คุณแองจี้ ธนธร ศิระพัฒน์ | THE STUDY TIMES STORY EP.31

บทสัมภาษณ์ คุณแองจี้ ธนธร ศิระพัฒน์ นักศึกษา คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัย SHANGHAI UNIVERSITY OF TRADITIONAL CHINESE MEDICINE
จากคนที่ไม่ชอบภาษาจีน แต่เพราะสนใจศาสตร์แพทย์จีน จึงก้าวข้ามอุปสรรคได้

ปัจจุบัน คุณแองจี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัย SHANGHAI UNIVERSITY OF TRADITIONAL CHINESE MEDICINE 

จุดเริ่มต้นจากคนไม่ชอบในภาษาจีน สู่นักศึกษาคณะการแพทย์แผนจีน
ตอนอยู่ชั้นม.ปลาย ด้วยความที่คุณแองจี้เป็นคนหน้าหมวยมาก และที่บ้านชอบพาไปเที่ยวที่ประเทศจีน ทุกคนคิดว่าต้องพูดภาษาจีนได้แน่นอน เกิดความไม่ชอบที่มีคนมาตัดสิน ทำให้ไม่ชอบภาษาจีน ไม่ชอบวัฒนธรรม จนลั่นวาจาไว้กับเพื่อนว่า จะไม่ขอเจอภาษาจีนอีกตลอดชีวิต 

ซึ่งในช่วงนั้นคุณแองจี้มีความสนใจอยากเรียนแพทย์ สมัครทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีนที่ประเทศไทย สอบติดทั้งสองที่ แต่ได้แพทย์แผนจีนก่อน คุณพ่อบอกให้ลองเรียนดูก่อนว่าชอบไหม จึงได้เข้าไปเรียนช่วงซัมเมอร์ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ออกหน่วยอาสาแพทย์แผนจีนกับรุ่นพี่พอดี รู้สึกสนุก จนเกิดความชอบและประทับใจ

แพทย์แผนจีนจะเรียนในเรื่องของยาจีน ฝังเข็ม ครอบแก้ว ทุยหนา นวดแผนจีน เป็นหลักองค์ความรู้ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน ซึ่งศาสตร์การแพทย์แผนจีน มีหลักความรู้ที่แตกต่างออกไปจากแพทย์แผนตะวันตก 
 
ช่วงแรกคุณแองจี้เรียนแพทย์แผนจีนอยู่ที่ประเทศไทย โดยปีแรกจะมีการส่งไปเรียนแลกเปลี่ยนด้านภาษาที่เมืองยู่หลิน玉林  YULIN NORMAL UNIVERSITY ก่อน เมื่อขึ้นชั้นปี 2 จะเรียนเกี่ยวกับเนื้อหา ซึ่งช่วงนั้นมีคนแนะนำให้ลองยื่นสมัครทุนเรียนต่อที่เซียงไฮ้ และคุณพ่อเป็นผู้ผลักดันให้ไป อย่างน้อยก็ได้ในเรื่องของภาษา สุดท้ายคุณแองจี้จึงตัดสินใจซิ่วขอทุนไปเรียนต่อ คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัย SHANGHAI UNIVERSITY OF TRADITIONAL CHINESE MEDICINE 

วิธีการเรียน SHANGHAI UNIVERSITY OF TRADITIONAL CHINESE MEDICINE มีความแตกต่างกับไทยคือ ที่จีนจะมีโรงพยาบาลที่มีทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตกรวมไว้ด้วยกัน และด้วยความที่มหาวิทยาลัยอยู่ติดกับโรงพยาบาล คุณแองจี้จึงมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เจอคนไข้จริงมากกว่าที่ไทย ส่วนของเนื้อหาการเรียน จะเรียนเป็นภาษาจีน 100% 

ในเรื่องของการใช้ชีวิตที่ประเทศจีน คุณแองจี้เล่าว่า บรรยากาศที่เซียงไฮ้ทุกอย่างดูศิวิไลซ์ โทรศัพท์เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น บ้านเมืองสวยงาม ไม่มีขยะวางเกลื่อนกลาด

ออกจาก Comfort Zone สู่นักกิจกรรมตัวยง
ช่วงเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยที่ไทย คุณแองจี้มีความกังวลว่าการทำกิจกรรมจะส่งผลกระทบกับการเรียน จึงพยายามเอาตัวเองออกห่างจากกิจกรรม ทำให้กลายเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่กล้าแสดงออก แม้ในการไปเรียนเซียงไฮ้ปีแรก ยังคงติดอยู่ใน Comfort Zone อยู่แต่กับกลุ่มเพื่อนสังคมคนไทย จนรู้สึกว่าบางครั้งการที่เราอยู่ใน Comfort Zone มากเกินไป ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุขกับตรงนั้น ซึ่งคุณแองจี้เจอข้อความหนึ่งในเฟซบุ๊กว่า “อย่าละทิ้งความฝันของตัวเอง เพียงเพราะไม่มีคนไปเป็นเพื่อน” รู้สึกว่าทัชใจ จึงตัดสินใจเปิดตัวเองออกจาก Comfort Zone ไปหากิจกรรมต่างๆ ทำ ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ 

กระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คุณแองจี้ต้องเดินทางกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย มีรุ่นพี่ที่รู้จักชวนไปออกหน่วยอาสา เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่แวดวงอาสา โดยเหตุผลที่เลือกทำกิจกรรมอาสานั้น เพราะรู้สึกว่าได้รับมามากพอแล้ว หลายคนพูดว่าอย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ต้องทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว ซึ่งคุณแองจี้มองว่า นอกจากเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วแล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะนำน้ำที่มีเทไปให้คนอื่นต่อ แล้วเราค่อยเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามา 

เป้าหมายของคุณแองจี้ คือ อยากทำให้คนรู้จักในแพทย์แผนจีนมากขึ้น สิ่งที่มีอยู่เป็นประโยชน์กับทุกๆ คนได้ ในส่วนของการทำอาสาอยากให้ทุกคนมีจุดศูนย์กลางที่จะมารวมตัวกัน และอยากทำเป็นจิตอาสาแบบต่อเนื่อง พัฒนาคุณภาพชีวิตคน 

นอกจากนี้ คุณแองจี้ยังทำช่อง YouTube กูรูวัยเก๋า ซึ่งเป็นรายการที่ทำร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพาไปพูดคุยกับกูรูที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ อีกทั้งเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัย แลกเปลี่ยนความรู้กัน รวมทั้งตีแผ่เรื่องของสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม

คุณแองจี้ฝากทิ้งท้ายสำหรับคนที่อยากเริ่มทำจิตอาสาว่า มันจะง่ายมาก ถ้ามีความรู้สึกว่าอยากทำ แล้วออกไปทำ เริ่มที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง อาสาไม่ได้หมายความว่าจะลงแรงเพียงอย่างเดียว อาจจะช่วยได้ในหลายช่องทาง ถ้าใจเรามา อยากทำอะไรเราทำได้เลย 

.

.

.