'เด็กลุงตู่' งง!! 'เศรษฐา' แจก 5 แสนล้านพร่ำเพรื่อ พอมีคนแนะ กลับไม่ฟัง แถมจะ 'ขู่ฟ้อง' ปิดปาก

จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาด้อยค่า นโยบายบัตรสวัสดิการพลัส หรือ 'บัตรลุงตู่' ที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนละ 1,000 บาท ว่า เป็นลักษณะของการหยอดน้ำข้าวต้ม และจะเติมปลาแห้งเข้าไปอีกนิด คงไม่มีอะไรไม่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น

ล่าสุด นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตเลือกตั้งที่ 32 บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี เบอร์ 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมากล่าวตอบโต้ว่า...

ไม่น่าเชื่อว่านักธุรกิจใหญ่อย่างนายเศรษฐา จะไม่เข้าใจเรื่องหลักการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องทำเท่าที่จำเป็นในสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจมันเดินไม่ได้อย่าง เช่นตอนโควิด19 อย่างนั้นจึงจะมีความจำเป็นต้องกระตุ้น

แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยเริ่มมีลักษณะของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็มีการปรับตัวดีขึ้นกำลังซื้อของคนมีมากขึ้น เงินเฟ้อลดลงการว่างงานลดลง นักท่องเที่ยวมากขึ้น...การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการ 'ใส่เงินจำนวนมากเข้าไปในระบบ' จึงไม่ใช่มาตรการที่จำเป็นในขณะนี้ และในอีกด้านอาจจะส่งผลต่อเรื่องของเงินเฟ้อที่จะพุ่งขึ้นสูง และราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นตามมา เพราะผู้ประกอบการรู้ว่าจะมีการใส่เงินลงไป ราคาสินค้าก็จะขึ้นไปรอก่อนแล้ว ซึ่งคุณเศรษฐาไม่เคยพูดถึงผลกระทบในมุมแบบนี้บ้างเลย

แม้แต่นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย กับโครงการนี้ โดยมองว่าเป็นนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงินอีก และบอกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกด้วย

และสิ่งสำคัญที่จะชี้ให้เห็นก็คือ โครงการบัตรสวัสดิการพลัส ที่นายเศรษฐา บอกว่าเป็นการหยอดน้ำข้าวต้มแล้วเติมปลาแห้งไปนั้น โครงการนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นการดูแล ประชาชน ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและมีรายได้น้อย มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ อย่างชัดเจนไม่ใช่เหวี่ยงแห แบบคนจนคนรวยได้หมด ซึ่งมองว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศไปใช้จ่ายโดยขาดความรอบคอบ ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับราคาที่จะต้องจ่ายไป

"อยากจะฝากบอกไปยังคุณเศรษฐาว่า ควรจะเอาเวลาไปอธิบายข้อสงสัย เพื่อความกังวล ของประชาชน นักวิชาการ และสื่อมวลชน ที่มีต่อการแจกเงิน 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยน่าจะดีกว่า

"รวมถึงควรจะเอาเวลาไปบอกกับแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาขู่ว่าจะฟ้องคนที่วิจารณ์โครงการแจกเงินหมื่น ให้คนเหล่านั้นได้เปลี่ยนความคิดใหม่ และเปิดใจให้กว้างในการรับฟัง ความคิดเห็นที่แตกต่างจากพี่น้องประชาชน นักวิชาการและสื่อมวลชน จะดีกว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยนั้นปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็นของผู้ที่คิดต่าง แล้วจะอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างไร" นายอิทธิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย