วันนี้เมื่อ 72 ปีที่แล้ว ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช’ เสด็จนิวัตประเทศไทย พร้อม ‘ม.ร.ว. สิริกิติ์’ พระยศในขณะนั้น

หากย้อนกลับไปในวันนี้เมื่อ 72 ปีที่แล้ว ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยการมาถึงของบุคคลสำคัญในครั้งนี้ได้ตราตรึงและสร้างความปลื้มปริ่มให้กับคนไทยทั้งชาติ โดยวันนี้ตรงกับวันที่ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช’ เสด็จประเทศไทย พร้อม ‘ม.ร.ว. สิริกิติ์’ พระยศในขณะนั้น

โดยย้อนกลับไปในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2492 อธิบดีกรมโฆษณาการได้เปิดแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาราวปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม 2493 อย่างแน่นอน โดยจะเสด็จทางชลมารค ซึ่งมีบริษัทเดินเรือทะเลหลายบริษัทแสดงความจำนงอัญเชิญเสด็จกลับโดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด แต่ทางราชการยังไม่ตกลงว่าจะใช้เรือของบริษัทใด สำหรับราชองครักษ์ประจำพระองค์ในขบวนเสด็จ ทางราชการได้จัดให้พลตรีหลวงสุรณรงค์ สมุหราชองครักษ์ เดินทางไปรับเสด็จภายใน 7 วัน และบางทีสมเด็จพระราชชนนีจะไม่เสด็จกลับมาด้วยเนื่องจากอุบัติเหตุ”

แต่แล้วในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ วิทยุจากเมืองวิลฟรังก์ ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ได้ประทับเรือซีแลนเดีย ออกจากเมืองท่าวิลฟรังก์มาแล้ว ในโอกาสนั้น เอกอัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศสได้ถวายช่อดอกไม้แด่ว่าที่สมเด็จพระราชินีด้วย

ข่าวนี้กระตุ้นให้ประชาชนเฝ้ารอถวายความจงรักภักดียิ่งขึ้นตามลำดับ

เรือพระที่นั่งผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าคลองสุเอซมาออกมหาสมุทรอินเดีย สถานที่ทรงแวะที่ควรกล่าวถึงก็คือ ลังกา รัฐบาลได้ทูลเชิญทรงปลูกต้นจันทน์ ส่วนที่สิงคโปร์ ทางการอังกฤษได้ทูลเชิญให้ประทับแรม โดยจัดต้อนรับเสด็จอย่างมโหฬาร คนไทยในสิงคโปร์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่ห้องโถงของสถานกงสุลไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในฉลองพระองค์ลำลองพร้อมด้วย ม.ร.ว.สิริกิติ์ และ ม.ร.ว.บุษบา กิติยากร ทรงทักทายคนที่ทรงรู้จัก กงสุลไทยได้นำผู้แทนร้าน “สิงคโปร์โฟโต้” 4 คนเข้าเฝ้าฯ ถวายกล้องถ่ายภาพให้ทรงเลือก ซึ่งทรงเลือกไว้ 1 กล้อง

วันที่ 24 มีนาคม เรือซีแลนเดียได้เข้าทอดสมอเทียบท่าเกาะสีชังเมื่อเวลา 07.00 น.เศษ รัฐบาลได้ส่งเรือ ร.ล.สุราษฎร์เป็นเรือพระที่นั่งมารับเสด็จ มี ร.ล.สุโขทัย และ ร.ล.อาดัง ตามขบวน และเครื่องบินแห่งราชนาวีบินทักษิณาวัตรถวายเกียรติยศ

เมื่อเสด็จจากเรือซีแลนเดียมาประทับ ร.ล.สุราษฎร์แล้ว ขบวนเรือพระที่นั่งก็มุ่งผ่านสันดอนมาที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งรัฐบาลจัด ร.ล.ศรีอยุธยาเป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จสู่พระนคร และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ร.ล.ศรีอยุธยา พร้อมด้วย ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระคู่หมั้นแล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องยศจอมพลเรือ ท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทหาร พลเรือน เฝ้าฯ รับเสด็จ 

ส่วนในท้องน้ำ บรรดาเรือของชาวสมุทรปราการที่มารับเสด็จ ต่างรายล้อมเข้ามารอบเรือพระที่นั่ง เพื่อปรารถนาจะชมสิริโฉม ม.ร.ว.สิริกิติ์ ต่างเห็นพระอิริยาบถอันละมุนละไม นิ่มนวลเป็นสง่า มีรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เป็นนิจ

เมื่อพิธีถวายเครื่องยศจอมพลเรือเสร็จเรียบร้อย ร.ล.ศรีอยุธยาจึงเคลื่อนลำนำเสด็จเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางเรือยนต์ เรือกลไฟ เรือแจว และเรือพายของราษฎรคับคั่ง ลอยลำรับเสด็จและเปล่งเสียงถวายพระพรไม่ขาดสาย ม.ร.ว.สิริกิติ์ ยืนเคียงข้างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่บนหอบังคับการเรือ ให้ราษฎรได้ยลสิริโฉม

หลังจากแวะเทียบท่าหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุดธูปเทียนสักการะพระสมุทรเจดีย์แล้ว ร.ล.ศรีอยุธยาเข้าเทียบท่าราชวรดิฐเมื่อเวลา 15.00 น.ตามหมายกำหนดการ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ชุดจอมพลเรือ เสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่ง มี ม.ร.ว.สิริกิติ์ ตามเสด็จอย่างใกล้ชิด เสด็จขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย ร.ล.แม่กลองยิงสลุต 21 นัด เจ้าพนักงานเชิญพระแสงราชอาญาสิทธิ์น้อมเกล้าฯ ถวาย จากนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานผู้สำเร็จราชการ กราบบังคมทูลถวายพระราชกรณียกิจเพื่อทรงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“โดยที่บัดนี้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้เสด็จมาประทับในราชอาณาจักรแล้ว ความเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพระพุทธเจ้าได้สิ้นสุดลง นับแต่นี้เป็นต้นไป”

หลังจากทรงมีปฏิสันถารกับข้าราชการผู้ใหญ่และทูตานุทูตแล้ว เสด็จไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อถวายสักการะพระพุทธปฏิมากร และรับคำถวายพระพรชัยมงคลจากบรรพชิตจีนญวน แล้วเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระราชบิดา ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน แล้วเสด็จไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทรงวางพวงมาลาและถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐา และทรงถวายนมัสการพระสัมมาสัมพุทธพรรโณภาษ แล้วเสด็จประทับรถพระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวังไปประทับพระตำหนักสวนจิตรลดา ตลอดเส้นทางมีประชาชนไปคอยเฝ้าฯ รับเสด็จแน่นขนัด

ส่วน ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระคู่หมั้น ได้ไปพักที่วังเทเวศร์ อันเป็นที่ประทับของ ม.จ.นักขัตรมงคล

รุ่งขึ้นวันที่ 25 มีนาคม 2493 เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงรับพระราชพิธีสมโภชในการเสด็จนิวัตสู่พระนคร 

วันที่ 26 มีนาคม กองทัพบก และกองทัพอากาศ ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องยศจอมพลของแต่ละกองทัพ เป็นอันว่าทรงได้รับพระยศจอมพลทหารทั้ง 3 กองทัพ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนครครั้งนี้ ทรงมีพระราชประสงค์กระทำพิธีสำคัญ 3 พิธี คือ

1.) พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระบรมเชษฐาธิราช 
2.) พระราชพิธีอภิเษกสมรส
3.) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยด้วยทศพิธราชธรรมจริยา ทรงเปล่งพระราชดำรัสว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

นับได้ว่าตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2493 เป็นต้นมา นับเป็นเวลากว่า 70 ปี ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ ตรากตรำพระวรกาย ทุ่มเทพระสติปัญญา วิริยะ อุตสาหะเพื่อความสุขของประชาชนทั้งประเทศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนได้เห็นพระสาโทไหลย้อย และทั่วโลกยอมรับว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก 

นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชจริยานุวัติอันงดงาม บริสุทธิ์ ปราศจากมลทินทั้งปวง ด้วยทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรมและธรรมต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา ทรงประพฤติปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างอันดีงามมาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ ทรงสร้างแบบฉบับของกษัตริย์ประชาธิปไตย สร้างความประทับใจและทำความเข้าใจใหม่ให้กลุ่มคนในประเทศที่ไม่มีกษัตริย์


ที่มา : https://www.facebook.com/projecstking9/posts/1159198380929156/


ติดตามผลงานอื่นๆ ของ THE STATES TIMES ได้ที่
TikTok > https://www.tiktok.com/@thestatestimes