Saturday, 18 May 2024
ชูวิทย์กมลวิศิษฎ์

‘ชูวิทย์’ แซะแรง!! คนดูดบ้องกัญชาหลอน กลางถนนข้าวสาร เหน็บ!! เปลี่ยนชื่อ ‘ถนนกัญชา’ แทน ถาม!! “มาถึงจุดนี้เพราะใคร”

(22 เม.ย.66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...

ดูดบ้องกัญชาหลอนกลางถนนข้าวสาร

เข้าไส้สายเขียว กัญชาเสรีกลางถนนข้าวสาร โชว์ให้ฝรั่งมั่งค่าเห็นกันไปทั่วว่า

“ไทยแลนด์เป็นแดนกัญชาเสรี”

ถือบ้องกัญชาดูดสด เต้นท่าเพี้ยน เพราะกัญชากินสมอง

‘ชูวิทย์’ แฉหมดเปลือก เปิดตัวเลข ‘ซื้อเสียง’ สะท้านทุกภูมิภาค เผย ใช้ อสม.เป็น ‘ตัวกลาง’ ชี้!! รอบนี้หนักสุดในประวัติศาสตร์

(24 เม.ย. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘เลือกตั้งประเทศไทย 2566’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

“การเลือกตั้งครั้งนี้ มีการจ่ายเงินซื้อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์”

โดยใช้ อสม. (อาสาสมัครหมู่บ้าน) เป็น ‘ตัวกลาง’ ในการประสานงานกับชาวบ้าน ทั้งจดชื่อ แนะนำ แจ้งวิธีการจ่าย จำนวนเงิน ชวนให้ไปฟังปราศรัย พบปะผู้สมัคร ไปจนถึงการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง

สรุปการจ่ายได้ดังนี้

1.) มัดจำด้วยวิธีการทยอยจ่าย เช่น 300 - 500 บาทต่อคน และอีกส่วนก่อนวันเลือกตั้ง

2.) จ่ายเพื่อให้มาร่วมฟังนโยบายแบบวงย่อย ได้คนละ 100 - 300 บาท

3.) จ่ายเพื่อให้ไปฟังปราศรัยใหญ่ 300 - 500 บาท เป็นการเกณฑ์คนมาฟังเพื่อแสดงให้ดูกำลังของพรรค และ ส.ส.

4.) การเช็คจำนวนคนที่ลงคะแนน เนื่องจากในแต่ละหน่วยเลือกตั้งมีจำนวนคนไม่มาก เงินที่จ่ายให้ชาวบ้านจึงเบี้ยวยาก

5.) การให้ไม่ได้หมายความว่าจะได้แน่นอน เพราะคู่แข่งขันอาจให้มากกว่า เช่น ตั้งเป้าให้ 1,000 ต่อหัว แต่ไปเจอคู่แข่งให้ 1,500 หรือเกทับกลับไป 2,000 ก็มี

ชาวบ้านจึงรับเงินฟรีแต่ไม่กา ไปกาให้อีกฝั่ง อย่างนี้ไม่ผิด ไปว่าชาวบ้านไม่ได้

ราคาดังกล่าวเป็นราคาในภาคอีสาน เหนือ ส่วนภาคกลางที่มีการต่อสู้หนัก ราคาไหลไปสูงกว่านั้น ไฮไลต์อยู่ที่ภาคใต้ ราคาเฉลี่ย 2,000 ต่อหัวอย่างต่ำ โดยที่จ่ายสูงสุด คือ จังหวัดภูเก็ตราคาอยู่ที่ หัวละ 3,000 บาท ในขณะนี้

ชาวบ้านมองการเลือกตั้งคือการเทศกาลจ่าย เงินสะพัด เป็นการคืนกำไรที่โกงกลับมาให้ หรือเป็นการจ่ายเพื่อลงทุนในการเป็น ส.ส.การเมืองไทยจึงเปรียบเสมือนธุรกิจ ที่ต้องใช้เงินจ่ายค่า ‘สัมปทาน’ ในการผ่านเข้าไปสู่ระบบ ส.ส.ตามขั้นตอน

หากพรรคกลายเป็นตัวแปรหลังคะแนนออก การจับคู่เจรจาตำแหน่งเจ้ากระทรวงจะมีกำลังเพิ่มเป็นโบนัสชิ้นใหญ่ พรรคการเมืองกลับคำได้หมด ไม่สนที่ปราศรัยไว้ตอนหาเสียง เพราะต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ ต่อรองเอากระทรวงที่มีโครงการมาก มีงบมาก เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ส่วนพรรคเล็กได้ ส.ส.ไม่มาก ได้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุดมศึกษาฯ

โดยเฉลี่ย มี ส.ส. ในมือ 7 คนได้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับพรรค และการต่อรองเป็นหลัก

อย่างพรรคภูมิใจไทยที่ได้ทั้งกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคมในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อปี 2552 เพราะเนวินยอมหัก ‘นายเก่าทักษิณ’ ให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ กระทรวงทำเงินจึงตกอยู่กับพรรคภูมิใจไทยหมด

จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังอ่อนประสบการณ์เจรจาจัดตั้งรัฐบาล ห่วงแต่จะเป็นนายกฯ และเน้นเอาเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเศรษฐกิจ จึงเสียกระทรวงคมนาคมไปให้พรรคภูมิใจไทย กระทรวงสาธารณสุขก็จะเอา เพราะต้องผลักดันนโยบายกัญชาเสรี

‘กกต.’ ลั่น!! ไม่เชิญ ‘ชูวิทย์’ ให้ข้อมูล อสม.เก็บบัตร ปชช. ชี้!! เป็นการสร้างคอนเทนต์ เร่งติดต่อคนปล่อยคลิปให้ข้อมูล

กกต.จับตาโค้งสุดท้ายหาเสียงเลือกตั้งเดือด ลั่นไม่เชิญ ‘ชูวิทย์ ให้ข้อมูล อสม.เก็บบัตร ปชช. ชี้เป็นการทำคอนเทนต์ เร่งติดต่อคนปล่อยคลิปให้ข้อมูลเพิ่ม

(24 เม.ย.66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงการตรวจสอบจับตาโค้งสุดท้ายหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีความเข้มข้นมากในขณะนี้ ว่า พูดเป็นภาพรวมเราบริหารสถานการณ์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยความร่วมมือของหน่วยงานราชการ ฝ่ายความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปกครอง ภาคประชาชนที่เข้ามาร่วมกันสอดส่องดูแล แจ้งเหตุทุจริตเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ก็มีศูนย์ข่าวกรอง

ทั้งนี้ เมื่อประชาชนแจ้งข้อมูลก็จะเชิญมาให้ข้อมูลด้วย เช่น หากใครบอกว่ามีการซื้อเสียงกกต.ก็จะเชิญมา เพื่อรวมมือกันทำให้การทำให้การเลือกตั้งมีความสุจริต เมื่อพูดแล้วต้องมีข้อมูล ไม่พูดแล้วผ่าน กกต.จะไม่ยอมให้ผ่าน แต่จะเชิญมาให้ข้อมูลว่าที่พูดมานั้น มีข้อเท็จจริงอย่างไร เพื่อจะได้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่เสาะได้มา ซึ่งจะทำไปจนถึงวันเลือกตั้ง

นายแสวง กล่าวว่า ส่วนเรื่องเฟคนิวส์ และสื่อโซเชียลมีเดีย ก็จะดำเนินการอีกลักษณะหนึ่ง โดยร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ทั้งกูเกิล ติ๊กต๊อก เฟซบุ๊ก และไลน์ โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ การตรวจข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการร้องเรียนการเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม

เมื่อถามว่า กกต.จะเชิญ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกมาเปิดเผยว่าอาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) เดินเก็บบัตรหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการสอบถามไปยังผู้รับผิดชอบแล้ว เห็นว่ายังไม่ถึงกับต้องเชิญนายชูวิทย์มาให้ข้อมูล เพราะเป็นการสร้างคอนเทนต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามผู้ที่เอาคลิปมาลงในติ๊กต๊อกเพื่อมาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ยังติดตามไม่ได้และก็ออกจากพื้นที่ไปแล้ว


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/726411

‘ชูวิทย์’ แนะ ‘ก้าวไกล’ ต้องรู้จัก ‘ประนีประนอม’ หากดึงดัน ‘แก้ ม.112’ จะถูกผลักกลับไปเป็นฝ่ายค้าน

(10 ก.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘ทางเลือกของก้าวไกล’ ระบุว่า ก้าวไกลได้รับเสียงจากประชาชนกว่า 14 ล้านเสียง แต่ยังต้องลุ้นเสียง ส.ว. อีกว่าจะโหวตผ่านให้พิธาเป็นนายกฯ หรือแม้แต่จะให้ก้าวไกลอยู่ในสูตรจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า ‘มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.’ ก้าวไกลต้องเลือก หากต้องการเป็นรัฐบาลต้องเลิกแตะ ม.112 แต่การถอย คือการฆ่าตัวตายทางการเมือง เพราะมีจุดยืนหาเสียงไว้ชัดเจน ก้าวไกลยืนกรานไม่ถอย และเดินสายขอบคุณประชาชนถี่ยิบเพื่อให้เห็นว่า ‘เข้าตามตรอก ออกตามประตู’ เดินตามกติกาประชาธิปไตย สร้างความหวังให้คนเห็น แต่อำนาจในการบริหารประเทศไม่มีใครยกให้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่พูด ‘มีลุง ไม่มีเรา’

ก้าวไกลต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อจะได้โอกาสบริหารประเทศต่อไป หากยุ่งเกี่ยวกับ ม.112 ได้ไปเป็นฝ่ายค้านแน่ แต่การผลักให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน เป็นแค่การเลื่อนเวลา และกลับจะทำให้ก้าวไกลเข้มแข็งขึ้น หากก้าวไกลได้บริหารประเทศ จะได้เห็นข้อผิดพลาดมากกว่าจากมือใหม่ ที่ต้องไปเจอระบบราชการที่เขี้ยวลาก อย่าคิดว่าจะจัดการได้ทุกเรื่องในเวลาที่จำกัด และเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย

ก้าวไกลจะถูกโดดเดี่ยว แม้ว่าได้คะแนนเสียงมาก แต่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องต่อสู้กับระบบเก่า การเมืองคือการประนีประนอม หากไม่ประนีประนอม ก็หมายถึงสงคราม ก้าวไกลต้องเรียนรู้เพื่อก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ก้าวไปเป็นเงื่อนไขให้ถูกผลักกลับไปแบบเดิมอีก

ทุกวันนี้ประชาชนมองก้าวไกลเสมือนหนุ่มสาวที่มีไฟอุดมการณ์คุกรุ่น ในประเทศที่การเมืองอยู่ในมือของคนรุ่นเก่า เลือกมาผิดหรือถูก อนาคตตัดสินได้ เป็นบทพิสูจน์ว่าความหวังฝากไว้ที่คนรุ่นใหม่ได้หรือไม่ ไม่มีประเทศไหนฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นเก่า มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

‘บก.ผู้จัดการ’ สวนกลับ ‘ชูวิทย์’ ไม่มีสิทธิ์เรียกคนอื่น “ลูกกระจ๊อก”

จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แฉ!! ‘เพื่อชาติ ครั้งสำคัญ’ โดยมีเป้าหมายโจมตี นายเศรษฐา ทวีสิน และบริษัทแสนสิริ พร้อมกับฉวยโอกาสแคนนอน แซะ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.66 นั้น…

มีช่วงหนึ่งระหว่างการเตรียม ‘พร็อบ’ ประกอบฉาก แล้วเรียกหา ‘นักข่าวผู้จัดการ’ เป็นระยะ เมื่อนักข่าวผู้จัดการแสดงตน ก็กล่าววาจาดูแคลนว่าเป็นแค่ “ไอ้ลูกกะจ๊อก” พร้อมถามหา ‘สนธิ’ ทำไมไม่มาเอง ส่งลูกกระจ๊อก มาทำไม รวมถึงไล่คุกคามนักข่าวท่านดังกล่าวออกจากเวที ว่า “ไสหัวไป”

ส่วนนักข่าวท่านดังกล่าวก็ได้มีการโต้ตอบ พร้อมมาอธิบายยืนยันการมาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่จะซักถามหาความจริง จนเกิดการปะทะคารมกลางเวทีแฉอย่างที่เป็นคลิปในคอมเมนต์

เปิดนิติกรรมอำพรางแท้ ๆ ตระกูลกมลวิศิษฎ์

(16 ส.ค.66) จากเพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ได้เผยว่า คุณชูวิทย์กล่าวหาว่าบริษัท แสนสิริ ทำนิติกรรมอำพราง ผมจะเอาตัวนิติกรรมอำพรางตัวจริงเอามาให้ท่านผู้ชมและคุณชูวิทย์ดู

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ของนายชูวิทย์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก สุขุมวิท 24 มีเนื้อที่ทั้งหมด 557 ตารางวา หรือไร่กว่า ๆ เดิมทีที่ดินนี้มีโฉนดแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกคือ 278.5 แปลงที่สองก็เท่ากัน

อีก 20 ปีต่อมา วันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนขายที่ดิน 4 แปลงนี้ ให้กับลูก 4 คนของนายชูวิทย์ ในราคาแปลงละ 27.86 ล้านบาท ถ้าเฉลี่ยเป็นตารางวา ตารางวาละ 200,000 บาท รวม 4 โฉนด เนื้อที่รวม 557 ตารางวา คิดเป็นเงิน 111.4 ล้านบาท

ในวันเดียวกัน 27 กันยายนได้โอนที่ ขายที่ให้ลูกในราคา 27 ล้านกว่าบาทเศษ ๆ ลูกทั้งสี่คนของคุณชูวิทย์ก็โอนขายที่ดิน 4 แปลง ต่อไปให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดวิส 24 ในราคาแปลงละ 502 ล้านบาท หรือตารางวาละ 3.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ขายทั้งสิ้น 2,008 ล้านบาท

รัฐควรต้องมีรายได้จากภาษีขายที่ดินบริษัทของตระกูลกมลวิศิษฎ์ นำโดยนายชูวิทย์ และครอบครัว รวมแล้ว 924 ล้านบาท

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมบริษัท สมบัติเติมตระกูล จึงซอยที่ดินแยกเป็น 4 โฉนด อำพรางขายให้ลูก ๆ 4 คน ในราคาถูก ๆ เจตนาเพื่อทำให้ฐานภาษีต่ำ จะได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างมากคำนวณแล้วขายไป 111.4 ล้านบาท ภาษีแค่ 11 ล้านบาทเอง

ทำไมต้องขายแบบนี้? เพราะว่าถ้าสมบัติเติมตระกูล ขายโดยตรงมาให้บริษัทนี้ ขายตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนผ่องให้ลูกก่อน 4 คน จะต้องเสียภาษีนิติบุคคล 359,550,927 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าสรรพากรก็จะต้องเชื่อว่าเป็นนิติกรรมอำพราง 

บริษัท สมบัติเติมตระกูล ของคุณและลูก ๆ คุณนั้นจะต้องเสียภาษีที่แท้จริงตามที่ผมชี้แจงให้ดู อันนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมของนายทุนที่เล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณไปด่าคุณเศรษฐาเขา ฉันใดฉันนั้น

กระบวนการทำนิติกรรมอำพราง ทำให้รัฐต้องสูญเสียภาษีไปเก้าร้อยกว่าล้านบาท นี่เป็นการโกงแผ่นดินไทยนะครับ คุณชูวิทย์ คุณต้องรู้นะว่าแผ่นดินไทยนั้นศักดิ์สิทธิ์

‘ชูวิทย์’ รอด!! กกต.ยกคำร้อง ปมรณรงค์ ‘ไม่เลือกพรรคกัญชา’  ชี้!! เป็นการวิจารณ์นโยบาย - แจกของไม่ได้เจาะจงผู้มีสิทธิ

(7 ธ.ค.66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งยกคำร้องในคดีที่พรรคภูมิใจไทย ร้องว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจะเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด จากกรณีเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 แล้ววันที่ 21 มี.ค.66 ที่ซอยละลายทรัพย์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และมีการแถลงข่าว พร้อมแจกเสื้อ เข็มกลัด สติ๊กเกอร์ ‘ไม่เลือกพรรคบ้ากัญชา’ ‘ยกเลิกกัญชาเสรี’ แก่ประชาชน

โดย กกต.เห็นว่า การที่นายชูวิทย์จัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ประกอบกับจากการตรวจสอบวิดีโอคลิป เอกสารการถอดข้อความการแถลงข่าวประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่นายชูวิทย์ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ได้แจกเสื้อยืดคอกลม เข็มกลัด และสติ๊กเกอร์ ให้กับบุคคลที่เข้าร่วมกิจกรรมโดยพูดจูงใจให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดแต่อย่างใด

โดยนายชูวิทย์แจกสิ่งของดังกล่าวให้กับประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องแจกสิ่งของให้กับเฉพาะประชาชนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น การกระทำดังกล่าวของนายชูวิทย์จึงไม่เข้าข่าย หรือมีลักษณะเป็นการจัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ประกอบกับไม่ปรากฏว่า นายชูวิทย์เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองใด รวมทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่น ที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชูวิทย์กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1)

ลูกสาวชูวิทย์ ลงสตอรี่ไอจี สยบทุกข่าวลือ ย้ำ!! คุณพ่อยังไม่เสียชีวิต โชว์ภาพชูวิทย์ ยิ้มสดใส ให้กล้อง

(30 มี.ค.67) จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้เดินทางไปรักษาตัวจากโรคมะเร็งในต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

ล่าสุด ต๊ะ ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ลูกสาวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ได้โพสต์ภาพคู่กับคุณพ่อชูวิทย์ ลงในสตอรี่ไอจี บัญชี trakarntakamolvisit โดยภาพดังกล่าวคาดว่าถูกถ่ายที่ต่างประเทศ โดย นายชูวิทย์ มีใบหน้าสดใสยิ้มแย้มให้กล้อง

โดย ต๊ะ ตระการตา ระบุข้อความไว้ในภาพว่า “มีข่าวลือว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ขอย้ำนะคะ พ่อต๊ะยังไม่ตายนะคะ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top