากร

ซึ่งสินค้าที่ยกเว้น​ไม่สามารถซื้อได้​ เช่น​ สินค้าบริการ​ เชื้อเพลิง​ อบายมุข​ สลากกินแบ่ง​รัฐบาล​ เครื่องประดับ โดยจะต้องเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นส่วนใหญ่​ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ปีนี้​ และจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินทั้งหมด 5 แสนล้านบาท จะมาจากงบประมาณทั้งหมด โดยเป็นงบประมาณปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท งบประมาณปี 2568​ วงเงิน​ 157,200 ล้านบาท และงบประมาณที่มาจากการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร​ (ธกส.) อีก 172,300 ล้านบาท ส่วนร้านค้าจะกำหนดเวลาให้แน่นอนอีกครั้ง แต่ระยะเวลาการดำเนินโครงการโครงการแลกเงินคืนทั้งหมดไม่เกินเดือน ก.ย.2569

นายชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ ประโยชน์ที่จะได้ในโครงการนี้ปีงบประมาณ 2568 จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2 -​ 1.8% ประโยชน์ของโครงการนี้ จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลาย ๆ โครงการในอดีตที่ผ่านมา ผลของการกระตุ้นไม่ได้จบเพียงปีเดียว ในทางเศรษฐกิจนักวิชาการกระทรวงการคลัง​ ได้จับตัวเลขมาโดยตลอดว่า แนวโน้มของการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ครอบคลุม 3-4 ปี ไม่ใช่ปีแรก 1.2 ถึง 1.8 แล้วจบปีที่ 2 ถึงปีที่ 3 ก็จะยังมีการเติบโต ซึ่งตนได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ​ ทางด้านเศรษฐกิจการคลังมาแล้วว่า การกระตุ้นเที่ยวนี้​ โดยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต​ ซึ่งกำกับควบคุมว่าจะต้องใช้กับการซื้อสินค้าที่มีผลต่อ GDP สูง จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 3.2 -​ 3.5 รอบ หรือ money multiplier แต่จะก่อให้เกิดตัวทวีคูณทางการคลังจะเกิดขึ้นประมาณ 1.2 -​ 1.4 เท่าของเม็ดเงิน 5 แสนล้านที่ใส่ไป​ นั่นหมายถึง​ 650,000 ล้านบาท​ ซึ่งจะเป็นตัวเลข GDP ที่จะโตใน 3 ปี

นายชัย​ ยังระบุอีกว่า​ จากการที่ตนได้ไปศึกษาข้อมูลถึงข้อห่วงใย และข้อครหาว่าโครงการนี้ถูกออกแบบ และจะทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าเจ้าสัว และร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น จากการตรวจสอบร้านสะดวกซื้อปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 14,500 สาขา ซึ่งมีเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นของบริษัทเอกชน (บริษัท​ ซีพีออลล์) ​โดยตรง แต่ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ และเมื่อเทียบกับจำนวนร้านค้าขนาดเล็ก และร้านค้าย่อย จากการลงตัวเลขในโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ผ่านมา กระทรวงการคลังรายงานว่า มีตัวเลขร้านลงทะเบียน 1.2 ล้านร้าน​ ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าร้านค้าเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดังนั้น ร้านค้าที่ประชาชนจะนำเงินดิจิทัลไปใช้ได้รอบแรกประมาณ​ 1.2 ล้านร้าน​ ส่วนข้อกังวลว่าจะผูกขาดร้านสะดวกซื้อ 14,500 บาทสาขา อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแฟรนไชส์ ขอให้เปรียบเทียบดูร้านค้า 1.2 ล้านแห่งกับหมื่นกว่าแห่ง มันไกลกันเยอะ ดังนั้น โอกาสที่ประชาชนจะไปใช้จ่าย โดยที่ไม่เข้ากระเป๋าของเจ้าสัวจึงมีสูง​ ในข้อเท็จจริงจึงไม่เป็นไปอย่างที่กังวลใจ

