‘พิธา’ ร่วมแต่งดำ รับหนังสือ ‘หมอไม่ทน’ ขอบคุณทุกบุคลากรด่านหน้า ยกเป็นปราการด่านสุดท้ายยามสังคมสิ้นหวัง จี้ รัฐบาลให้ความสำคัญ ‘ระบบสาธารณสุข’ อย่าปล่อยให้ล่มสลาย ตอกย้ำชัด สถานการณ์ความมั่นคงเปลี่ยนแล้ว เหตุใด กำลังพล-อาวุธ ยังมากกว่า พยาบาล-วัคซีน

วันที่ 7 ก.ค. 64 ที่อาคารรัฐสภา ตัวแทนบุคลากรสาธารณสุขและกลุ่มหมอไม่ทน แต่งชุดดำพร้อมนำรายชื่อกว่า 215,409 คน ที่รวบรวมจากภาคประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เดินทางมายื่นข้อเรียกร้องผ่านพรรคก้าวไกลไปยังรัฐบาลและองค์การเภสัชกรรมให้เร่งรัดการนำเข้าวัคซีนชนิด mRNA พร้อมกับต้องเผยแพร่ข้อมูลในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้เป็นปัจจุบัน โปร่งใส สม่ำเสมอ และตรวจสอบได้

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะตัวแทนรับหนังสือ กล่าวว่า ลำดับแรกต้องขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณะสุขกว่า 300,000 ชีวิตที่ดูแลพี่น้องประชาชน รวมถึงพวกเราในช่วงกว่า 400 วันที่ผ่านมาที่มีวิกฤติโควิด พวกท่านเป็นหัวใจสำคัญ เป็นลมหายใจของระบบสาธารณสุข เป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทยในช่วงที่พวกเราสิ้นหวังและเป็นฮีโร่ตัวจริงในยามที่ประเทศไม่มีความหวังเหลืออยู่

“แต่ขณะเดียวกัน พวกเราก็ทราบดีว่าทุกท่านก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน และก็ไม่ได้อยากจะเป็นฮีโร่ เพียงแค่อยากทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เป็นมนุษย์ที่มีความอดทน มีเลือดเนื้อเชื้อไข มีขีดจำกัด มีลูกของตัวเอง มีเพื่อนของตัวเอง แต่ท่านต้องเสียสละเพื่อมาดูแลพ่อของผม แม่ของผม ลูกของผม เพื่อนของผม นี่เป็นเรื่องที่ได้รับการพูดถึงในสังคมน้อยเกินไปมาก ผมจึงต้องขอคารวะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคนที่ช่วยให้ประเทศไทยยังอยู่ได้ถึงตอนนี้”

พิธา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พวกเราพอทำได้คือ การยืนยันว่าเสียงของทุกคน เสียงของกว่า 200,000 คน ที่รวบรวมมาครั้งนี้มีค่า เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ทุกคนจะได้กำหนดวาระของตัวเองได้เกิดขึ้นแล้ว แม้ตอนนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ตาม แต่นอกเหนือจากข้อเรียกร้องของตัวแทนบุคลากรทางสาธารณสุขและกลุ่มหมอไม่ทน คือเมื่อรัฐบาลมีแผนงานแล้วก็ควรต้องทำตามแผน ไม่ใช่ย้ายวัคซีนไปมาตามสถานการณ์ระลอกต่าง ๆ ดังที่ผ่านมา...

...สิ่งที่พรรคก้าวไกลเรียกร้องมาตลอด และจะขอเรียกร้องแทนหมออีกครั้งก็คือ วัคซีนชนิด mRNA ซึ่งตามแผนเดิมคือการกระจายวัคซีนไปให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขก่อนเพื่อให้ระบบสาธารณสุขไม่ล่ม เพราะถ้าพวกเขาอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน พวกเขาเป็นทั้งบุคกรด่านหน้า และปราการด่านสุดท้าย จึงไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นความเสียสละเพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือพวกเราได้ในยามที่การจัดการวัคซีนล้มเหลวเกือบทุกมิติ...

...ขณะนี้ แม้มีความคืบหน้าเรื่องการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส แต่ก็ยังมีการนำเข้าวัคซีนชิโนแวคอีก 10 ล้านโดส และวัคซีนโมเดอร์นาที่องค์การเภสัชฯ จะเป็นตัวกลางการซื้อ แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้จนกว่าวัคซีนจะมาถึงประเทศไทยจริง ๆ"

“อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นห่วง คือแผนจัดเก็บและกระจายวัคซีนชนิด mRNA แน่นอนว่าวัคซีนชนิดนี้มีข้อดีหลายอย่าง แต่มีข้อเสียเรื่องการจัดเก็บที่อุณหภูมิ -70 ถึง -80 องศา ซึ่งเมื่อไปดูงบประมาณใน พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มีงบประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับเรื่องวัคซีนและทางการแพทย์ แต่มีงบประมาณซื้อตู้จัดเก็บวัคซีนเพียงตู้เดียวที่เก็บได้ -80 องศา มูลค่า 1.6 ล้านบาท จึงขอตั้งเป็นคำถามดัง ๆ ผ่านสื่อมวลชนไปยังรัฐบาลว่า เมื่อวัคซีนมาถึง การจัดเก็บและการกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงได้เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว รัฐบาลหรือ ศบค.ต้องเอาข้อมูลมาเปิดเผย เพราะเคยมีปัญหาในการจัดเก็บ แม้แต่วัคซีนชิโนแวคก็ยังจัดเก็บจนกลายเป็นเจล ในฐานะ ส.ส. เราจึงมีความห่วงถึงการจัดเก็บวัคซีน mRNA”

ทั้งนี้ พิธา ยังกล่าวต่อไปว่า การมารับหนังสือครั้งนี้ ยังหวังไปไกลกว่าเรื่องวิกฤติโควิด เพราะคิดเสมอว่าความมั่นคงในอนาคตไม่ใช่ความมั่นคงทางทหาร แต่คือความมั่นคงทางสาธารณสุข ทางสิ่งแวดล้อม หรือทางมลพิษ ดังที่เห็นในสัปดาห์ที่ผ่านมา การดูแลบุคลากรทางสาธารณสุข ถ้ารัฐบาลนึกไม่ออกว่าจะต้องดูแลอย่างไร ก็ให้คิดว่าการดูแลให้เหมือนทหารทำอย่างไร ปกติแล้วไม่ชอบเปรียบเทียบแบบนี้ แต่คิดว่าคงเป็นคำพูดเดียวที่ท่านอาจจะเข้าใจ จึงต้องพูดแบบนี้

“หนึ่ง ดูว่าบุคลากรพร้อมหรือไม่ ในปีที่มีโควิดแบบนี้ มีทหาร 360,000 คน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 300,000 คน เป็นไปได้อย่างไรที่ทหารยังเยอะกว่าพยาบาลในช่วงที่ความท้าทายเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้...

...สอง เมื่อบุคลากรพร้อม อุปกรณ์ต้องพร้อม งบประมาณอาวุธและเครื่องมือทางการทหารปีนี้ 26,000 ล้านบาท แต่งบประมาณตาม พ.ร.ก.เงินกู้ทางการแพทย์ มี 10,000 ล้านบาท งบประมาณทางการทหารยังเยอะกว่า เครื่องช่วยหายใจ อ็อกซิเจน อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อพยุงชีวิตประชาชน...

...สาม จำนวนวัคซีนกับกระสุน เป็นไปได้อย่างไรที่กระสุนมีมากกว่าวัคซีน เรื่องนี้ต้องเปลี่ยน อย่าให้กลับตาลปัดเพื่อป้องกันระบบสาธารณสุขไม่ถูกกดดันอย่างที่เป็นทุกวันนี้

“ไม่ว่าท่านจะเป็นหมอ พยาบาล หรือผู้ที่อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ท่านอาจเป็นคนทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ท่านอาจจะเป็นบุคลากรแผนกซักฟอกในโรงพยาบาล ท่านอาจจะเป็น อสม. หรือ อสต. หรือท่านอาจเป็นอาสาแรงงานต่างด้าว ท่านมีความหมายอย่างยิ่งต่อพวกผม และพรรคก้าวไกลเวลานี้อย่างมาก”

สำหรับข้อเรียกร้องของตัวแทนบุคลากรสาธารณสุข และกลุ่มหมอไม่ทน ต่อรัฐบาล และองค์การเภสัชกรรม มี 2 ข้อ ได้แก่

1.) เร่งรัดการนำเข้าวัคซีนชนิด mRNA เช่น วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา โดยลดขั้นตอนการดำเนินงานให้กระชับ เร็วที่สุด และพิจารณาเป็นวัคซีนหลักในการควบคุมโควิดในประเทศไทย และนำมาใช้กับประชาชนทุกคน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวมีหลักฐานยืนยันว่ามีประสิทธิภาพที่สุด และสามารถควบคุมสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดหนักในขณะนี้ได้

2.) ต้องเผยแพร่ข้อมูลในการจัดหา และกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้เป็นปัจจุบัน โปร่งใส สม่ำเสมอ และตรวจสอบได้


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9