‘พิจิตรปลดแอก’ ถาม!! “พัฒนาบึงสีไฟ ใครได้ประโยชน์?” ชาวเน็ตสวนกลับ “ถามคำถามโง่ๆ ดีแต่แซะ ถ่วงความเจริญ”

เพจ ‘พิจิตรปลดแอก’ โดนทัวร์ลงเละคาบ้าน หลังโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...” เจอชาวเน็ตสวน “ประชาชน คนพิจิตร ได้ประโยชน์ จวกเป็นคำถามโง่ ๆ ไม่สร้างสรรค์ ถ่วงความเจริญ”

(10 เม.ย. 67) ถือเป็นอีกหนึ่งดรามาบนโลกโซเชียล เมื่อเพจ พิจิตรปลดแอก ได้ออกมาโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...”

งานนี้ปรากฏว่าโดนทัวร์เละคาบ้าน โดยชาวเน็ตที่เข้าไปคอมเม้นต์ หลายคนโต้ว่า การพัฒนาบึงสีไฟ ประชาชน และคนพิจิตร ได้ประโยชน์ ทำให้คุณภาพชีวิตคนแถวนั้นดีขึ้น มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเม็ดเงินเข้าจังหวัดพิจิตร

นอกจากนี้ชาวเน็ตหลายคนยังจวกเพจนี้ว่า นี่เป็นคำถามโง่ ๆ คำถามไม่สร้างสรรค์ ดีแต่แซะ และ ถ่วงความเจริญ

สำหรับ ‘บึงสีไฟ’ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน เดิมมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์

อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ

หลังจากนั้นในปี 2560 หน่วยราชการในพระองค์ได้น้อมนำพระบรมราโชบายในการปรับปรุงพัฒนาบึงสีไฟและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้กลับมาสมบูรณ์งดงามดังเดิม ดังนี้

-ด้านการบริหารจัดการดิน กรมเจ้าท่าดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟระหว่างปีงบประมาณ 2560 ถึงปีงบประมาณ 2563

-ด้านการบริหารจัดการน้ำ แต่เดิมบึงสีไฟรับน้ำจากน้ำฝนและการผันน้ำจากระบบชลประทาน เข้ามาเติมในช่วงหน้าแล้ง ในการพัฒนาพื้นที่บึงสีไฟ กรมชลประทานโดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ผันน้ำ ผ่านคลองชลประทานอาศัยน้ำจากทางเหนือที่ไหลมาจากเขื่อนนเรศวร

-ด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์ มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในสวน สมเด็จพระศรีนครินทร์พิจิตรและการปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบบึงสีไฟ รวมทั้งมีการสร้างทางจากดินที่ขุดลอก มาทำเป็นทางจักรยาน ทางเดิน และลู่วิ่ง โดยสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ การพัฒนาอุทยานบัวบึงสีไฟโดยขยายพันธุ์บัวหลากหลายสายพันธุ์ จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้และส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ

ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร)

วันนี้ ‘โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ’ หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ

สำหรับสิ่งน่าสนใจบริเวณบึงสีไฟนั้นก็มีหลากหลาย อาทิ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์, ประติมากรรมพญาชาละวันหรือรูปปั้นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ประติมากรรมจระเข้ยืน สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ หรือ ศาลาเก้าเหลี่ยม ศาลากลางน้ำ และบ่อจระเข้ เป็นต้น

นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า ‘สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข’ หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย