“องอาจ” จี้รัฐทบทวนข้อกำหนดกระทบสิทธิเสรีภาพ สื่อฯ-ประชาชน  ชี้จำกัดดสิทธิมากเท่าไหร่ สะเทือนถึงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า การออกข้อกำหนดดังกล่าวย่อมมีโอกาสที่จะกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดยทั่วไป และอาจกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยสุจริตตามสิทธิเสรีภาพที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะหลังจากมีข้อกำหนดนี้ออกมาจะเห็นได้ว่ามีคนของภาครัฐหลายระดับได้มีการกระทำในเชิงข่มขู่คุกคามการแสดงความเห็นของประชาชนโดยสุจริตเกินกว่าที่ควรจะเป็น แม้ภายหลังคนของภาครัฐบาลจะกลับลำว่าไม่ได้ใช้ข้อกำหนดที่ออกตามความใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาข่มขู่ หรือปิดกั้นประชาชนที่แสดงออก พฤติกรรมที่แสดงออกเช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่าคนของภาครัฐจะใช้ข้อกำหนดนี้ตีความไปทางไหนก็ได้ตามอำเภอใจ

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่าใช้มาตรการนี้เพื่อจัดการกับข่าวปลอม หรือ Fake news น่าจะเป็นคนละประเด็นกัน เพราะกลุ่มคนหรือคนที่ทำข่าวปลอมนั้น มีเจตนาชัดเจนที่สร้างเรื่องขึ้นมาให้ดูเสมือนจริงแต่ไม่ได้เป็นความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดผลลบต่อกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และมักจะไม่แสดงตัวตนชัดเจน ซึ่งรัฐบาลก็มีหน่วยงานและบุคลากรจัดการกับปัญหานี้อยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพและประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิเสรีภาพ แสดงความคิดเห็นตามปกติที่มีตัวตนชัดเจน ตรวจสอบได้ ถ้าสื่อมวลชนและประชาชนทำอะไรที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำนั้นก็ย่อมใช้สิทธิดำเนินการตามครรลองของกฎหมายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีข้อกำหนดออกมาบังคับใช้เพิ่มเติมจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของสื่อและการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยสุจริต

นายองอาจ กล่าวด้วยว่า เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงขอเสนอรัฐบาลดังนี้ 1.ทบทวนข้อกำหนดที่ออกตามความใน มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2.ในกรณีที่อยู่ระหว่างการทบทวนข้อกำหนด ขอให้ผู้รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมาย โดยพูดให้ชัดว่าเจตนาที่ออกคืออะไร จะมีการบังคับใช้แค่ไหนอย่างไร และ3.ภาครัฐไม่ควรดำเนินการใดๆที่เป็นการข่มขู่ คุกคามสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพ และประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน เพราะถ้ารัฐบาลหาทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนมากเท่าไหร่ จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมากเท่านั้น และจะก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน