Monday, 20 May 2024
คนไทย

ชัชชัย เช หรือ 'โค้ชเช' หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย

ชัชชัย เช หรือ 'โค้ชเช' หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ได้เผยความรู้สึกถึงคนไทยและประเทศไทยผ่านรายการ TruePlookpanya Channel ว่าคนไทยนั้นโชคดีมาก ไม่เหมือนประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดของตน โดยระบุว่า…

“ที่เกาหลีช่วงฤดูหนาว ถ้าไม่มีบ้าน ไม่มีเสื้อกันหนาว ไม่มีของกินร้อนๆ ก็ตายแน่ครับ แต่ที่ไทยใส่รองเท้าเตะ กางเกงขาสั้น เสื้อเชิ้ต แค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว เวลาไปเจอแม่น้ำก็สามารถจับปลาได้ มีป่า มีผลไม้เยอะแยะ ส่วนใหญ่คนเกาหลีต้องสู้ชีวิต ต้องอดทน ทำอะไรก็ต้องเอาจริงเอาจัง ผมคิดว่าคนไทยโชคดีมากครับ”

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://vt.tiktok.com/ZSL44Uc7T/ 

กาลเทศะ ‘ชาวเน็ต’ สวดยับ!! สาวเต้นเซิ้งบนรถไฟญี่ปุ่น เสียมารยาท พอโดนสอนกลับด่าสาระแน แถมเหยียดเคยไปญี่ปุ่นรึยัง

ดรามา!! แก๊งคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น เซิ้งบนรถไฟถ่าย TikTok เอาคอนเทนต์ จนคนมองเพียบ ทั้งที่เป็นมารยาทที่ญี่ปุ่นห้ามคุยกันบนรถไฟ พอคนไปเตือนกลับโดนด่าสาระแน บอกคนญี่ปุ่นเขาโอเพ่น

การเดินทางบนรถสาธารณะต้องคำนึงถึงคนอื่นเป็นสำคัญ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ทานอาหาร ไม่ยืนขวางประตู และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ต้องพึงนึกถึงเอาไว้ และยิ่งไปในต่างแดนแล้ว ยิ่งต้องศึกษาและระมัดระวังเรื่องมารยาทมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งความอับอายให้กับเพื่อนร่วมชาติได้

ล่าสุด ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปของสาวไทยคนหนึ่ง ที่ขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่เธอกลับไม่รักษามารยาท ส่งเสียงดังและเต้นเซิ้งเพื่อถ่ายคอนเทนต์ TIkTok จนคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติที่อยู่ด้านหลังต่างมองกันเป็นตาเดียว แต่เธอก็ไม่ได้แคร์และยังคงถ่ายคลิปต่อ อีกทั้งยังพบว่าเธอไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ บนรถไฟในญี่ปุ่นนั้น จะมีการติดป้ายและขอความร่วมมือผู้ที่ใช้รถไฟให้ปิดเสียงโทรศัพท์ งดการพูดคุยหรือส่งเสียงดังที่ก่อให้เกิดการสร้างความรำคาญต่อผู้โดยสารคนอื่น หากใครที่ต้องการรับสายหรือพูดคุยเรื่องงานหรือในเรื่องที่จำเป็น ก็จะเดินไปคุยตรงรอยต่อของขบวน และพูดคุยด้วยเสียงเบาเพื่อรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด

หลังจากที่คลิปนี้เผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์และสอนมารยาทสาวคนนี้อย่างมาก และเธอก็โต้กลับอย่างเผ็ดร้อน เช่น เมื่อมีคนบอกว่า ไม่อายเหรอ เธอกลับตอบว่า “คนญี่ปุ่นเขาเปิดรับกับเรื่องแบบนี้ พี่เคยไปญี่ปุ่นยังคะ โลกไปถึงไหนแล้ว” หรืออีกคนที่บอกว่า ไปโชว์บ้านนอกให้ต่างชาติดู เธอก็ตอบกลับว่า “แต่ยังดีมีเงินไปเที่ยวให้ต่างชาติดู แล้วคุณล่ะไปบ้างยัง หรืออยู่แค่…”

อีกคนที่มาบอกว่า คนไทยควรปลูกฝังมารยาทในที่สาธารณะมากกว่านี้ คนไทยบางคนเรียนรู้แล้ว แต่บางคนยัง เธอก็ตอบว่า “มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลอ่ะเนอะ จะเต้น จะรำ มันก็ตัวฉันเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย หรืออยากทำบ้าง? ลองลงรูปตัวเองดู อยากเห็นหน้าคนเมนต์คนนี้จัง” และอีกคนที่บอกว่า “ไม่เกรงใจคนอื่นเวลาถ่ายติดหน้าเขาเหรอ” เธอก็ตอบว่า “ถ้าติดหน้าคุณก็ไปแจ้ง พรบ. คอมพิวเตอร์เอานะ สาระแน” และ สายตาของคนเสื้อดำคือคำตอบ มารยาทสอนไม่ได้เนอะ เธอก็ตอบว่า “สอนตัวเองก็พอเนอะ ไม่ต้องสาระแนสอนคนอื่น อุอิ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าคลิปนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพื่อน ๆ ก็ยังทำเหมือนกัน โดยมีอีกคลิปที่ทั้งแก๊งนี้ตั้งกล้องถ่ายในพื้นที่สาธารณะที่มีคนเดินพลุกพล่าน และมีคนมองเข้ากล้องกันเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สนใจ และยังอ้างว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นมิตร ไปไหนก็มีแต่คนทักขอถ่ายรูป ที่ตรงนั้นก็ที่สาธารณะด้วย

ด้านคนไทยหลายคนที่เห็นต่างไม่พอใจอย่างหนัก เข้าไปรุมต่อว่าถึงความไม่มารยาท และยืนยันว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ห้ามทำที่ญี่ปุ่น แต่ที่ไหนก็ไม่ควรทำแม้กระทั่งประเทศไทย ไม่ใช่ทุกคนจะสนุกกับการใช้พื้นที่สาธารณะถ่ายทำคอนเทนต์ บางคนก็บอกว่า การที่คนญี่ปุ่นมองแต่ไม่พูด ไม่ได้หมายความเขาโอเค จะทำอะไรนอกจากจะให้เกียรติคนอื่นแล้ว ก็ควรให้เกียรติตัวเองด้วยเช่นกัน

สุดเศร้า ‘เจ้าของร้านอาหารไทย’ ในเบอร์ลิน ถูกฆาตกรรม คนไทยในเยอรมนี ร่วมอาลัย ตร.เร่งสืบสวนหาความจริง

(19 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ ‘พ่อบ้านเยอรมัน’ ได้เปิดเผยว่า พบศพคาดว่าเป็นหญิงไทย บริเวณใจกลาง Schöneberg ประเทศเยอรมนี ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนอย่างเร่งด่วน

ทั้งยังเปิดเผยเพิ่มเติม โดยอ้างอิงเว็บไซต์ berlin.de ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นประมาณเวลา 00.50 น. ที่บริเวณ Fuggerstr. ซึ่งหลายสำนักข่าวหลายสำนักรวมไปถึงคนไทยหลายท่านที่ Berlin ระบุว่าเป็นหญิงไทย แต่พ่อบ้านขอรอจากทางตำรวจแถลงอีกครั้งเพื่อความชัวร์ที่สุด

ในเบื้องต้นไม่ได้เป็นการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติหรืออาการเจ็บป่วย แต่พ่อบ้านขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเสียชีวิต เพราะเคารพถึงใจของญาติผู้เสียหาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตคือเจ้าของร้าน ‘Thai-Art’ ที่เบอร์ลิน โดยยังจับคนร้ายไม่ได้ ซึ่งร้านดังกล่าว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมาก

พร้อมกันนี้ยังได้แนบข่าวจากเว็บไซต์ bz-berlin ที่ระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 61 ปี ได้รับบาดเจ็บที่คอ

ทั้งนี้ สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น จะบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม ที่วัดพุทธวิหาร กรุงเบอร์ลิน

โลกออนไลน์ ยังได้ร่วมกันแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ‘คุณกุ้ง’ เจ้าของร้าน Thai-Art จำนวนมาก

‘หนุ่ม’ เล่าอดีต เคยเจอ ‘หญิงไทย’ สติหลุด-วีนแตกใส่แอร์ฯ หลังไม่พอใจที่ตนปฏิเสธแกล้งเป็นแฟนให้ผ่าน ตม.

