‘กรณ์’ ลั่น!! เกลียดการผูกขาดทุกรูปแบบ ขอโอกาสคนไทยเลือก ‘ชพก.’ ไปสู้กับ ‘ทุนผูกขาด’ ที่ครอบงำการเมือง ย้ำ!! สู้มาตลอดและจะสู้ต่อไป

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 66 ที่รอยัล พารากอนฮอล สำนักข่าว The Standard จัดเวทีดีเบต เลือกตั้ง 66 END GAME เกมที่แพ้ไม่ได้ มีตัวแทนจาก 10 พรรคการเมือง ร่วมประชันวิสัยทัศน์ โดยพรรคชาติพัฒนากล้า มีนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 14 เป็นผู้ร่วมเวทีดีเบตในครั้งนี้

นายกรณ์ กล่าวว่า ตนขอบอกกับพี่น้องประชาชนว่า ทำไมต้องเลือกพรรคชาติพัฒนากล้า ทำไมต้องเป็นกรณ์ จาติกวณิชหลายๆ ท่านอาจจะรู้จักตนในฐานะรัฐมนตรีคลัง ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แต่เชื่อว่า หลายคนไม่รู้ว่าตอนทำงานการเมืองตนรักอะไร และเกลียดอะไรมากที่สุด สิ่งที่รักมากที่สุดคือการสร้างโอกาสด้วยการแข่งขัน โดยมองว่าทุกคนเกิดมารวยได้ จนได้ แต่ทุกคนมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิตด้วยการแข่งขันที่เป็นธรรม 

“ส่วนสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการผูกขาดทุกรูปแบบ ผมไม่ได้มีปัญหากับทุนใหญ่ แต่ผมมีปัญหากับทุนผูกขาด ผมสู้เรื่องนี้มาตลอดชีวิตการทำงานของผม เมื่อสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมระงับความพยายามของ ปตท. ที่จะเข้าไปซื้อ โมเดิร์นเทรด เพราะผมกังวลว่าจะนำไปสู่การผูกขาด ผมเพิ่มใบอนุญาตธนาคารที่ต้องการจะเพิ่มการแข่งขัน ลดดอกเบี้ย จนผมพ้นตำแหน่ง ผมก็ยังสู้กับเรื่องนี้ต่อไป เมื่อผมตั้งพรรคการเมืองร่วมกับเพื่อนที่เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ และสู้กับเรื่องของต้นทุนพลังงานและค่าไฟมาโดยตลอด ฉะนั้นสิ่งที่ชาติพัฒนากล้าจะมาสู้วันนี้ คือสู้กับทุนผูกขาดที่ครอบงำการเมือง หลายคนอาจจะข้องใจว่าเราทำได้หรือไม่ แต่ถ้าเลือกชาติพัฒนากล้า เลือกผม เราจะสู้แทนคุณกับทุนผูกขาดเพื่อคุณ” นายกกรณ์กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคโอกาสนิยมที่เน้นเรื่องการสร้างโอกาสให้ทุกคนมีความก้าวหน้าในชีวิต ให้โอกาสทุกคนได้แข่งขันอย่างเป็นธรรม แต่ตระหนักเสมอว่าในโลกของการแข่งขันจะมีผู้ที่แข่งไม่ได้ ซึ่งผู้ที่แข่งไม่ได้ควรจะต้องมีสิทธิ์ได้รับการดูแลโดยภาครัฐ สำหรับการเปรียบเปรยกับระบบรัฐสวัสดิการของประเทศสแกนดิเนเวียนั้น ตนมองว่าอันนั้นคือการแจกรายได้ให้กับประชาชนทุกคนโดยไม่คำนึงถึงโอกาส ความร่ำรวยหรือความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งมันยังเป็นเพียงอุดมคติที่เรายังทำไม่ได้ เนื่องจากประเทศสแกนดิเนเวียมีภาษีประมาณ 55% ของ GDP ในขณะที่ไทยมีรายได้ของรัฐเทียบกับ GDP เพียงแค่ 16-17% ซึ่งหากเราอยากไปถึงจุดนั้นเราต้องเพิ่มภาษี ซึ่งเรายังไม่พร้อม

ส่วนนโยบายเรื่องการศึกษา หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งเราอดมีความรู้สึกไม่ได้ว่าการศึกษามีการพูดถึงกันน้อยมาก ข้อเท็จจริงทางการเมืองที่ทุกพรรครู้ดีคือ นโยบายการศึกษาไม่สามารถทำให้เราชนะการเลือกตั้งได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาในการแก้ไข ประเด็นการศึกษาของไทยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการสลับสับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อยที่สุด ย้อนหลังไปดูจะเห็นว่าการสับเปลี่ยนปีละ 1 ท่าน วันนี้ตนขออนุญาตบอกว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนปัญหา เรามักจะพูดถึงการศึกษาด้วยการโฟกัสไปที่เรื่องของการดรามา สงครามวัฒนธรรม แทนที่เราจะพูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา สาระสำคัญของระบบการศึกษา และยอมรับว่าการศึกษาของเรานั้นขาดการพัฒนา 

“ผมมักจะพูดถึงโอกาสและการสร้างโอกาสเสมอ ไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือเกิดมาจน ต้องมีโอกาสที่จะมีความก้าวหน้าทางการศึกษา วันนี้ข้อเท็จจริงก็คือ การศึกษาที่ดีต้องใช้เงินซื้อในประเทศไทย เรื่องของการเข้าถึงการศึกษาที่ดีควรจะเป็นประเด็นที่เราควรจะหยิบยกมาพูดมากที่สุด การปฏิรูปการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เราพูดกันมาเยอะแล้ว แต่มันไม่ไปไม่ถึงไหนสักที เรื่องภาษาไทยสำคัญแน่นอน แต่มันไม่พอ ยุคสมัยนี้ตนถึงบอกว่าต้องเรียนอย่างน้อย 3 ภาษา ภาษาที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นจีนหรืออังกฤษก็ได้ เพราะประเทศเราเป็นประเทศค้าขาย มีนักท่องเที่ยวภาษาที่ 3 หลีกเลี่ยงไม่ได้คือภาษาคอมพิวเตอร์ Coding ตนไม่อยากเห็นการทะเลาะกันในประเด็นเรื่องวัฒนธรรม แต่ควรทะเลาะเรื่องของสาระ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว