'สหรัฐฯ' หวั่นขาดดุลเงินสด เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกา เตือนว่าเงินสดในคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ จะหมดลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 หากสภาคองเกรสไม่รีบขยายเพดานหนี้ของรัฐบาล

โดยเธอได้กล่าวในจดหมายถึงผู้นำรัฐสภา ระบุว่า "เงินทุนของกระทรวงการคลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว และยังไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถดำเนินการตามพันธกรณีทั้งหมดของประเทศต่อไปได้หรือไม่หลังจากวันนั้น"

หลังจากที่เธอได้เคยออกคำเตือนในประเด็นดังกล่าวไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาโดยชี้ว่า มาตรการจัดสรรเงินสดของกระทรวงการคลังมีแนวโน้มที่จะหมดลงในเดือนตุลาคม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถชำระหนี้ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ และยังจะกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง กระตุ้นให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น ราคาหุ้นร่วงหนัก หรือผลักดันให้เกิดความปั่นป่วนทางการเงิน

เธอได้เรียกร้องให้สภาคองเกรส ดำเนินการขยายหรือยกเลิกเพดานหนี้ชั่วคราวแบบด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มิเช่นนั้นนอกจากจะไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว รัฐบาลจะไม่มีเงินสดสำหรับจ่ายให้แก่บรรดาข้าราชการ และผู้สูงอายุ หรืออาจทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนขาดแคลนเงินสด และยังเสี่ยงที่จะต้องชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลกลาง 

ตลอดจนบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองและสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเยลเลนยังกล่าวอีกว่าหากรอจนถึงนาทีสุดท้ายอาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ภายในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกันและเดโมแครตได้ทำข้อตกลงร่วมกันในปี 2019 ซึ่งจะส่งผลให้สภาคองเกรสยกเลิกเพดานหนี้ชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2021 ก่อนที่เพดานหนี้จะถูกกำหนดขึ้นอีกครั้งในวันถัดมา

อย่างไรก็ตามเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันมีมติเสียงข้างมากไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่จะช่วยขยายเพดานหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งถูกเสนอโดยพรรคเดโมแครต ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่าจะทำให้เกิดวิกฤตทางการเงิน โดยอ้างว่าไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับนโยบายการใช้จ่ายของพรรครัฐบาลเดโมแครต รวมทั้งงบประมาณปฏิรูปสังคมก้อนใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ด้าน ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตพยายามหาทางเพิ่มเพดานหนี้ไปจนถึงสิ้นปีหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาคะแนนจากฝั่งพรรครีพับลิกัน ขณะที่เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ เช่นเดียวกับอดีตรัฐมนตรีคลังและกลุ่มธุรกิจอื่นๆ


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/664337

https://www.posttoday.com/world/664339