กรณีศึกษา นโยบายฟรีภาษีของ ‘ประเทศโมนาโก’ สู่ ‘นโยบายลดภาษีบุคคล’ ของชาติพัฒนากล้า

กระแสมาแรงไม่ตกหลังพรรคชาติพัฒนากล้าประกาศนโยบายใหม่ออกมา นั่นคือนโยบาย ‘ลดภาษีบุคคล เงินเดือนไม่ถึง 40,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี’ นโยบายนี้ก็เป็นที่พึงพอใจของเหล่ามนุษย์เงินเดือนมาก ๆ เพราะหากนโยบายนี้ทำได้จริง จะทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีที่หนักพอ ๆ กับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

วันนี้ทีมข่าว THE STATES TIMES จะไม่ได้เจาะลึกถึงนโยบายนี้ (ดูเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/watch/?v=1325406588033087) แต่จะพามาดูตัวอย่างประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีนโยบายคล้ายกับพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งได้ฉายาว่า ‘ประเทศที่คนรวยสุดอันดับ 1 ของโลก’ ซึ่งประเทศนี้ประชาชนไม่ต้องเสียภาษี!! 

ประเทศที่กล่าวถึงคือ ‘ประเทศโมนาโก’ เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมากที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้มีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศนี้มีค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ประชาชนที่นี่ 1 ใน 3 จะเป็นคนที่มีสินทรัพย์รวมกว่า 35 ล้านบาท เรียกได้ว่าหากมีแฟนเป็นคนประเทศนี้ ให้ทายไปเลยว่า 80% เราจะกลายเป็นคุณหญิงคุณนายไปเลย เพราะคนที่นี่มีแต่คนรวยทั้งนั้น

อาจมีคำถามว่าทำไมประเทศเล็ก ๆ นี้มีแต่คนรวยเดินชนกันเต็มไปหมด นั่นเป็นเพราะว่าประเทศนี้ ‘ไม่เก็บภาษีรายได้แม้แต่บาทเดียว’ ใครทำเงินได้มากมายมหาศาลแค่ไหนก็เก็บไว้กับตัวหมดเลย ไม่ต้องเอาเงินนั้นมาเสียภาษีให้รัฐ ด้วยนโยบายนี้ของประเทศโมนาโก ทำให้เหล่าคนดังจากทั่วโลกเช่น Ringo Starr มือกลองประจำวงสี่เต่าทอง หรือ The Beatles, Novak Djokovic นักเทนนิสระดับโลกชาวเซอร์เบีย, หรือ Sir Lewis Hamilton นักแข่งรถ Formula 1 ก็ย้านถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศนี้กันทั้งนั้น

หากเล่าไปถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายนี้ จุดเริ่มต้นมาจาก 160 ปีก่อน ในปี 1863 เจ้าหญิง Marie Caroline Gibert de Lametz แห่งโมนาโก ตัดสินใจสร้างกาสิโน ภายในประเทศขึ้น ชื่อว่า ‘Monte Carlo’ โดยมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูประเทศ ที่กำลังเผชิญกับการเสี่ยงล้มละลาย ซึ่งแนวคิดของเจ้าหญิง Caroline ถือว่ามาถูกทาง เพราะกาสิโนแห่งนี้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เดินทางเข้าออกประเทศเป็นจำนวนมาก และสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาล จนในปี 1869 โมนาโกมีรายได้จากกาสิโนมากจนเกินพอ จึงได้ตัดสินใจประกาศยกเลิกการจัดเก็บภาษีรายได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

แล้วรัฐจะเอาเงินจากไหนมาพัฒนาประเทศ? 

ประเทศโมนาโกมีรายได้มาจากธุรกิจที่รัฐผูกขาดสินค้าและบริการบางประเภท เช่น ธุรกิจกาสิโน, ยาสูบ และไปรษณีย์ อีกทั้ง โมนาโกยังมีศักยภาพด้านธุรกิจการเงิน, การธนาคาร และการโรงแรม รวมไปถึงรายได้จากการท่องเที่ยว และการจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ระดับโลก นี่จึงทำให้ประเทศโมนาโกไม่ต้องเอาเงินภษษีจากประชาชนมาใช้ก็อยู่ได้

ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวล เพราะประเทศโมนาโกเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยอันดับต้น ๆ ของโลก มีกล้องวงจรปิด CCTV ติดกันทุกซอกทุกมุม มีอัตราการก่ออาชญากรรมเกือบเป็นศูนย์ และเป็นประเทศที่ไม่มีหนี้เลยแม้แต่บาทเดียว ทำให้สภาพเศรษฐกิจมีความคล่องตัวสูงและมีความมั่นคงดีเยี่ยม เรียกได้ว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวโมนาโกนั้น ใกล้เคียงกับคำว่าอุดมคติที่คนทั้งโลกใฝ่ฝันเลยทีเดียว

ถึงแม้ประเทศโมนาโกประชาชนจะไม่ต้องเสียภาษีรายได้ แต่ก็ต้องแลกกับการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่สูงมาก ทำให้โมนาโกเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกเช่นกัน แต่รัฐบาลก็ได้นำเงินส่วนนี้มาพัฒนาเรื่องความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของผู้คนเป็นการแลกเปลี่ยน

นี่เป็นตัวอย่างจากประเทศที่ไม่มีการเก็บภาษีแม้แต่บาทเดียว เมื่อมองไปถึงนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า ก็มีความใกล้เคียงกับโมนาโก แต่แตกต่างตรงที่ผู้มีรายได้สูงกว่า 40,000 ก็ต้องเสียภาษี ทำให้ประเทศยังมีรายได้จากภาษีคนกลุ่มนี้มาพัฒนาประเทศอยู่ และมีสิ่งหนึ่งที่ต้องคิดในวันข้างหน้าว่า หากนโยบายนี้ทำได้จริง จะมีการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สูงไปด้วยหรือเปล่า และประชาชนจะยอมไหมกับการฟรีภาษี แต่จ่ายภาษีสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นเท่าตัว? 


ที่มา: missiontothemoon, longtungirl 

เรื่อง: วายุ เอี่ยมรัมย์ Content Editor