นายชัย ยังระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ​ ว่าเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ​ ไม่ควรเข้ากระเป๋าใคร​ หรืออย่างไร​ เราไม่ได้มองอย่างนั้น รัฐบาลมองว่า ถ้าเม็ดเงินนี้ผ่านมือประชาชนไปแล้ว เอาไปใช้จริงร่วมกันใช้อย่างเต็มที่ ผ่านกลไกทางด้านการค้า และในที่สุดเงื่อนไขการเบิกเงินก็ต้องเป็นผู้เล่นที่เป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี จึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยคิดที่จะตั้งเงื่อนไข​ กีดกันใครก็ตามที่ทำมาหากินแล้วประสบความสำเร็จ​ เติบโตขึ้นมาบนระบบที่ถูกต้อง​ ยอมเสียภาษี​ และวันหนึ่งจะมาถูกต้องข้อรังเกียจว่าคุณหมดสิทธิ์เราจะไม่ทำอย่างนั้น

นายชัย​ กล่าวว่า​ วันนี้มติครม.เห็นชอบในหลักการทั้งหมด​ ที่คณะกรรมการฯ เสนอมา แต่คำว่าเห็นชอบในที่นี้​ คือเห็นชอบในตัวหลักการ แต่เวลาปฏิบัติจากนี้ไปทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง กระทรวงการคลัง​ กระทรวงพาณิชย์​ จะต้องไปทำรายละเอียด โดยมีการคำนวณไทม์ไลน์​แล้วว่าจะทันในการลงทะเบียนในไตรมาส​ 3 อย่างแน่นอน​ การจ่ายเงินการโอนรัฐบาลจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน​ ทั้งกฎหมายการเงิน​ การทำโครงการใดก็ตามจะต้องมีเม็ดเงินที่เรียกว่า เม็ดเงินครบเต็มจำนวน การจะใช้เงินตามมาตรา 28 รัฐบาลจะมีการสอบถามอย่างถูกต้อง เช่นประเด็นธกส.​ นายกรัฐมนตรีสั่งในที่ประชุมว่าให้ทำเรื่องเป็นทางการประเด็นไหนให้ถามกฤษฎีกาให้กฤษฎีกาตอบอย่างเป็นทางการให้ชัดเจน และรัฐบาลจะทำให้โปร่งใสให้สิ้นข้อสงสัย 

‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ’ ส่งหนังสือด่วนถึง ครม. เตือน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ก่อหนี้มหาศาล

(24 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เม.ย.67 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 เม.ย.67 มองว่าโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคตดังนี้…

1. ความจำเป็น โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ 

1.1 ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง โดยความจำเป็นกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างมีไม่มาก โดยในปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนของไทยขยายตัวร้อยละ 7.1 เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2553 - 2565 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 3 ต่อปี

1.2 โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้กำหนดอัตราส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้ของประเทศในกลุ่ม Baal (Rating ของไทยในปัจจุบัน) ไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 11 มองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะทำให้มีอัตราสูงกว่าเกณฑ์ในปี 2568 หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น

1.3 การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5,000 ล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ มากกว่า 100,000 ล้านบาท อาจกระทบการจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกความไม่แน่นอนสูงและภาวะภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น

1.4 รัฐบาลควรคำถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตัวอย่างการใช้งบประมาณที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการพัฒนาบุคลากรการแพทย์ (ใช้งบเฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง) สร้างบุคลากรการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง โครงการ เรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ (83,000 ล้านบาทต่อปี) สนับสนุนได้นานถึง 6 ปี โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร (40,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 10 สาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (190,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 2 สาย

>> 2. แหล่งเงินสำหรับดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

วงเงิน 500,000 ล้านบาท นำมาจากงบประมาณรายจ่าย และกู้เงินจาก ธ.ก.ส. โดยรัฐบาล รับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ต้องไม่ขัดแย้งกับการควบคุมระบบเงินตรา และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร ควรมีความชัดเจนทางกฎหมายว่าการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้หน้าที่และอำนาจและอยู่ภายใต้กฎหมาย วัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง และรอบคอบ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีข้อกังวลว่า การที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. ถึงประมาณ 800,000 ล้านบาท

>> 3. ผู้พัฒนาระบบสำหรับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

นับว่ามีความซับซ้อนและต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก จึงต้องเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ มีความเสถียร และมีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอ เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ธปท. จึงห่วงใยในการพัฒนาและดำเนินการระบบ จึงควรใช้ระบบพร้อมเพย์ และ Thai QR Payment เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบ และใช้ประโยชน์สูงสุด จากโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีอยู่

ด้วยเงื่อนไขของการใช้สิทธิที่มีความซับซ้อนในหลายมิติ รวมทั้งเป็นระบบเปิด (Open-loop) ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการหลากหลาย ควรกำหนดโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมของระบบที่ชัดเจน ตลอดจนวางแผนการพัฒนาและทดสอบที่รัดกุมครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ รองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก ไม่ให้ติดขัด หรือเกิดการใช้จ่ายที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการ

>> 4. การบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต

หน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำหนดกลไกลดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต ในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่ปัญหาพึงคาดหมายได้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น แนวทางการตรวจสอบรายได้และทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนด การป้องกันการลงทะเบียนเป็นร้านค้าปลอม การกำหนดประเภทและขนาดของร้านค้าเพื่อรองรับเงื่อนไขการใช้จ่ายประเภทสินค้าต้องห้าม

ธปท. มีความเห็นว่า การพิจารณากรอบหลักการและ รายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการมีรายละเอียดซับซ้อน ใช้งบประมาณจำนวนมาก กระทบต่อภาระการคลังในระยะยาว มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ จึงต้องรัดกุมอย่างเต็มที่ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนและนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดทำแนวทางหรือมาตรการแก้ไขประเด็นปัญหาหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมด้วย

‘สินค้าแพง - เศรษฐกิจไม่ขยับ’ ภาระหนักอึ้ง ‘ครม. เศรษฐา 2’

เรื่องวุ่น ๆ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังเคลียร์ไม่จบ ปัญหาเศรษฐกิจ ยังถาโถมมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องราคาสินค้า อุปโภคบริโภค ที่แทบจะปรับตัวยกแผง

ราคาผักสด ปรับราคาสูงขึ้นหลังสงกรานต์ รายงานข่าวจาก สวท.สงขลา แจ้งว่า ที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา ผักหลายชนิดปรับราคา เช่น ถั่วฝักยาว จากกิโลกรัมละ 50 บาท เป็น 100 บาท ผักกาดหอม จากกิโลกรัมละ 60 บาท เป็น 100 บาท ผักชี จากกิโลกรัมละ 200 บาท เป็น 250 บาท ต้นหอม จากกิโลกรัมละ 90 บาท เป็น 120 บาท ผักบุ้งจีน จากกิโลกรัมละ 30 บาท เป็น 50 บาท มะนาว จากกิโลกรัมละ 120 บาท เป็น 150 บาท มะระ จากกิโลกรัมละ 40 บาท เป็น 60 บาท และ แตงกวา จากกิโลกรัมละ 25 บาท เป็น 40 บาท

เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ประกาศปรับราคาไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร ขึ้นราคาอีกแผงละ 6 บาท หรือฟองละ 20 สตางค์ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป ส่งให้ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ฟองละ 3.60 บาท  

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัมละ 4 บาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งที่ 3 ในเดือนเมษายน จากก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งละ 4 บาท ในวันที่ 17 มีนาคม 2567 และวันที่ 8 เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้นเป็นการปรับขึ้น 12 บาทต่อกิโลกรัม 

ซึ่งก่อนหน้านี้ ช่วงต้นปี ราคาขายปลีกเนื้อไก่ ก็มีการปรับขึ้นราคา ขาไก่ตัดเล็บ จากราคา กิโลกรัมละ 80 บาท ขึ้นมาเป็น กิโลกรัม ละ 110 บาท ปีกเต็ม จากราคากิโลกรัมละ 90 บาท ขึ้นเป็น กิโลกรัมละ 100 บาท ปีกปลาย จากราคา กิโลกรัมละ 90 บาท ขึ้นเป็น กิโลกรัมละ 125 บาท

กระทรวงพาณิชย์ ผู้มีหน้าที่หลักในการดูแล และควบคุมสินค้า ได้กำหนดนโยบายสำคัญ ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เน้นการรดน้ำที่ราก ดูแลคนตัวเล็ก’ ยังไม่ค่อยมีข่าวคราวในโครงการช่วยเหลือคนตัวเล็กมาก เท่าใดนัก นอกจากข่าวการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีอย่างต่อเนื่อง

ในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา ของยุครัฐบาลก่อนหน้า  เรามักได้เห็น ได้ยิน ข้อความตามสื่อต่าง ๆ ว่า คนไทยจะอดตายกันหมดแล้ว” หรือ “ราคาสินค้าแพง รายได้น้อย ต้องการให้มีรัฐบาลใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย” 

ปัจจุบัน ในขณะที่ราคาสินค้าปรับขึ้นราคาสูงกว่าที่ผ่านมา เสียงก่นด่าเหล่านี้ กลับไม่ดังเหมือนแต่ก่อน 

พร้อมทั้งข่าว การแจ้งยุติกิจการ ของ วอยซ์ ทีวี (Voice TV) เลิกจ้างพนักงานกว่า 100 ชีวิต ที่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจ ในปี 2567 โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการปรับ ครม.เศรษฐา 2 จะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้หรือไม่...รอติดตามกันต่อไป 

เรื่อง: The PALM

ยลโฉมหน้า 6 รัฐมนตรี ภายใต้ ‘เศรษฐา 2’ จับตา!! ‘พิชัย’ ปลดล็อกดิจิทัลวอลเล็ตฉลุย

อีกไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่เพลารายชื่อการปรับคณะรัฐมนตรีหรือครม.ที่เป็นทางการก็จะออกมา...ใครนั่งตำแหน่งไหน…ใครสลับกับใคร แต่จะว่าไปก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้ว...

‘เศรษฐา 2’ รอบนี้ หลุด 4 เข้า 6 รวมจำนวนรัฐมนตรี (รวมนายกฯ) เต็มแม็กตามรธน.ที่มีได้ไม่เกิน 36 คน

สำหรับหลุดจากตำแหน่ง 4 คน..ล้วนแต่น่าเห็นใจ

-นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ดีทียังมีตำแหน่งสส.ไปโชว์ฟอร์มในสภาฯได้ หากอีก 2 เดือนพรรคก้าวไกลโดนยุบ ‘หมออ๋อง’ ประดิพัทธิ์ สันติภาดา ที่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลต้องหมดสภาพสส.ไปด้วย ตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ว่าง ก็อาจเป็นช่องทางที่เพื่อไทยจะเยียวยาคุณหมอ...ช่วงนี้ก็กลืนเลือดกันไปก่อน…

-ดร.พวงเพ็ชร์ ชุณละเอียด ‘มาดามแจ๋น’ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทางพรรคก็คงมีตำแหน่งแห่งที่ให้ขับเคลื่อนงาน…

-ไชยา พรหมมา รมช.เกษตรฯ สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ก็เป็นคนมีแสงในตัวเองอยู่แล้ว ไม่น่าห่วง…

-อนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ สส.ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นนักการเมืองมีสปิริต พรรครทสช. ก็คงมอบหมายบทบาทที่สำคัญในพรรค

ส่วนรมต.หน้าใหม่ 6 ท่าน ก็ต้องแสดงความยินดีมา ณ โอกาสนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาว ขอให้เปล่งศักยภาพโชว์ฝีไม้ลายมือกันให้เต็มที่

-พิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษานายกฯ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์และ ฯลฯ ลาออกทุกตำแหน่งมาเป็นรองนายกฯ และรมว.คลัง แม้จะมีภาพลักษณ์ยี่ห้อ ‘ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์’ ติดตัวอยู่ แต่มีความเป็นมืออาชีพ และน่าจะมาช่วยถอดสลักระเบิด ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ให้มันเดินหน้าไปได้แบบถูกต้องชัดเจนขึ้น

-ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรมว.คลัง รอบนี้ทั้งคนชื่อ ‘ภูมิธรรม’ และ ‘หมอมิ้งค์’ ช่วยดันจนเลื่อนชั้นเป็น รมช.คลัง ระวังอย่าไปเหยียบเปลือกกล้วยก็ละกัน…

-จิราพร สินธุไพร ‘สส.น้ำ’ แห่งร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อายุ 36 ขวบ ผ่านเกณฑ์รมต. (อย่างน้อย 35 ปี) เฉียดฉิว ถ้าได้กำกับหน่วยงาน กรมกองที่ถูกที่ถูกทางก็น่าจะไปได้สวย

-พิชิต ชื่นบาน เจ้าของฉายา ‘ทนายถุงขนม’ จะเป็นมือกฎหมายในตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ ก็น่าจะทำให้งานด้านกฎหมายรัฐบาลลื่นไหลมากขึ้น

-อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.เบนซ์ จากฉะเชิงเทรา อดีตเลขาธิการวิปสมัยรัฐบาลลุงตู่พลังประชารัฐ   เบียดอนันต์ ผลอำนวย จากกลุ่มกำแพงเพชร ด้วยแรงดันพิเศษของ ‘ผู้กอง’ ธรรมนัส พรหมเผ่า…เข้าป้าย รมช.เกษตรฯ ตามโควตาของพรรคที่ว่างอยู่

-สุชาติ ชมกลิ่น สส.บัญชีรายชื่อ พรรครทสช. อดีตรมว.แรงงาน รอบนี้ยอมลดชั้นเป็นรมช.(พาณิชย์)...กระทรวงนี้น่าจะตรงสเปก บวกกับเป็นคนบริหารจัดการเก่ง คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญสร้างผลงานให้พรรค ให้รัฐบาลได้ในเร็ววัน…

พูดไปทำไมมี…ปรับครม.รอบนี้ คนนอกทำเนียบที่ทำหน้าที่ ‘เคาะ’ สุดท้ายจริง ๆ น่าจะเป็น ‘นายใหญ่’ และ ‘เจ๊ใหญ่ เมืองเหนือ’ ก่อนจะถึงมือนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

เคาะไปเคาะมานายกฯ เศรษฐายอมหดเก้าอี้ เหลือตำแหน่งเดียว หะแรกจะไปควบ รมว.กลาโหม ทำเอาคนชื่อสุทิน คลังแสง ‘ว้าวุ่น’ จนออกอาการถอดใจไปวูบใหญ่ ๆ แต่ ‘นายใหญ่‘ บวกลบคูณหารแล้ว เห็นว่ากึ๋นและวิธีคิดของสุทินเข้าท่าหลายเรื่อง…ก็เลยจัดให้เป็นการสร้าง ’หลักนิยมใหม่‘ คิดใหม่ ทำใหม่ แบบเพื่อไทยซะเลย…คือจากนี้ พลเรือนที่มานั่งเก้าอี้รมว.กลาโหม ไม่จำเป็นต้องเป็นพลเรือนที่มีตำแหน่งเป็นนายกฯ เท่านั้น…ลูกชาวบ้านแต่มีกึ๋น มีความเหมาะสม มีวุฒิภาวะก็เป็นได้…

ต้องยินดีกับ ฯพณฯ คลังแสง มา ณ โอกาสนี้ ...แต่ยังไง ๆ ก็อย่าไปรื้อพ.ร.บ.จัดระเบียบกลาโหม 2551 ให้มันเลอะเทอะเชียวนา...เดี๋ยววุ่น...สิบอกให้!!

ความบอบช้ำ 'ซ้ำซ้อน' ของประเทศชาติ 'ที่ดินรัชดา-จำนำข้าว' สู่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ตามประวัติศาสตร์โลก นักการเมืองชาติใดก็ตามที่มีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง ญาติพี่น้อง และพวกพ้อง ทำให้ประชาชนตาดำ ๆ ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ 

นักการเมืองคนนั้น ๆ ก็จะถูกกำจัดให้ออกจากประเทศโดยน้ำมือของประชาชนที่เคยเลือกเข้ามาเอง เพราะหากปล่อยคนเลว ๆ ไว้แล้ว ประเทศชาติจะเสียหายหนักกว่าการเสียฟอร์มชนิดเทียบกันไม่ติด 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมประเทศอื่น ที่นักการเมืองเป็นใหญ่ขึ้นมาได้เพราะประชาชน หากแค่ทำเลวกับประชาชนหนัก ๆ เพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถจะฟื้นตื่นกลับมาได้รับโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง 

ทว่า...ผิดกับคนไทย ที่เจ็บกี่ครั้งก็ไม่คิดจะจดจำ 

โจรปล้นชาติในคราบนักการเมือง ทำผิดร้ายแรงในคดีทุจริตจนถึงขนาดต้อง 'หนีคดี' ออกนอกประเทศ นอกจากไม่กล้ายอมรับในความผิด ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศไทยเรื่อยมา ด้วยการเดินสายป่าวประกาศในสังคมโลกว่าถูกกระบวนการยุติธรรมไทยกลั่นแกล้ง 

หนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไม่กล้ากลับเข้ามายังผืนแผ่นดินไทยเพื่อมารับโทษ จนกระทั่งเหล่า 'คนเบาปัญญา' หน้าเดิม ๆ กาเลือกพรรคการเมืองภายใต้ 'อุ้งตีน' ของ 'นักการเมืองเร่ร่อน' จนสามารถกลับมามีอำนาจในการต่อรองที่สูง 

ที่สุดก็ได้เป็นรัฐบาล!!

แล้วจึงถึงเวลาที่ 'นักโทษหนีคดี' บินกลับมาเพื่อ 'พูดยอมรับความผิด' แต่ไม่ต้องอยู่ในกรงขังตามแผนเลว ๆ ที่ 'เหล่าสมุนชั่ว' ช่วยกันจนสำเร็จ 

ก่อนหนีคดีไปต่างประเทศ เคยเอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไว้อย่างไร กลับมาก็ยังเป็นคนชั่วคนเดิมที่เอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไม่เปลี่ยนแปลง

นักการเมืองคนโต ณ ประเทศไทยที่อดีตเป็น 'นักโทษหนีคดี' กลับถึงไทยก็แปลงร่างเป็น 'นักโทษเทวดา' ห้อมล้อมดูแลไปด้วย 'คนหัวใจสวะ' รุมช่วยไม่ให้ต้องนอนคุกเลยสักวันเดียว 

พฤติกรรมอหังการเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจในสังคมไทยมักจะยอมศิโรราบต่อ 'เงินของมหาโจร' โดยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ที่ 'ประเทศไทย' เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ตราบที่เรายังมีเหล่าประชาชนผู้ 'เบาปัญญา' หลับหูหลับตาสนับสนุนดังเดิม

จับกระแส!! เดินเครื่องเศรษฐกิจไทย มองยังไงก็ไม่เห็นความชัดเจน หลังผู้ประกอบการแห่ 'ปิดกิจการ-เลิกจ้าง' โครงการใหญ่ก็ค้างเงียบ

ปรากฏการณ์การปรับ ครม. ของรัฐบาล นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เพื่อเดินเครื่องเศรษฐกิจประเทศไทย แต่งตั้ง ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ นำโดย รองนายกฯ นายพิชัย ชุณหวชิร ควบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยเพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล จาก เลขานุการ รมว.คลัง ขยับมาเป็น รมช.คลัง ทำให้กระทรวงการคลัง มีรัฐมนตรี 4 คน เต็มอัตราศึก พร้อมรบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ  
แต่จากนั้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากแบ่งงานภายในกระทรวง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง สะท้อนความไม่พอใจต่อ รมว.คลังใหม่ป้ายแดง ส่งผลกระทบต่อรัฐบาล หลังจาก นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งยื่นใบลาออกเพียงสัปดาห์เดียว สะท้อนถึงการจัดวางทีมรัฐมนตรีของ นายกฯ เศรษฐา ที่เริ่มเห็นความขัดแย้ง รอยร้าว ของรัฐบาล เพิ่มมากขึ้น

เศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลหวังจะกระตุ้น จาก โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) ก็ยังไม่อาจคาดหวังได้เต็มร้อย ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็แทบจะปรับตัวยกแผง ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้น กองทุนน้ำมันเริ่มแบกไม่ไหว 

การประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ พร้อมข่าวการทยอยปิดกิจการของผู้ประกอบการ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม...

- 27 พฤศจิกายน 2566 บริษัท คิตากาว่า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศปิดกิจการแบบถาวร
- 30 พฤศจิกายน 2566 บริษัท ทีเอ็มที โมลด์ เทคโนโลยี จำกัด ประกาศปิดกิจการ

- 28 ธันวาคม 2566 บริษัท โรงงานผลิตเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด ประกาศเลิกจ้างพนักงาน
- 27 เมษายน 2567 วอยซ์ ทีวี (Voice TV) ประกาศยุติการออกอากาศ ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป 

- 29 เมษายน 2567 บริษัทขายรถมือสอง สัญชาติอินเดีย CARs24 ประกาศปิดกิจการ 
- 30 เมษายน 2567 'อร่อยดี' แบรนด์ร้านอาหารไทยจานด่วน ในเครือ CRG โพสต์แจ้งปิดทุกสาขา 

- และ 1 พฤษภาคม 2567 ต้อนรับวันแรงงาน บริษัท วี.เอ็ม.ซี. เซฟตี้กลาส (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานย่านเทพารักษ์ ก็ปิดกิจการจากการขาดสภาพคล่อง

หากดูข้อมูลจาก กรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า ไตรมาสแรกปี 2567 มีโรงงานปิดกิจการพุ่งสูงถึง 367 แห่ง ส่งผลให้สูญเสียเงินลงทุนรวมกว่า 9,417.27 ล้านบาท และพนักงานถูกเลิกจ้างมากถึง 10,066 คน ...!!!

ข่าวคราวการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติ เข้ามาลงทุนในประเทศ ก็เริ่มมีสัญญาณไม่ดี โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์ อภิมหาโปรเจ็กต์ 1 ล้านล้านบาท เส้นทางชุมพร-ระนอง ข่าวคราวของโครงการเงียบหายไปพักใหญ่แล้ว ... ความเคลื่อนไหวล่าสุดของโครงการนี้คือ การจัดโรดโชว์ ที่ประเทศจีน Thailand Landbridge Roadshow เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่งโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นับจากโรดโชว์ครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว จนถึงครั้งล่าสุดโครงการแลนด์บริดจ์ ‘มีแต่ผู้สนใจ’ แต่ยังไม่มีข่าวเลยว่า จะมีใครแสดงความต้องการที่จะ ‘เข้ามาลงทุน’ อย่างจริงจัง แม้แต่รายเดียว 

นายกฯ เดินสายบินพบผู้นำต่างประเทศ ทำสถิติ ใน 6 เดือน กว่า 16 ประเทศ และเตรียมเดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศส และอิตาลี ในช่วงระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2567 นี้ จากนั้นในวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2567 นายกฯ และคณะ จะเดินทางไปญี่ปุ่น ภาพการเจรจาการค้าของนายกฯ ที่ได้ฉายาจากสื่อ ว่า ‘เซลล์แมน’ ผลงานการดึงดูดนักลงทุน ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร

ลุ้นกันต่อ ... ลุ้นว่า ประชาชน จะช่วยกันประครองสภาพการเงินของตนเอง ให้ผ่านพ้นปีนี้ไปให้ได้ ลุ้นว่า ผู้ประกอบการ SME รายเล็ก ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้ยังคงมีเม็ดเงินจ้างแรงงาน ต่อไปได้ ... ลุ้นจริง ๆ   


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top