(26 ส.ค.66) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความหลังเห็นประเด็นดรามา แก๊งคนไทยวีนแตกใส่แอร์โฮสเตส บนเครื่องบินลำหนึ่ง เหตุปฏิเสธไม่ยอมช่วยยกกระเป๋าให้ พร้อมแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ตนเคยพบเจอคล้ายๆ กัน โดยระบุว่า…

“เห็นข่าวคนไทยโวยจนถูกไล่ลงจากเครื่อง

ย้อนคิดถึงราว 30 ปีก่อน ตอนนั้นยังหนุ่มๆ อยู่ที่อเมริกา บินไปๆ กลับๆ ไทยบ่อยๆ ส่วนใหญ่เลือกเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น (เพราะเจตนาจะแวะเที่ยวญี่ปุ่นเป็นของแถม)

ต้องเล่าก่อนว่า ยุคนั้นคนไทยต้องทำวีซ่าญี่ปุ่น ซึ่งอนุมัติแสนยากเย็น แต่ผมไปญี่ปุ่นบ่อยๆ โดยไม่เคยทำวีซ่า เพราะญี่ปุ่นอนุโลมให้คนไทยที่มีวีซ่าระยะยาวของสหรัฐอเมริกา สามารถเข้าญี่ปุ่นได้ 7 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า

เข้าเรื่องซะที…มีครั้งนึงที่บินจากไทย (และจะแวะญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าอเมริกาตามเคย) ผมได้นั่งกับหญิงคนนึง คุยกันซักพักเธอก็ออกปากขอร้องว่า เดี๋ยวตอนผ่าน ตม. เธอขอเดินควงแขนผม แกล้งเป็นแฟนได้ไหม เพราะเธอกังวลมากๆ ว่า เธอจะไม่ผ่าน ตม. และถูกส่งกลับไทย แน่นอนผมปฏิเสธทันที บอกเธอไปตามจริงว่าผมไม่มีวีซ่าญี่ปุ่น จะเข้าโดยใช้วีซ่าอเมริกาแทน ดังนั้นผมจะเสี่ยงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเซฟตัวเองเหมือนกัน เธอเริ่มตีโพยตีพายว่าชีวิตลำบากงั้นงี้ ต้องจำนองที่นาจ่ายให้นายหน้า เพื่อจะมาเป็น Curry (เธอใช้คำนี้) ที่ญี่ปุ่น เพื่อหาเงินส่งน้องๆ และส่งพ่อแม่ทยอยใช้หนี้ ถ้าถูกส่งกลับคือล่มจมแน่ๆ แต่ผมก็ยืนยันว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เธอโวยเสียงดัง สติหลุด ยกกระเป๋าลงมาหยิบของ แต่เรียกให้แอร์ยกกลับขึ้นไปเก็บ แอร์ไม่ยอมยกให้ เธอก็ด่า ขว้างถ้วยน้ำใส่แอร์ด้วยและด่า Fuck หลายครั้ง ตอนนั้นผมรู้สึกอายแทนคนไทยทั้งชาติ เลยแกล้งหลับตลอด พอเครื่องลงจอด มีเสียงประกาศว่าให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ก่อน ซักพักก็มีตำรวจเข้ามาจับกุมเธอถึงที่นั่ง พอเธอถูกคุมตัวไป ผดส.ปรบมือกันใหญ่ แต่ผมสงสารเธอมาก ผมไม่ทราบว่าต่อจากนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ถ้าเธอถูกส่งกลับจริงทั้งครอบครัวต้องลำบากสาหัสแน่ๆ ใดๆก็ตาม การใช้อารมณ์มักไม่ใช่ทางออกเสมอ

9 เรื่องน่าเซ็งใน 'เยอรมนี' ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแบบนี้ จากประสบการณ์ 4 ปี ของคนไทยที่ไปอาศัยจริง

(26 ก.ย. 66) เจ้าของช่องยูทูบชื่อ ‘pattamai’ ได้โพสต์วิดีโอบอกเล่าประสบการณ์การใช้อยู่ที่เยอรมนีตลอด 4 ปี พร้อมระบุถึง ‘ข้อเสีย’ ที่ไม่ชอบในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้เน้นย้ำอย่างยิ่งว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอ ทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้…

ข้อ 1 ระบบการแพทย์ แม้ประเทศเยอรมนีจะโดดเด่นในเรื่องการแพทย์ หรือเทคโนโลยีด้านการแพทย์ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ ‘ระบบการแพทย์’ หรือ ‘สาธารณสุข’ ที่แม้ทุกคนจะมีประกันสุขภาพที่สามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้ฟรี แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักมาก ๆ คือ การนัดพบแพทย์ เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ของเยอรมนีมีจำนวนน้อย ทำให้การนัดพบแพทย์ใช้เวลารอนาน บางครั้งอาการป่วยเล็กน้อยก็กลายเป็นอาการรุนแรง ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทั้งคนเยอรมันและชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้

ข้อ 2 วันอาทิตย์ที่เงียบเหงาในประเทศเยอรมนี คนที่ประเทศนี้จะให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์มาก ๆ เพราะถือว่าเป็นหยุดและต้องใช้ชีวิตกับครอบครัว เป็นวันที่ทุกอย่างเงียบสงบจนดูเหงาหงอย และแน่นอนว่านี่คือปัญหา เพราะร้านค้า ห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุก ๆ ที่ปิดหมด ซึ่งเรื่องนี้ไม่สอดรับกับโลกยุคปี 2023 ที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหยุดวันอาทิตย์ หรือทำงานแค่จันทร์ถึงศุกร์ นี่จึงเป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน

ข้อ 3 กฎ ข้อห้าม ข้อบังคับถี่ยิบย่อยและละเอียดเกินไป ที่ประเทศเยอรมนีจะมีกฎแปลก ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า มีกฎข้อนี้ทำไม ยกตัวอย่างเช่น การปั่นจักรยาน เขาจะมีกฎเลยว่า สามารถปั่นจักรยานได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ตรงบริเวณไหนที่ต้องจูงจักรยาน เวลาไหนถึงจะขี่เล่นนี้ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การใช้ฟิตเนส ก็มีข้อบังคับเหมือนกัน เช่น หากจะว่ายน้ำก็จะมีกฎระบุว่าเวลากี่โมงถึงกี่โมงเป็นการว่ายน้ำออกกำลังกาย หรือช่วงไหนเป็นการว่ายน้ำชิว ๆ จะมีกฎแบบนี้เยอะมาก ซึ่งคนจำไม่ได้ แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะจริงจังมาก บางครั้งก็โดนปรับแบบงง ๆ 

ข้อ 4 สังคมเงินสด ที่เยอรมนียังนิยมใช้จ่ายเป็นเงินสด น้อยมาก ๆ ที่จะจ่ายด้วยบัตรหรือการสแกนจ่ายแบบที่ไทย ระบบ banking ที่นี่ช้ามาก ไม่ได้โอนปุ๊บเงินเข้าปั๊บ แต่ต้องรอ 1-2 วันกว่าเงินจะเข้า ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนที่ไม่มีเงินสด เพราะบางร้านไม่รับโอนจ่าย หรือบัตรเลย ซึ่งสังคมเงินสดนี้เกี่ยวโยงถึงการรักษาความเป็นส่วนตัวด้วย คนเยอรมันยังคงยึดถือเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า หากเราต้องการความสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านระบบที่รวดเร็ว เราพร้อมที่จะแลกข้อมูลทางการเงินของเราหรือไม่?

ข้อ 5 อินเทอร์เน็ตที่เยอรมนีช้ามาก เนื่องจากโครงข่ายที่นี่ยังเป็นเคเบิล ไม่ใช่ไฟเบอร์ออปติก จึงทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เร็วแรงเหมือนที่ไทยหรือประเทศโซนเอเชีย แม้จะใช้โทรศัพท์ที่รองรับ 5G แต่ก็ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตแบบรวดเร็วทันใจได้ ส่วนเรื่องไวไฟในที่สาธารณะก็น้อยและช้ามาก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับยุคดิจิทัลในตอนนี้เลย

ข้อ 6 อาหารในเยอรมนีไม่อร่อย เนื่องจากวัตถุดิบที่เอามาทำอาหารไม่หลากหลาย รสชาติของอาหารไม่หลากหลายเหมือนไทยที่จะมีครบทุกรสชาติ แต่เยอรมนีจะมีแค่เค็ม จืด วนไปมาอยู่แบบนี้ แต่สิ่งที่อร่อยคือขนมปัง

ข้อ 7 รถไฟที่เยอรมนีมาเลท ช้า จริงอยู่ที่รถไฟเยอรมนีเคยเป็นรถไฟที่มาตรงเวลา แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ตอนนี้รถไฟมาช้า หรือบางทีก็ไม่มาเลย ต้องรอนานมาก ๆ 30 นาทีขึ้นไปก็เคยมีมาแล้ว ดังนั้นใครคิดว่ารถไฟที่นี่ตรงเวลาคือคิดผิด

ข้อ 8 ระบบราชการเยอรมนีช้ามาก เนื่องจากเยอรมนีไม่ค่อยใช้ระบบดิจิทัล หรืออินเทอร์เน็ตในการทำงาน ทุกอย่างจะผ่านการพิมพ์ในกระดาษทั้งหมด ทำให้การติดต่อกับภาครัฐช้าและใช้เวลานานมาก เช่น หากจะต่อวีซ่า ต้องนัดล่วงหน้า 3-4 เดือน หรือบางครั้งอาจจะต้องรอไปอีกเป็น 5-6 เดือนเลย

ข้อ 9 คบคนเยอรมันเป็นเพื่อนยากมาก ชาวต่างชาติที่มาอยู่เยอรมนีและหวังว่าจะมีเพื่อนเป็นคนเยอรมัน ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากคนเยอรมันเขามีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือเขาจะคบหรือสนิทอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม ๆ เช่น เพื่อนที่เรียนมัธยมด้วยกัน คบกันนานมาก ๆ และไม่ค่อยเปิดรับเพื่อนใหม่ ๆ เข้ากลุ่ม ยิ่งเป็นชาวต่างชาติยิ่งยากเลย หลายคนที่มาอยู่ที่นี่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หาเพื่อนเยอรมนียากมาก เหมือนมีกำแพงคั่นตลอด ถึงแม้พวกเราจะคุย เล่น ปาร์ตี้กับเราปกติก็ตาม 

'คนไทยในเบลเยียม' แห่ให้กำลังใจ 'คุณหมอพรทิพย์' ฝาก!! ขอให้ไปเที่ยวเบลเยียม ยินดีต้อนรับเสมอ

(30 ก.ย.66) หลังจากกระแส ชาวเน็ตแชร์คลิป หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินทางไปท่องเที่ยวอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ถูกเจ้าของร้านอาหารชาวไทยในประเทศไอซ์แลนด์ ชี้นิ้วขับไล่ให้ออกจากร้าน โดยเจ้าของร้านให้เหตุผลว่า รับไม่ได้สิ่งที่ สว.พรทิพย์ ทำกับประเทศไทย เกลียดฝังใจมาก ทั้งที่เคยชื่นชอบ สว. คนนี้มากในอดีต แต่ตอนนี้รับไม่ได้ จึงต้องไล่ออกจากร้าน

ล่าสุด กลุ่มคนไทยในเบลเยียม ได้ร่วมกันโพสต์ข้อความให้กำลังใจ #หมอพรทิพย์ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

“คุณหมอคะ มาเบลเยียมได้ไหมคะ ร้านเล็กๆ ของหนู ยินดีต้อนรับคุณหมอด้วยใจค่ะ หนูเห็นคลิปแล้วแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ หนูเป็นอีกหนึ่งเสียงที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยใจจริง ถึงหนูจะมีไม่มาก แต่หนูจะต้อนรับคุณหมอด้วยใจทั้งหมดที่หนูมีเลยค่ะ”, “เป็นกำลังใจให้คุณหมอทำดีต่อไปค่ะ” เป็นต้น

ซึ่งคุณหมอพรทิพย์ ก็ได้เข้ามาตอบกลับคอมเมนต์เหล่านี้ว่า “ขอบคุณค่ะ ไม่รับมันมา ทุกสิ่งที่ทำก็กลับเข้าตัวค่ะ” 

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจคนไทย 44% ไม่อยากมีลูก เหตุไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่าย-กังวลต่อสภาพสังคมปัจจุบัน

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค.66) นิด้าโพล เผยเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไทยไม่อยากมีลูก 2 ประการ คือ 1.ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก และ 2.ความเป็นห่วงว่าลูกจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน โดยมีสัดส่วนเท่ากัน 38.32% สาเหตุรองลงมา 37.72% ไม่อยากมีภาระในการดูแลลูก ตามด้วย 33.23% ต้องการชีวิตที่เป็นอิสระ ขณะที่ 17.66% กลัวจะเลี้ยงลูกไม่ได้ดีเท่าที่ควร ส่วนอีก 13.77% อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า, 5.39% ตนเองหรือคู่ครองมีปัญหาเรื่องสุขภาพ, 2.10% กลัวจะเป็นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ที่ไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีตามไปด้วย และ 0.90% กลัวกรรมตามสนองเนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่

