ห่วง!! Metaverse ส่งผลกระทบ 'เด็ก-กลุ่มเปราะบาง' แม้พร้อมรับ 'สุข-ทุกข์' แต่ขาดความรู้เท่าทันในโลกใหม่

หากเรามองย้อนไปถึงที่มาของเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย ล้วนเกิดขึ้นเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ได้เปรียบ แต่แทบไม่มีเทคโนโลยีใดเลยที่จะคิดคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมในระยะยาวและสร้างขีดจำกัดของการบริโภค รวมทั้งรวมต้นทุนความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นไว้ตั้งแต่แรก ดังเช่นในขณะนี้ที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงของเมตาเวิร์ส จะมีสักกี่คนที่มองเห็นอนาคตของปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและกลุ่มเปราะบางที่พร้อมจะหัวเราะและร้องไห้ไปกับโลกใหม่แต่ขาดความรู้เท่าทัน

“ปัญหาเด็กติดเกมที่ว่ารุนแรงและเรื้อรังแล้ว เมื่อเข้าสู่ยุคเมตาเวิร์สที่สามารถทำให้ผู้คนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงได้อย่างเต็มตัวแล้ว ยิ่งพบว่าจะทวีความรุนแรงได้มากกว่า ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ ผลกระทบต่อสุขภาวะจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนทางอารมณ์ (Stress Hormone) ที่ยิ่งจะทำให้เด็ก และกลุ่มเปราะบางเกิดความก้าวร้าวหรือซึมเศร้า ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม จากการเสพติดเกมหรือเชื่อมต่อสังคมในเมตาเวิร์สโดยขาดการควบคุมดูแลที่เหมาะสม”

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล ให้มุมมองเกี่ยวกับเมตาเวิร์สในอีกด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม และเห็นว่า การออกแบบเมตาเวิร์สควรสร้างขึ้นด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม เช่นเดียวกับการออกแบบโรงงานอุตสาหกรรม ที่จะต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA หรือ EHIA) ก่อนทุกครั้ง ดังนั้น เพื่อการเติบโตทางเทคโนโลยีที่สมดุล ทุกฝ่ายจะต้องร่วมด้วยช่วยกันในการออกแบบระบบ

ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ผู้บริโภค พ่อแม่ผู้ดูแล รวมทั้งเด็กๆ ที่เป็นผู้ใช้ จะต้องเรียนรู้ไปด้วยกันมีเป้าหมายที่สร้างสรรค์ และอยู่ภายใต้กรอบแห่งความรับผิดชอบร่วมกัน พร้อมกับอธิบายต่อไปว่า “พฤติกรรม” เกิดจากการทำงานของสมองที่นำมาซึ่งประสบการณ์ ความทรงจำ และทัศนคติ สามารถส่งเสริมให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์และเกิดความสมดุล เช่น การเล่านิทานโดยใช้สื่อดิจิทัลแต่เพียงเป็นส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยให้เด็กเรียนรู้แต่เพียงลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก แต่ควรมีพ่อแม่ หรือผู้ปกครองคอยเล่าให้ฟัง และพูดคุยกับเด็กด้วย

“สำหรับการใช้เทคโนโลยีไอทีในเด็กและเยาวชนนั้น ผู้ใหญ่ควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในการสร้างสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศที่ปลอดภัยในการใช้ไอที สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และเด็กที่อายุมากกว่า 13 ปีต้องให้ข้อมูลทั้งทางบวกและทางลบโดยไม่ปิดบัง และสร้างการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะให้เด็กโตกลุ่มนี้สามารถใช้ไอทีด้วยความรับผิดชอบ” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2565 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เตรียมใช้เทคโนโลยีเมตาเวิร์สเป็นตัวช่วยประกอบการสร้าง “ศูนย์ฝึกการดูแลเด็กเสมือนจริง” สำหรับพ่อแม่มือใหม่ผู้ดูแลเด็ก คุณครู หรือผู้ส่งเสริมการเรียนรู้เด็กทุกประเภท รวมทั้งเยาวชน ในด้านการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการเรียนรู้ผลกระทบ และการส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดการใช้ให้ถูกวิธี

โดยได้มีการปรับปรุงพื้นที่ ณ บริเวณชั้น 3 ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) ให้เป็นศูนย์ฝึกการดูแลเด็กเสมือนจริง ซึ่งจะมีการใช้ Virtual Reality - VR หรือเทคโนโลยีการจำลองภาพเสมือนจริงแบบ 360 องศา ด้วยแว่นตา VR และ Augmented Reality - AR หรือ เทคโนโลยีการผสานโลกเสมือนจริงให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ มาประกอบเพื่อการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์ต่อไป

รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีผิดวิธีควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ดูแลเด็กทุกประเภทได้เห็นประโยชน์และโทษของความเจริญทางเทคโนโลยีและประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงดูเด็กต่อไปด้วย โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook : NICFD


ที่มา : https://www.naewna.com/local/636755