ชำแหละข้อผิดพลาด ‘อนาคตใหม่ถึงก้าวไกล’ มองข้าม ‘คนรุ่นเก่า’ ผู้ทรงอำนาจทางการเมือง

ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กประเด็น จากพรรคอนาคตใหม่…ถึงก้าวไกล…ไปต่ออย่างไร ว่าสมัยที่เริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่ สนใจมากเหมือนกัน เพราะเข้ากับแนวโน้มของโลกที่คนรุ่นใหม่อายุน้อยเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตกไม่ว่า แคนาดา, นิวซีแลนด์, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, ออสเตรีย

ในขณะเดียวกัน ก็เขียนถึงพรรคอนาคตใหม่ว่ามีจุดอ่อนอะไรบ้างที่ต้องป้องกัน เมื่อเข้าสู่การเป็นพรรคการเมืองแบบไทย ๆ อย่างเต็มรูปแบบ

1.) พรรคและสมาชิกพรรค ตั้งแต่หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งหลายต้องเตรียมตัวเตรียมการที่จะตกในสถานะตั้งรับมากกว่ารุกหลังการเลือกตั้ง เพราะก่อนเลือกตั้งนั้นเป็นการโจมตีคนอื่น พรรคอื่น นักการเมืองอื่น รวมทั้งคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่ารัฐบาลทหาร คนรักสถาบัน อะไร ๆ ที่พรรคอนาคตใหม่เห็นต่าง แต่หลังการเลือกตั้ง พรรคจะกลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีจากคนหรือฝ่ายที่เคยถูกพรรคอนาคตใหม่โจมตี เพราะคนในพรรคอนาคตใหม่กลายเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมืองเริ่มมีบทบาทอำนาจในทางการเมือง ถนนทุกสายจะมุ่งหน้ามาที่พรรค พรรคจะรับมืออย่างไร

2.) พรรคอนาคตใหม่มีนักบริหารและนักสื่อสารองค์กรด้วยเทคโนโลยีและวิธีการสื่อสารแบบใหม่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แต่ไม่มีบุคลากรที่เข้าถึงคนรุ่นเก่าที่ยังมีอำนาจและอิทธิพลในทางการเมือง สื่อเหล่านี้เข้าไม่ถึง พรรคอนาคตใหม่ไม่มีการเตรียมการในเรื่องเหล่านี้เลย มุ่งเน้นจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้บริหารพรรคไม่มีการผสมผสานคนรุ่นเก่าที่เข้าใจการเมืองแบบไทย ๆ มีประสบการณ์

3.) พรรคอนาคตใหม่ขาดนักกฎหมายระดับหัวกะทิ ประสบการณ์เชิงเทคนิคมากกว่าคนสอนกฎหมาย พรรคไม่ได้มองปัญหานี้ คิดว่าถ้าได้ทำตามกฎระเบียบแล้วเป็นอันใช้ได้ แต่ในทางกฎหมายจะมีเทคนิคการใช้กฎหมายที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย นักกฎหมายของพรรคขึ้นอยู่กับสองสามคนระดับรองหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ซึ่งไม่พอ พรรคอนาคตใหม่ต้องมี war room ระดมกำลังจากนักกฎหมายฝีมือดีป้องกันปัญหา ไม่ใช่คอยตามแก้ปัญหา ซึ่งสายเกินไป

สิ่งที่เกิดกับพรรคอนาคตใหม่นี้ เป็นเรื่องของการเตรียมการอย่างฉุกละหุกในการตั้งพรรค แก้ปัญหารายวัน ปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานแบบนี้ขาดความรอบคอบอย่างมาก เกิดช่องโหว่ให้ถูกโจมตีจากทุกทิศทางโดยไม่สามารถตั้งรับได้ทั้งหมด การถูกถาโถมรอบทิศ ทำให้พรรคอนาคตใหม่เปรียบเสมือนหมาบ้านหลงฝูงเข้ามาสู่วงหมาวัด ที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนบ้าง ตั้งรับไม่ถูก และไม่สามารถรุกได้

สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่กำลังประสบคือปัญหาจากการอ่อนด้อยในประสบการณ์ มองข้ามพลังของคนรุ่นเก่าที่ยังมีบทบาทในทางการเมือง อำนาจของกองทัพ อำนาจของนักธุรกิจ นักลงทุน นายทุน และสถาบันองค์กรอิสระทั้งหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ใน comfort zone ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง

การแตกแยกภายในพรรคนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อแพกำลังจะแตก ทุกคนก็จะขวนขวายหาขอนไม้ใหม่เพื่อความอยู่รอด ส่วนเรื่องที่ผ่านมา ก็คงเป็นแค่อดีตที่เป็นแค่บันไดขั้นต้น

โดยธรรมชาติของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ จะไม่ยึดติดกับอะไรนาน ๆ มีความเป็นอิสระและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะเริ่มนิ่ง และเปลี่ยนแปลงน้อยลง

เหมือนกันทั่วโลกที่คนรุ่นใหม่มักจะเป็นฝ่ายที่มุ่งความเป็นอิสระเสรี และเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีความเป็นอนุรักษ์มากขึ้น

ไม่ได้มีอคติอะไรกับพรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่ได้ชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ เพียงแต่คิดว่าการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วนั้นย่อมอยู่บนพื้นฐานที่ไม่แข็งแรง

พรรคอนาคตใหม่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. มากมาย โดยเฉพาะจากบัญชีรายชื่อ เพราะระบบเลือกตั้งที่เป็นคุณกับพรรคอย่างที่คิดไม่ถึง ซึ่งถ้าเป็นระบบเลือกตั้งแบบเก่าที่แยกกาบัตรเลือกตั้งระหว่างเขตกับบัญชีรายชื่อ เชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่คงไม่ได้ ส.ส. จำนวนมากเช่นนี้

ยังนึกไม่ออกว่าพรรคก้าวไกลที่แปลงมาจากพรรคอนาคตใหม่ จะเป็นอย่างไรเหมือนกัน

เพราะดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย…


ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/46282/