สำหรับผู้ที่ยังไม่มีลูก 53.89% ระบุว่าอยากมี รองลงมา 44.00% ระบุว่า ไม่อยากมี ที่เหลืออีก 2.11% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 50.53% ไม่มีความกังวลต่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ในอนาคตว่าจะมีน้อยมาก รองลงมา 23.13% ไม่ค่อยกังวล ที่เหลืออีก 17.79% ค่อนข้างกังวล และ 8.55% กังวลมาก

มาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก 65.19% โดยสนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก รองลงมา 63.66% ให้อุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี ตามด้วย 30.00% ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก, 29.47% เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก, 21.91% มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด, 19.92% อุดหนุนทางการเงินแม่-พ่อเลี้ยงเดี่ยว และ 17.18% พัฒนาและอุดหนุนการเงินให้ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก, 9.85% มีบริการศูนย์ผู้มีบุตรยากฟรี, 7.48% เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก, 5.50% เปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น, 4.89% มีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย, 2.75% รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ และ 0.76% ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สถานะการแต่งงานและการมีลูกของกลุ่มตัวอย่าง 29.39% เป็นโสดและไม่มีแฟน รองลงมา 26.57% แต่งงานจดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว ตามด้วย 20.92% เป็นโสดแต่มีแฟนแล้ว, 10.99% แต่งงานแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว, 4.58% แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วแต่ไม่มีลูก, 2.52% เป็นแม่-พ่อเลี้ยงเดี่ยว (หม้ายที่มีลูกแล้ว โสดและมีลูกแล้ว) , 1.98% แต่งงานแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ไม่มีลูก และมีคู่ครองอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน และมีลูกแล้ว ในสัดส่วนที่เท่ากัน และ 1.07% มีคู่ครองอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูก

ทั้งนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ‘มีลูกกันเถอะน่า’ ในช่วงวันที่ 26-28 ก.ย.ที่ผ่านมา จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุระหว่าง 18-40 ปี กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ จำนวน 1,310 ราย

ภรรยา ‘หนุ่มกาฬสินธุ์’ เล่านาทีจุกอก ก่อนสามีถูกสังหารที่อิสราเอล พร้อมวอนรัฐบาลไทยช่วยนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด

(9 ต.ค. 66) ความคืบหน้า กรณีกลุ่มฮามาส ในปาเลสไตน์ บุกจู่โจมประเทศอิสราเอล ทำให้แรงงานไทยส่วนใหญ่ไปทำงานสวนเกษตรในฉนวนกาซา อยู่ตอนใต้ของประเทศ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไร่เกษตรอยู่ติดกับชายแดนปาเลสไตน์

โดยมีรายงานผู้เสียชีวิต จากข้อมูลของสำนักงานจัดหางานนครพนม พบว่า มีแรงงานไทยชาวนครพนม ไปทำงานฟาร์มเกษตร สูญหายขาดการติดต่อจากญาติ จำนวน 3 ราย และในรายงานมีการยืนยันผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นายสมควร พันธ์สะอาด อายุ 39 ปี ชาว อ.เมืองกาฬสินธุ์ แต่มาเป็นเขยนครพนม ภรรยาชื่อ นางสาวรุ่งทิวา เรืองฤทธิ์ อายุ 31 ปี เป็นชาวบ้านดงยอ ต.นาถ่อน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ทั้งนี้ ทางญาติ ครอบครัวผู้เสียชีวิต อยู่ระหว่างติดต่อทางกรมการจัดหางาน เพื่อประสานขอความช่วยเหลือ เพื่อนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศล

ล่าสุด นางสาวรุ่งทิวา เรืองฤทธิ์ อายุ 31 ปี ออกมาเปิดเผยยืนยันว่า นายสมควร พันธ์สะอาด อายุ 39 ปี สามีเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังจากขาดการติดต่อทางแชทเฟซบุ๊ก ปกติจะพูดคุยไถ่ถามความเป็นอยู่ทุกวัน โดยสามีเพิ่งไปทำงานยังไม่ถึงปี จะครบปีเดือนตุลาคมนี้ เป็นงานฟาร์มเกษตร

ก่อนเกิดเหตุ ตนได้วิดีโอคอลคุยกับสามีในตอนเช้า โดยไม่ได้วางสายและสามียังได้เล่าให้ฟังว่า มีการสู้รบกันเกิดขึ้นแต่ตอนนั้นสามีก็ยังไม่มีท่าทีร้อนรนแต่อย่างใด ยังคงใช้ชีวิตปกติ และก่อนจะวางสายสามีบ่นว่าเหนื่อยอยากนอนพักผ่อน ตนเองจึงให้สามีไปนอนพักผ่อน แต่หลังจากที่วางสายจากสามีได้ไม่นาน เห็นข่าวด่วนในทีวีว่ามีการโจมตีในอิสราเอล จึงรีบส่งแชทไปบอกสามีให้ดูแลตนเองและอย่าออกไปไหน สักพักมีเพื่อนของสามีทักแชทเฟซบุ๊กมาหา แจ้งข่าวร้ายว่าสามีถูกกลุ่มติดอาวุธหนักบุกเข้ามายิง ขณะที่สามีกำลังหลบหนีออกทางหน้าต่าง แต่หนีไม่ทัน จึงถูกกลุ่มติดอาวุธจับตัวไป ก่อนจะรัวยิงจนเสียชีวิต ส่วนเพื่อนคนอื่นต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น

น.ส.รุ่งทิวา น้ำคลอเบ้าเล่าต่อว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุร้าย สามีมักบ่นว่าลำบากและเหนื่อย แต่เวลาวิดีโอคอลคุยกัน สามีจะไม่ค่อยให้เห็นสภาพความเป็นอยู่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นให้ฟังมากกว่าว่าเหนื่อย นอกจากนี้ สามีได้สัญญากับตนเองว่าจะไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล 5 ปี และจะพยายามเก็บเงินกลับมาอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดนครพนม โดยนำไปเป็นเงินทุนสร้างอาชีพค้าขาย แต่สุดท้ายก็มาถูกยิงตายอย่างอนาถ นอกจากนี้ นางสาวรุ่งทิวา ยังบอกอีกว่า ตนเองไม่รู้ว่าจะติดต่อขอรับศพสามีได้อย่างไร คงต้องรอทางการไทยเป็นผู้ประสานมา และจะนำศพของสามีกลับมาจัดพิธีตามประเพณีที่บ้านเกิดจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือ ที่จังหวัดนครพนม ต้องรอปรึกษาญาติอีกครั้งก่อน

‘นายกฯ’ ห่วงคนไทยในเขตสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สั่งเจ้าหน้าที่อพยพพลเมือง-ช่วยเหลือตัวประกันเร่งด่วน

(11 ต.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อดูแล ช่วยเหลือคนไทย โดยได้ชี้แจงถึงการทำงานรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการ เริ่มทำงานตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 

นายชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจง ว่า สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ดำเนินอยู่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ในการเตรียมแผนอพยพคนไทยมีความคืบหน้าเพิ่มเติม 2 ทาง

ทางแรก กลับมาโดยสายการบินพาณิชย์
ทางที่สอง กลับโดยเครื่องบินกองทัพอากาศไปรับ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชุด 
1. อพยพออกมาพรุ่งนี้ถึงไทยวันที่ 12 ต.ค. 66 ประมาณ 15 คน ชุดแรกนี้เป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและแรงงานที่อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัย 
2. อพยพประมาณ 140 คน ออกจากไทยในวันที่ 14 ต.ค. 66 เป็นการส่งเครื่องบินกองทัพอากาศ Airbus A340 ไปรับ และจะไปถึงกรุงเทลอาวีฟ นครหลวงของอิสราเอลในวันที่ 15 เพื่อเตรียมพร้อมรับคนไทยกลับบ้านทันทีที่ได้รับอนุญาตจากทางการอิสราเอล 
3. ส่งคนไทยจำนวน 80 คนกลับทางเครื่องบินพาณิชย์ โดยจะถึงกรุงเทพฯในวันที่ 18 ต.ค. 66

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามอพยพคนไทยกลับให้เร็วที่สุดโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ในส่วนของผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการพูดคุยกับบรรดามิตรประเทศต่าง ๆ ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และอยากขอให้ความมั่นใจว่า เราได้ทำทุกทาง และจะพยายามอย่างสูงสุดเพื่อช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงอิสรภาพของคนไทยที่ถูกจับตัวไปเป็นสำคัญที่สุด

โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเสริมข้าราชการไปสนับสนุนข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟในภารกิจช่วยเหลือพี่น้องชาวไทย

“ผมขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันเป็นกำลังใจให้ญาติ เพื่อน ของพี่น้องชาวไทยที่กำลังจะกลับมา และอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันปฏิบัติงาน อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือดูแล คนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว

‘กรมการขนส่งทางบก’ ชวน ‘คนไทย’ ลดพฤติกรรมเสี่ยง ดึง ‘แจ๊ส’ ชวน 2 ล้อปลอดภัย ใส่สวมหมวกกันน็อก

‘กรมการขนส่งทางบก’ จับมือขวัญใจวัยรุ่น ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ ส่งเพลง ‘กันก่อนน็อก’ เอาใจสาวกสองล้อ ชวนลดพฤติกรรมเสี่ยง สร้างค่านิยมใหม่ ขับขี่รถจักรยานยนต์ปลอดภัย สวมหมวกกันน็อก ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะและสมอง

(16 ต.ค.66) ณ อาคาร GPS กรมการขนส่งทางบก จัดงานแถลงข่าวโครงการ ‘รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุ’ เปิดตัวมิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ จับมือขวัญใจวัยรุ่นไทย ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ หรือ ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ เอาใจสาวกสองล้อทั้งประเทศ พร้อมร่วมกิจกรรม Dance Challenge ผ่านสื่อออนไลน์และแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัยด้วยการสวมหมวกนิรภัย ป้องกันและลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน สาเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท อยู่ในวัยคึกคะนอง ไม่เคารพกฎจราจร และไม่สวมหมวกนิรภัย กรมการขนส่งทางบกเล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ สร้างพฤติกรรมและค่านิยมความปลอดภัยใหม่ โดยให้การสวมหมวกนิรภัยเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยได้มีการผลิตและเผยแพร่มิวสิควิดิโอ เพลง ‘กันก่อนน็อก’ เพื่อรณรงค์ให้เกิดพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่ ซึ่งได้จับมือกับนักร้องและตลกชื่อดัง ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ หรือ ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ เป็นตัวแทนสื่อสารกับวัยรุ่น ในฐานะรุ่นพี่ที่ต้องการเตือนสติรุ่นน้อง ให้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำและไม่ควรทำ พร้อมเป็นผู้นำชวนวัยรุ่น ชาวติ๊กต๊อก และผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ร่วมเต้นร่วมร้อง ผ่านกิจกรรม Dance Challenge แจกหมวกนิภัย และเสื้อยืด ‘กันก่อนน็อก’ รุ่นลิมิตเต็ด ออกแบบโดย ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกคาดหวังว่าหลังจากเผยแพร่มิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ แล้ว จะทำให้เยาวชน วัยรุ่น และประชาชนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์บนถนน ตระหนักถึงประโยชน์และพลังของการใส่หมวกกันน็อก ทำให้การใส่หมวกกันน็อก เข้าไปอยู่ในใจ และชีวิตประจำวันของวัยรุ่นไทย เป้าหมายเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และลดการสูญเสียในกลุ่มเด็กเยาวชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมกันสร้างจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความปลอดภัยทางถนน โดยมุ่งเน้นไปที่การขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นเรื่องสำคัญที่กรมการขนส่งทางบกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการเดินทาง และต้องสร้างความเข้าใจควบคู่กันด้วยว่า ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นผู้ใช้รถที่มีเกราะกำบังน้อยกว่าผู้ใช้รถประเภทอื่นๆ จึงมีความเปราะบางต่อการบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตมากกว่า จึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่จะปกป้องตนเอง การสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย เน้นการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับ คนซ้อนทุกครั้ง จึงเป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งต้องมีการขับเคลื่อนให้เห็นความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วัยเด็ก ปลูกฝังให้เกิดความเคยชิน กระตุ้นให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะการเกิดอุบัติเหตุหนึ่งครั้งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งต่อผู้ขับขี่ ครอบครัว สังคม 

สำหรับเพลง ‘กันก่อนน็อก’ เป็นเพลงจังหวะสนุกสนาน ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิต วิถีสาวกสองล้อ ความมันส์ความสนุก เพื่อน ความรัก ความฝัน และปลุกใจให้ทุกคนกลับมาปกป้องชีวิตตัวเองด้วยการใส่หมวกกันน็อกก่อนขับขี่ ติดตามรับชมมิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ ได้จากทุกช่องทางออนไลน์ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” ของกรมการขนส่งทางบก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top