'กรณ์' ผิดหวัง ประชุม สมช.ไร้ธงแก้น้ำมันแพงชัด!! แต่กลับตั้ง คกก.ซ้อน ครม.เศรษฐกิจ อีก 2 ชุด

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ไลฟ์สดผ่านเฟซบุคส่วนตัว หลังทราบผลประชุม สมช. มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในช่วงเย็นของวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยระบุว่า รู้สึกอึดอัดผิดหวังกับผลการประชุมในวันนี้มาก เนื่องจากไม่มีมาตรการอะไรที่ชัดเจน นอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทับซ้อน ครม.เศรษฐกิจ อีก 2 ชุด โดยมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานอย่างละชุด แทนที่จะให้ ครม.เศรษฐกิจทำหน้าที่เองให้เต็มที่ 

นายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคกล้าได้เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาแก้ไขปัญหาราคาน้ำ พร้อมเสนอทางออกให้มากมาย นำไปสู่การประกาศโรงกลั่นบริจาคเงินเข้ากองทุนน้ำมันเดือนละ 8,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 เดือน เท่ากับ 24,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เงียบ ไม่รู้ว่าได้ดำเนินการไปแค่ไหนอย่างไร รวมถึงที่นายกรัฐมนตรี เรียก รมว.พลังงานฯ และ รมว.พาณิชย์ เข้าพบปัญหามันควรจะจบนับตั้งแต่วันนั้น เพราะข้อมูลของทั้งสองท่านต้องมีครบถ้วน และมีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ขนาดพวกเราไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังสามารถติดตามข้อมูลจากทางราชการ เพื่อประเมินสถานการณ์ นำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาได้

“การตั้งกรรมการมีคนนั่งล้อมวงตามวัฒนธรรมการทำงานราชการไทย ไม่มีใครกล้าพูดหรือเสนออะไร ท่านนายกฯ นั่งหัวโต๊ะว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่งมันไม่ได้นำไปสู่การมีข้อสรุปหรือนโยบายใด ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนได้ ขอย้ำว่า ประชาชนเดือดร้อน น้ำมันแพง ของแพง มันเป็นภาระกับประชาชนโดยตรง  มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า จริง ๆ การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก มันมีมาตรการและทางออกที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มีคนในวงการทำให้ดูสลับซับซ้อนเพื่อที่สุดท้ายจะทำให้ไม่มีคำตอบ” นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวอีกว่า วันนี้ที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือการเก็บภาษีลาภลอย โดย รมว.คลัง มีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ซึ่งทั้งโลกเขาพูดกันเรื่องนี้ หลายประเทศเขาก็ทำกัน ทั้ง อังกฤษ อเมริกา และล่าสุดก็อินเดีย ซึ่งมีโครงสร้างเหมือนประเทศไทย ทั้งนำเข้าน้ำมันดิบสูง มีอุตสาหกรรมโรงกลั่นที่สามารถกลั่นได้สูงเกินความจำเป็นในประเทศ และส่งออกได้มากเหมือนประเทศไทย ซึ่งอินเดียเชื่อในหลักเกณฑ์การค้าเสรี ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งถ้าในสถานการณ์ปกติรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะเน้นในเรื่องความโปร่งใส และเป็นธรรม แต่สถานการณ์ปัจจุบัน มันไม่ปกติ เพราะฉะนั้นเพื่อสังคมและความอยู่รอดของประชาชน รมว.คลังอินเดีย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นที่ฟันกำไรมหาศาล เพื่อนำเงินภาษีเข้ารัฐ กลับคืนมาสู่ประชาชน   

“ตรรกะนี้ ความจริงน่าเสียดายที่เป็นคำพูดจากปากของ รมว.คลังของอินเดีย แต่ผมอยากได้ยินจากปาก รมว.คลังของประเทศไทยเรามากกว่า เพราะสถานการณ์เหมือนกัน ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเหมือนกัน ภาระรัฐบาลเหมือนกัน สิ่งที่จะเพิ่มให้อีกข้อคือ กำไรจากภาคเอกชนที่สูงกว่าปกติ และโรงกลั่นที่มีกำลังการกลั่นส่วนใหญ่มีรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คุณมีหน้าที่ดูแลผู้ถือหุ้น ใช่ แต่เงื่อนไขที่เขายอมให้เข้าตลาดหุ้นแต่แรกคือ คุณต้องไม่ลืมหน้าที่ต่อสังคมด้วย คุณสวมหมวกสองใบ วันนี้สังคมเดือดร้อน จะมาอ้างสิทธิของผู้ถือหุ้นเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ดังนั้นวันนี้สังคมเดือดร้อน ก็มีความชอบธรรมในการใช้มาตรการภาษีลาภลอย มาแก้ปัญหาให้กับประชาชน” อดีต รมว.คลังกล่าว