‘ปธ.วินัยก้าวไกล’ เปิดคำชี้แจง 2 สส.คุกคามทางเพศ  เผยกรณี ‘ปูอัด’ ไม่ยอมรับข้อหา แถมโต้ “คนอื่นก็ทำ”

กรณีพรรคก้าวไกล ได้มีการประชุมเครียดของคณะกรรมการบริหารพรรคและส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อหาข้อยุติกรณีเรื่อง ส.ส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ 2 กรณี คือ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล และนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล โดยมีผู้ร่วมประชุมจำนวน 128 คน โดยนายวุฒิพงศ์ มติเสียงส่วนใหญ่ 120 เสียง ให้ขับออกจากสมาชิกพรรค ส่วน นายไชยามพวาน เสียงส่วนใหญ่ 106 เสียง จาก 128 เสียงที่มาประชุม เห็นควรให้ขับออกจากพรรค แต่เสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ของ ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่มีอยู่ คือ 116 เสียง จึงยังไม่สามารถมีมติให้ขับพ้นออกจากสมาชิกพรรคได้

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 66 นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการวินัยฯ ได้เปิดเผยเรื่องดังกล่าวในรายการ ‘กรรมกรข่าวคุยนอกจอ’ ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่า... 

สำหรับนายวุฒิพงศ์ มติของที่ประชุมร่วมให้ขับออกจากสมาชิกพรรค ขั้นต่อไปพรรคจะแจ้งให้ทาง กกต.รับทราบ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายสรยุทธ ถามว่า ทั้งคู่เข้าประชุมหรือไม่? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ทั้งคู่แสดงความประสงค์เข้าประชุม แต่เนื่องจากเป็นการพิจารณาเกี่ยวข้อง และวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จึงไม่เปิดให้ทั้งคู่เข้าประชุม การลงคะแนนเมื่อวาน เป็นการลงคะแนนอย่างเปิดเผยยกมือ”

นายสรยุทธ ถามว่า มีการได้บันทึกไว้หรือไม่ ว่าใครเป็น 8 เสียง ที่เห็นว่ายังไม่ควรขับ นายวุฒิพงศ์ และอีก 22 เสียงที่ไม่ต้องขับ นายไชยามพวาน? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ที่จริงเราเห็นและรับทราบว่าเป็นท่านใด แต่มีการพูดกันออกไปว่าเป็น สส.ชายทั้งหมด หรือเป็น สส.หญิง ไม่ได้ตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีการลักษณะที่อุ้มกัน และก่อนการลงมติ ก็ได้ถามแล้วว่าจะลงมติแบบเปิดเผยหรือแบบลับ และผลออกมาเป็นการลงมติแบบเปิดเผย ซึ่งเราก็เคารพ และคงไม่มีการเปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้ว่าท่านใดลงมติแบบใด”

นายสรยุทธ ถามว่า ทาง สส.ฝั่งธนฯ มีความแตกต่างอย่างไร? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “มีความแตกต่างกันพอสมควร อย่างในกรณีของ สส.ปราจีนบุรี พยายานหลักฐานที่ได้มา โดยเฉพาะแชตไลน์ แต่สิ่งที่ขอขอบคุณคือ ความเด็ดเดี่ยวของผู้เสียหายที่ยอมส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้กับเรา ซึ่งเราพบว่ามีพยานหลักฐานชิ้นสำคัญอีกหลายชิ้นที่เป็นเอกสารที่บ่งชี้ว่า พฤติการณ์ของ สส.ปราจีนบุรี มีลักษณะร้ายแรงจริง และไม่ใช้ประเด็นของการคุกคามทางเพศ แต่เป็นการใช้สถานะที่ตนเอง เป็นว่าที่ผู้สมัคร ให้อำนาจเหนือต่อผู้เสียหายที่เป็นอาสาสมัครและทีมงานของพรรค...

“ส่วนกรณีของ สส.ฝั่งธนฯ ไม่ใช่ว่า ไม่มีพยานบุคคล หรือพยานเอกสาร เพียงแต่ว่าในข้อต่อสู้ของเขา เขามองว่าสิ่งที่เขากระทำนั้น เป็นสิ่งที่ปฏิบัติต่อคนอื่นโดยทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ถกเถียงกันมากว่า การที่คุณแตะเนื้อต้องตัว การที่คุณสัมผัส และการที่คุณพยายามเข้าหาอาสาสมัคร และเพื่อนร่วมงานแบบนี้เป็นการคุกคามหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามีรายละเอียดที่แตกต่างกันจริง ๆ...

