ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เตรียมเรียก ‘ผู้บัญชาการ คฝ.’ แจงเหตุสลายม็อบรุนแรง เตือน มีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่กระทำกับประชาชนเยี่ยงศัตรู ย้ำ การละเมิดสิทธิและก่ออาชญากรรมโดยรัฐ คือสิ่งไม่ปกติในสังคมประชาธิปไตย 

นายณัฐชา​  บุญไชยอินสวัสดิ์​ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล​ ในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและ​การมีส่วนร่วมของประชาชน​ แสดงความเห็นต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการชุมนุมช่วงที่ผ่านมาว่า ด้วยหลายปัจจัยสะสมตั้งแต่หลังการรัฐประหารจนถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่ล้มเหลวและผิดพลาดร้ายแรง ปัญหาปากท้องข้าวยากหมากแพง คนตกงาน การบริหารราชการแผ่นดินด้วยความไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม รวมถึงการบังคับใช้อำนาจกฎหมายอย่างล้นเกิน ล้วนเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นในสังคม ซึ่งการชุมนุมเพื่อแสดงออกและการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาถือเป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนและเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย หากมีการกระทำใดที่ผิดกฎหมายก็ต้องมีมาตรการดำเนินการอย่างได้สัดส่วน แต่ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากถึงการใช้ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผลและไม่ได้สัดส่วนในการจัดการการชุมนุม จึงอยากเรียกร้องให้ตระหนักถึงสิทธิของประชาชนและใช้อำนาจอย่างพึงระวังและไม่ขัดต่อหลักการของกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่   

“นอกจากนี้ ผมอยากขอชวนพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันจับตาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเย็นวันนี้ ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลไม่ใช่เพื่อปกป้องการใช้อำนาจด้วยคำสั่งอันไม่ชอบธรรม จะเห็นว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและหลังจากนี้ไป การชุมนุมของพี่น้องประชาชนเกิดขึ้นติดต่อกันเกือบทุกวันและทุกครั้งจะได้ยินข่าวจากสื่อมวลชนถึงความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุ​ หรือในสื่อโซเชียลมีเดียที่ปรากฏภาพความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อพี่น้องประชาชนหรือสื่อมวลชน​จำนวนมาก ปัญหาของสังคมไทย ณ ขณะนี้คือ เมื่อพี่น้องประชาชนมีปัญหา เขาไม่รู้จะเรียกร้องความเป็นธรรมได้จากใคร​ เพราะรัฐบาลเองก็บริหารประเทศแบบไม่เห็นหัวประชาชนในทุกเรื่องแล้วยังปิดกั้นการแสดงออกด้วยความรุนแรงเช่นนี้อีก”

นายณัฐชา กล่าวต่อไปว่า สิทธิการชุมนุมเป็นหลักการสำคัญในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องให้การรับรองและคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเป็นภาครัฐเองที่พยายามจะทำลายหลักการนี้ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกันปกป้อง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือขอให้พี่น้องประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา รายงานข้อเท็จจริงออกมาให้มากที่สุด​ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องชำระต่อไปในอนาคตและทำให้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมโลก​ เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ประชาคมโลกต่างตั้งคำถามต่อรัฐไทยว่ายังเป็น​รัฐที่ทำหน้าที่ภายใต้ระบอบประชาธิไตยหรือไม่ และเหตุใดจึงปฏิบัติต่อประชานเยี่ยงอริราชศัตรู​ เพราะคงมีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่จะทำกระทำเยี่ยงประชาชนเป็นศัตรูเช่นนี้

“ในครั้งนี้ ผมขอสื่อสารไปยังเจ้าหน้าที่ประดับปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุมวันนี้เช่นกันว่า ​ก่อนกระทำการใด​ โปรดระลึกไว้ว่า คุณและผู้ชุมนุมก็คือประชาชนเหมือนกัน​ มีพ่อแม่ครอบครัวอยู่ข้างหลัง​ การออกมาเรียกร้องของผู้ชุมนุมเพราะเขาต้องการเห็นประเทศไทยที่พวกเราทุกคนรวมถึงคุณด้วยจะสามารถมีชีวิตได้อย่างมีความหวังและมีอนาคต​ พวกคุณสามารถเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้ด้วยความสามารถ ไม่ใช่ด้วยการเข้าหานายหรือมีเส้นสายเป็นเด็กฝากของใคร ผมเชื่อในตัวพวกคุณทุกคนว่าจะยังรักในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และมีความรักต่อประชาชน ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่จะยินยอมกระทำตามในสิ่งที่ผิดอย่างปราศจากมโนสำนึกอย่างไรก็ตาม ผมในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ​ ได้แต่งตั้ง​ ส.ส.อมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล​ กรรมาธิการฯเป็นประธานติดตามการชุมนุมเพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมเหตุความรุนแรงและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน​ เพื่อรายงานต่อที่ประชุมกรรมาธิการใหญ่ และจะเรียก​ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อไป​ และผมในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการ ยืนยันว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ยอมให้มีการละเมิดสิทธิหรือการก่ออาชญากรรมโดยรัฐกลายเป็นสิ่งปกติในสังคมประชาธิปไตยอย่างแน่นอน”

สุดท้าย นายณัฐชา ยังกล่าวต่อไปว่า อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า​ การกระทำที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานที่ล้มเหลว​ในการจัดการโรคระบาดแล้วมองหาช่องทางนิรโทษกรรม​ รวมไปถึงการไล่ล่าจับกุมคุมขังและปิดปากประชาชน เพื่อยืดเวลาต่ออำนาจในการบริหารประเทศท่ามกลางความป่นปี้เช่นนี้​ ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอกที่ตะเกียกตะกายและกัดไปทั่วขอแค่มีชีวิตรอดโดยไม่สนใจว่าประเทศจะพังพินาศไปขนาดไหน การกระทำเช่นนี้ต่างหากที่สมควรต้องถูกจัดการเพราะถือเป็นศัตรูอันเป็นภัยสูงสุดต่อประเทศอย่างแท้จริง