‘สว.สมชาย’ มอง ‘ร่างนโยบาย รบ.เศรษฐา 1’ เลื่อนลอย-ไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดเรื่องความยั่งยืน-สังคมปรองดอง-ปราบคอร์รัปชัน

(6 ก.ย. 66) นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการแถลงนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 11 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“ผมเสียดายนิดเดียวว่า นโยบายฉบับนี้น่าจะใช้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่สําคัญ คือการเป็นรัฐบาลสลายขั้ว ที่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย มาเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรครัฐบาลเก่า เช่น ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะมีนโยบายที่เด่นชัดในเรื่องการปรองดอง สมานฉันท์ แต่กลับไม่ชัด ท่านนายกก็พูดถึงเรื่อง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อจากท่านพลเอกประยุทธ์ แต่ว่าในนโยบายยังไม่มีเลยว่าจะสานต่อนโยบายมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างไร”

นายสมชายกล่าวต่อว่า “ต่อมาคือเรื่องการปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนละ 5 ปี โดยหลักยุทธศาสตร์ชาติ ต้องวางกัน 20 ปี อย่างในเนเธอร์แลนด์วางยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับน้ำ 50-100 ปี แต่เราก็ไม่ได้เน้นในเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ แต่มองเพียงว่าในระยะ 4 ปีรัฐบาลจะทําอะไร มันก็เลยไปเกี่ยวพันกับเรื่องของเงิน สําหรับการทํางานเฉพาะหน้า”

นายสมชายระบุต่อว่า “ยกตัวอย่าง เช่น ในสมัยพลเอกประยุทธ์ ก็จะมีการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไว้ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และกำลังจะมีแลนด์บริจด์เกิดขึ้นที่ระนอง-ชุมพร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า หรือแม้แต่เรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผมคิดว่าหากต่อยอดก็จะทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนได้ตามยุทธศาสตร์ ในคำอธิบายของรัฐบาลไม่ชัดเจนตรงนี้ จึงทำให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา-กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะเป็นจุดอ่อน”

นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายจริงในปีต้นปี 2567 ว่า… “ในส่วนของเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผมก็มองว่า เราใช้เงิน 5.6 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณในการนำเงินลงทุนต่อปีเลย นโยบายนี้ถ้าทำสำเร็จ มันก็มีประโยชน์ เพียงแต่ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวไม่ได้ เป็นเหมือนการให้ยาสเตรียรอยด์ เพื่อรักษาโรค หากให้ในระยะยาว ก็จะเกิดอาการป่วย ต่อมาจะเป็นคำถามว่า เอาเม็ดเงินจากไหนมาทำนโยบายนี้ ใช่การไปดึงเงินคลัง หรือทุนสำรองมาทำหรือไม่? จะกลายเป็นประเด็นเหมือนช่วงจำนำข้าว ที่นำเงิน ธ.ก.ส. หรือออมสิน มาใช้ ก็ต้องดูให้ดี”

นายสมชาย กล่าวต่อว่า “อีกเรื่องที่น่ากังวลคือ การให้สิทธิ์แบบถ้วนหน้า คือให้คนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ผมมองว่ามันไม่ควรจะจ่ายให้ทุกคน เพราะมันไม่มีคําตอบว่าทําไมถึงจะต้องให้ 56 ล้านคน แต่หากมองในมุมร้ายก็มองว่าเป็นการนําไปสู่คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความต้องการใช้เงิน จุดประสงค์ของการเกิดนโยบายนี้คือกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ คนจนใช้เงินมากกว่าคนรวย เมื่อมีนโยบายนี้ก็จะนำเงินมาใช้ทั้งหมด แต่สำหรับคนมีเงินหรือคนรวย ก็จะมองว่าเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อย ก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินตรงนี้ได้ตามจุดประสงค์ ส่วนช่องทางในการจ่ายเงิน ผมมองว่าควรใช้ผ่านแอปเป๋าตัง ซึ่งเป็นแอปที่มีอยู่แล้ว มีทั้งข้อมูล รายละเอียดต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องทำแอปใหม่แต่อย่างใด”

เมื่อถามว่า นโยบายที่รัฐบาลแถลง ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียง ซึ่งพอได้เป็นรัฐบาลแล้ว หากไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ก็จะโดนประชาชนกดดันหรือเปล่า? นายสมชาย ระบุว่า “ตอนเพื่อไทยจับมือพรรคต่าง ๆ จัดตั้งรัฐบาล ผมก็ได้แสดงความยินดี แล้วก็เสนอไป 11 ประเด็นแล้วว่าต้องเอานโยบายมาหลอมรวมกัน พอถึงการหลอมรวม ก็ต้องอธิบายชาวบ้านได้ว่าเงินดิจิทัลหมื่นบาทของเพื่อไทย ขณะนี้ได้ประชุมกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เห็นว่าไม่สามารถแจกได้ทุกคนเห็นควรที่จะทําให้มันถูกต้อง แล้วก็ใช้บัตรพลังประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นตัวตั้ง แล้วก็แจกให้กับพี่น้องคนที่เขาลําบาก แล้วก็ไม่ต้องไปจํากัดเวลาด้วยว่าต้อง 6 เดือนเท่านั้น อีกอย่างการใช้เงินดิจิทัลนี้มีข้อครหาว่ากำลังมีคนรอช้อนซื้อ ซึ่งฟังดูไม่ดีเลย แล้วพวกเรื่อง Blockchain ก็ตรวจสอบได้ยาก หาที่มาที่ไปไม่ได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังเดินหน้านโยบาย ต้องแยกให้ชัดเจนนะว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องพุ่งเป้าไปที่ตัวคนที่ต้องถูกกระตุ้น”

เมื่อถามถึงภาพรวมในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถูกศิริกัญญา สส.จากพรรคก้าวไกลออกมาเปรียบเทียบว่าสู้รัฐบาลประยุทธ์หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ นายสมชาย กล่าวว่า… “ขอกล่าวถึงเฉพาะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์นะครับ เพราะรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณศิริกัญญา เนื่องจากตอนนั้นเรื่องจำนำข้าวมันชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในการแถลงนโยบาย 12 ข้อนั้นถือว่าค่อนข้างชัดเจนและก็เดินไปสู่เป้าหมายได้ แต่การมาเขียนนโยบาย 2-3 บรรทัด แล้วบอกว่าจะทำ ก็มองว่าไม่สามารถทำได้ อาจจะไม่ต้องเขียนลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร และมีความหนักแน่น เช่นนโยบายในอดีต เรียนฟรี 12 ปี”

“ส่วนในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่คุณเศรษฐาก็พูดไว้ดีนะครับว่าจะยึดหลักนิติธรรม แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร อย่างเช่น ในกรณีคุณทักษิณที่ได้รับอภัยโทษแล้ว หากไม่มีการขอลดโทษอีก ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการยึดหลักนิติธรรม ประชาชนก็จะมองว่าน่าเชื่อถือ ต่อมาคือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ต้องประกาศให้ชัดเจน และต้องไม่มีการทุจริตในทุก ๆ เรื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและสมัครสมานสามัคคีแก่คนในสังคม” นายสมชายกล่าวทิ้งท้าย