“และเป็นเรื่องใหญ่ที่ในอนาคตเราต้องทำความเข้าใจว่า แบบใดที่เรียกว่าการคุกคามทางเพศ แบบใดเรียกว่าการละเมิด หรือว่าสัมพันธ์แบบไหนที่ไม่อนุญาตและเปิดช่องให้คุณกระทำการดังกล่าวได้ ซึ่งผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของมุ้ง ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะต้องลงมติแบบใด แต่เป็นเรื่องมุมมองต่อข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่อาจจะมีการตีความแตกต่างกัน”

นายสรยุทธ ถามว่า กรณี สส.ปราจีนบุรี สู้ว่าสมยอมถูกหรือไม่? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ความสัมพันธ์เป็นลักษณะของการรู้จัก และมีสัมพันธ์พิเศษระหว่างกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ในเชิงเพศอย่างเดียว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เขาต่อสู้ ในขณะที่กรณีของฝั่งธนฯ ก็คล้าย ๆ กัน แต่เขามองว่า เขาปฏิบัติแบบนี้เป็นปกติ”

นายสรยุทธ ถามว่า กรณี สส.ปราจีนบุรี พยายามใช้ตำแหน่ง อำนาจปกปิดความผิด? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “เป็นเรื่องของการตีความ แต่หลังจากที่มีการร้องเรียน สส.ก็มีการติดต่อพูดคุยกับคนหลายคนว่าข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ ทาง สส.มีการพูดคล้าย ๆ ว่า ทางพรรคจะออกมาปกป้องตัวเขา ซึ่งทางพรรคยืนยันข้อเท็จจริงว่าเราให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่มีทางที่พรรคจะส่งทนายความไปปกป้องตามที่เขากล่าวอ้างกับบุคคลอื่น

นายสรยุทธ ถามว่า สส.ฝั่งธนฯ โต้แย้งว่ากรณีนี้เป็นปกติ? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “เวลาลงพื้นที่มีประชาชนเข้ามาทักทาย ก็จะมีการโอบกอด แตะเนื้อต้องตัว มีประชาชนมาจูบ ซึ่งเรื่องต้องแยกกัน ต้องดูสถานะ ดูบริบท ดูกาลเวลา และความเหมาะสมด้วย”

นายสรยุทธ ถามว่า สส.ฝั่งธนฯ มีความผิดแตกต่างกับ สส.ปราจีนอย่างไร เพราะตอนนี้ความผิดดูไม่ชัด? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ไม่ใช่พฤติกรรมที่ปรากฎต่อสาธารณะ และเป็นลักษณะเข้าข่ายคุกคามทางเพศ ที่ผู้เสียหาย ที่เป็นทีมงานอึดอัดและรับไม่ได้กับการกระทำ”

นายสรยุทธ ถามว่า สส.ฝั่งธนฯ ไม่ได้ยอมรับผิด? นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างกระบวนการพูดคุยทำความเข้าใจ ในกรณีของ สส.ฝั่งธนฯ เขายอมรับข้อเท็จจริง แต่เขาไม่ยอมรับเรื่องของการตีความ ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นการคุกคามหรือไม่ หลายครั้งเขาบอกว่า คนอื่นก็ทำนะ แสดงว่าเพื่อนสมาชิกท่านอื่นก็โดนกันหมด ซึ่งเราก็ยืนยันว่าไม่ใช่ คนอื่นไม่ได้ทำแบบนี้ แล้วจะมาบอกไม่ได้รับการอบรมก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะว่าพรรคย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด...

“ทั้งนี้ ในอนาคต คิดว่าเราต้องเพิ่มกระบวนการจริง ๆ ในการทำความเข้าใจให้มันลึกซึ้งกว่านี้ว่า เรื่องของเพศ บางครั้งไม่ได้วัดจากเรา แต่บางครั้งต้องวัดจากตัวผู้เสียหายว่า เขาอึดอัด ไม่โอเค ไม่ยอมรับ ไม่ได้ยินยอม กับสิ่งที่เราใช้เงื่อนไขกระทำกับตัวเขา…

“โดยเขาพยายามสื่อสารว่า สิ่งที่ปรากฎต่อสาธารณะที่ถ่ายรูปโอบกอด การจับศีรษะด้วยความเอ็นดู เป็นสิ่งที่คนอื่นทำกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่กรณีของแฟนคลับหรือคนติดตาม แต่มีเงื่อนไขของผู้เสียหายที่มีสถานะไม่เท่าเทียมกันด้วย ซึ่งจะเรียกว่ายินยอมเต็มใจในทุกกรณีไม่ได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังมติพรรคเป็นไปในทิศทางดังกล่าว นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ สส.อีกหลายคนของพรรค ต่างโพสต์สถานะลงเฟซบุ๊กเป็นสีดำ กันโดยพร้อมเพรียง