เกิดเหตุโศกนาฏกรรม!! ‘เครื่องบินชนกันกลางอากาศ’ ที่จรรขีทาทรี เมื่อปี พ.ศ. 2539 นับได้ว่าเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามมาด้วยการสูญเสียกว่า 349 ชีวิต

ในวันนี้เมื่อปี 2539 ได้เกิดโศกนาฏกรรมกลางเวหาครั้งใหญ่ จากอุบัติเหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่ประเทศอินเดีย โดยตำแหน่งที่เกิดเหตุ อยู่ใกล้กับเมืองจรรขีทาทรี รัฐหรยาณา

ลำหนึ่ง เป็นเครื่องบินโบอิง 747 ของ ‘สายการบินซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์’ เที่ยวบินที่ 763 ที่ที่กำลังจะบินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติ ‘อินทิรา คานธี’ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เพื่อมุ่งหน้าไป ‘ซาอุดีอาระเบีย’

ส่วนอีกลำหนึ่ง คือ เครื่องบินอิลยูชิน อิล-76 ของ ‘สายการบินคาซัคสถานแอร์ไลน์’ เที่ยวบินที่ 1907 ที่กำลังจะลงจอดที่ท่าอากาศยาน ‘อินทิรา คานธี’

โดยในส่วนของเครื่องบินโบอิง 747 นั้น ขณะที่เกิดเหตุเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสาร 289 คน และลูกเรือ 23 คน ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ที่ประกอบไปด้วยผู้เดินทางไปทำงานและไปแสวงบุญที่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงยังมีชาวต่างชาตินอกเหนือจากอินเดียและซาอุดีอาระเบียอยู่ด้วยอีก 17 คน

ส่วนเที่ยวบินที่ 1907 ซึ่งเป็นเที่ยวบินเหมาลำเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติชิมเคนต์ เมืองชิมเคนต์ ทางตอนใต้ของประเทศคาซัคสถาน มีคนบนเครื่องบินเพียง 37 คน โดยเป็นลูกเรือ 10 คน และผู้โดยสาร 27 คน

>> 5 ไทม์ไลน์ช่วงเวลาระทึกขวัญ!!

1.) คาซัคสถานแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 1907 ใกล้ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศของเดลีตามปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่สั่งให้เที่ยวบินที่ 1907 ลดระดับลงมาที่ 15,000 ฟุต 

2.) ขณะเดียวกัน ด้าน ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 763 ก็ได้ทำการขึ้นบินจากท่าอากาศยาน และมุ่งหน้าไปในเส้นทางบินเดียวกัน ซึ่งกำลังจะสวนทางกับเที่ยวบินที่ 1907 โดยไต่ระดับขึ้นไปที่ 14,000 ฟุต

3.) เสี้ยวนาทีนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งเตือนให้เที่ยวบินที่ 1907 ทราบว่า มีเที่ยวบินที่ 763 กำลังมุ่งหน้าสวนทางกัน และให้รักษาระดับความสูงอยู่ที่ 15,000 ฟุต

4.) แต่อันที่จริงแล้วเที่ยวบินที่ 1907 ไม่ได้รักษาระดับความสูงอยู่ที่ 15,000 ฟุต หากแต่กำลังลดระดับลงมา โดยในขณะนั้นอยู่ที่ระดับความสูง 14,500 ฟุตและกำลังลดระดับลงไปอีก

5.) มัจจุราชมาเยือน เมื่อเที่ยวบินที่ 1907 ลดระดับลงไปอีกประมาณ 310 ฟุต ทำให้เกิดการปะทะกับเที่ยวบิน 763 เข้าอย่างจัง เครื่องทั้งสองแตกระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ

สำหรับเรื่องนี้ ผู้ที่ได้พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นนักบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งขับเครื่องบินลำเลียงซี-141 และกำลังจะลงจอดที่นิวเดลี โดยเขาได้แจ้งว่า มองเห็นแสงสว่างสีส้มภายในก้อนเมฆ ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะแยกออกเป็นลูกไฟสองลูกและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเมื่อเครื่องบินทั้งสองลำตกถึงพื้น

ส่วนภาคพื้นดิน ก็มีกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจรรขีทาทรี ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากนิวเดลีประมาณ 80 กิโลเมตร มองเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าซึ่งตัดกับความมืดในช่วงใกล้ค่ำ และได้ยินเสียงที่ดังยิ่งกว่าฟ้าถล่ม เที่ยวบินที่ 763 ตกลงไปในไร่ว่างเปล่าและก่อให้เกิดหลุมขนาดยาว 55 เมตร (60 หลา) ลึก 4.5 เมตร (15 ฟุต) ส่วนเที่ยวบินที่ 1907 ตกลงห่างจากเที่ยวบินที่ 763 ประมาณ 10 กิโลเมตร

ทั้งนี้ หลังจากพบเครื่องบินที่ตกไม่นาน มีชาวบ้านพบผู้โดยสาร 3 คนจากเที่ยวบินที่ 763 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สุดท้ายผู้รอดชีวิตดังกล่าวทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

ถึงกระนั้น เหตุการณ์ดังกล่าว ก็ยังมีโชคอยู่บ้าง เพราะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บนอกเหนือจากผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบินทั้งสองลำ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ได้เผยว่า นักบินน่าจะพยายามหักเลี้ยวเครื่องบินไม่ให้ตกลงไปในเขตชุมชนและป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตนอกเหนือจากบนเครื่องบิน ซึ่งนับว่าหากเป็นจริงก็ต้องยกย่องนักบินเป็นอันมาก

>> เรื่องนี้ใครผิด?

สำหรับบทสรุปของความผิดพลาด จนเกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้นั้น ทางด้าน คาซัคสถานแอร์ไลน์ อ้างว่านักบินจำเป็นต้องลดระดับความสูงลงมา เนื่องจากสภาพอากาศปั่นป่วนที่ระดับความสูงดังกล่าว 

ขณะที่ทาง ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ และคณะเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศของอินเดีย คัดค้านโดยอ้างข้อมูลรายงานสภาพอากาศว่าไม่มีสภาพอากาศปั่นป่วนแต่อย่างใด

นอกจากนี้ซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ ยังกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรที่ไม่ได้แจ้งนักบินของเที่ยวบินที่ 763 ว่ามีเที่ยวบินที่ 1907 อยู่ในทิศทางสวนกับเที่ยวบินที่ 763 

ไม่เพียงเท่านี้ ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศและซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ ได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า สาเหตุอีกประการหนึ่งอาจจะมาจากธรรมเนียมปฏิบัติของนักบินจากประเทศอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตที่แตกต่างจากนักบินอื่น ๆ

โดยนักบินส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรวัดของเครื่องบินที่ผลิตในสหภาพโซเวียตใช้ระบบเมตริก (กิโลเมตร) แทนที่จะเป็นระบบอิมพีเรียล (ฟุต) อย่างที่เครื่องบินส่วนใหญ่ในโลกใช้กัน ทำให้นักบินต้องเสียเวลาแปลงหน่วย แม้ว่าทางฝ่ายคาซัคสถานจะคัดค้านก็ตาม

นอกจากนี้ การจัดการเส้นทางบินภายในประเทศอินเดีย ก็ดูจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง โดยน่านฟ้าโดยรอบท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ในขณะนั้น ส่วนใหญ่จะให้เครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียใช้ขึ้นและลง ในขณะที่เที่ยวบินพาณิชย์ถูกจำกัดให้อยู่ในบริเวณส่วนน้อย และระบบเรดาร์ของท่าอากาศยานยังคงเป็นระบบดั้งเดิมที่ระบุเพียงตำแหน่งของเครื่องบินเท่านั้น และไม่ระบุข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ เช่น ระดับความสูง หรือชื่อเรียกของเครื่องบิน

เหตุการณ์นี้ ไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก แต่อุบัติเหตุดังกล่าวก็ถูกบันทึกให้กลายเป็นกรณีเครื่องบินชนกันกลางอากาศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก และน่าจะเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศอินเดียไปแล้ว

อีกทั้งยังเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในโลก รองจากเหตุการณ์เครื่องบินชนกันที่ท่าอากาศยานเตเนริเฟในหมู่เกาะคะแนรี ประเทศสเปนในปี พ.ศ. 2520 และอุบัติเหตุเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 123 ตกที่ประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2528


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ Blockdit : THE STATES TIMES 
???? https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32