ปราบม็อบแบบอเมริกัน ยิงก่อนถามทีหลัง สลายม็อบไทยใช้เพียงแก๊สน้ำตา – รถฉีดน้ำ

ชอบอ้างอเมริกากันจริง ๆ โดยเฉพาะตอนไปม็อบ แล้วโดนตำรวจเมืองไทยฉีดน้ำใส่ ร้องโอดโอยชักดิ้นชักงอเหมือนโดนน้ำมนต์ แล้วอ้างว่า ประเทศที่เจริญแล้วมีการควบคุมม็อบได้อย่างมีอารยธรรมมากกว่านี้  

อยากจะบอกว่าตำรวจคุมม็อบของไทยน่ะ นิ่มนวลกว่าตำรวจฝั่งยุโรปและอเมริกาเยอะ บ้านเรายังมีการเตือน พูดเพราะ ๆ ฉีดน้ำก็ออกแนวเล่นสงกรานต์ พวกที่ชอบบอกว่าตำรวจอเมริกาหรือยุโรปมีการจัดการฝูงชนที่มาประท้วงได้ดีกว่าไทย ควรไปศึกษางานด้วยตัวเองจริงๆ อย่างเวลาปราบม็อบด้วยน้ำ น้ำที่พุ่งใส่ที่ทำให้คนกระเด็นหวือ ส่วนมากไม่มีการเตือนล่วงหน้าด้วย ยิ่งตำรวจอเมริกายิ่งโหด แก๊สน้ำตาไม่ผสมน้ำหรอก ยกกระป๋องแก๊สน้ำตาฉีดใส่เลย ตามด้วยฟาดไม่ยั้งด้วยตะบอง บางหนก็เอาเข่ากดคอจนตายเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ

ก่อนจะเปรียบเทียบ ควรรู้ข้อเท็จจริงว่าตำรวจอเมริกันนั้นอย่างโหด อย่าว่าแต่การประชุมระดับนานาชาติเลย เอาแค่การประชุมในชาตินี่แหละ แถมใช้นโยบาย ‘ยิงก่อนถามทีหลัง’ เสมอ

ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ชัด ๆ เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เองคือเมื่อปีกลาย อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีปลุกเร้าบรรดาผู้สนับสนุนใกล้ทำเนียบขาว พูดย้ำไปมาว่าตัวเองนั้นถูกโกงชัยชนะในการเลือกตั้ง พร้อมทั้งยุม็อบแห่ไปที่อาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นสถานที่สภาคองเกรสกำลังประชุมรับรองโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่

กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลายพันคนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ภายหลังฟังคำปลุกระดมของทรัมป์ เลยยกขบวนไปยังอาคารรัฐสภา บุกฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่จนเข้าไปภายในอาคาร ห้องทำงานและห้องประชุมสภาได้ ทั้งนี้เพราะต้องการขัดขวางการประชุมลงมติของสมาชิกรัฐสภา เพื่อรับรองผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งจากมลรัฐต่าง ๆ ว่าโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต คือผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง 306 ต่อ 232 คะแนน

ผู้สนับสนุนทรัมป์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ บางคนทำลายข้าวของ ทุบกระจกแตก และมีภาพที่ผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งซึ่งสวมกางเกงยีนส์และหมวกเบสบอลนั่งเก้าอี้ของนางแนนซี เพโลซี ประธานรัฐสภาพรรคเดโมแครต ยกขาข้างหนึ่งพาดโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีกระดาษข่มขู่วางทิ้งไว้ ขณะที่ผู้ก่อจลาจลคนอื่น ๆ ปีนอัฒจันทร์ที่จัดไว้เพื่อรองรับพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของไบเดน พร้อมกับป้ายข้อความว่า ‘พวกเราประชาชนจะทำให้ ดี.ซี.คุกเข่า’ และ ‘เรามีอำนาจ’

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาไม่ทักไม่ถาม แต่ชักปืนเล็งใส่ม็อบแบบไม่ลังเล ขณะที่ม็อบทุบกระจกหน้าต่างแตก จากนั้นก็ยิงสวนทันที ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย หนึ่งในนั้นคือแอชลี แบ็บบิต วัย 35 ปี อดีตทหารผ่านศึกหญิงในกองทัพอากาศซึ่งเป็นกองเชียร์ทรัมป์ ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตทันที ขณะพยายามปีนช่องหน้าต่างใกล้กับห้องประชุมสภา 

กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิวอชิงตัน ดี.ซี. 1,100 นาย ถูกเรียกเข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง ระดมพลทั้งหน่วยสวาทและหน่วยทหารรบพิเศษเข้ามาควบคุมสถานการณ์รุนแรง  เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยปราบจลาจลเข้าเคลียร์พื้นที่ พบไปป์บอมบ์ 2 ลูกใกล้บริเวณสนามหญ้าในอาคารรัฐสภา นอกจากนั้นยังพบรถกระบะเต็มไปด้วยปืนยาวหลายกระบอกและระเบิดมือหลายลูกด้วย

สภาคองเกรสตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ชุลมุนนองเลือดที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน รวมทั้งคำให้การของคนในม็อบที่บอกว่าพวกตนเดินทางจากวอชิงตัน ดี.ซี. ตามที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์บอกให้มา

กระบวนการพิจารณาคดีผ่านไปแล้วเกือบปี ทางคณะกรรมการออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องเกือบ 100 คนไปให้ปากคำ มีการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ กว่า 1,000 ครั้ง รวมไปถึงทรัมป์และคนใกล้ชิดประธานคณะกรรมการฯ กล่าวชัดเจนว่าทรัมป์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุจลาจลที่เกิดขึ้น ทำให้คณะกรรมการต้องนำเสนอหลักฐานที่มาสนับสนุนคำกล่าวนี้ พร้อมเสนอว่าทรัมป์ควรถูกดำเนินคดีอาญา 

มีคนถูกจับกุมอย่างน้อย 50 คน และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีใครรอดพ้นคุกไปได้แม้แต่คนเดียว ตกลงยังอยากให้ใช้วิถีของตำรวจอเมริกันมาปราบม็อบอยู่อีกไหม