“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” มีวาระแอบแฝงปฏิเสธเอกชนช่วยหาวัคซีนชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำเศรษฐกิจไทยทรุดหนักไร้ทางฟื้น
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวบอำนาจในการบริหารสถานการณ์ การแก้ปัญหาการระบาดของวัสโควิด-19 ไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้เกิดการบริหารสถานการณ์ที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้า ส่งผลร้ายทั้งประชาชนและทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ถดถอยไปอีกหลายปี
กรณีที่ภาคเอกชนเสนอตัวเข้ามาช่วยในการจัดหาวัคซีนจำนวนมากกว่า 10-15 ล้านโดส เพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนรวมทั้งเพื่อเปิดทางเลือกให้ประชาชน สามารถเลือกฉีดวัคซีนได้ เป็นเรื่องที่ดี รัฐบาลไม่ควรที่จะปฏิเสธความปารถนาดีของภาคเอกชน เพราะเมื่อรัฐล้มเหลวในการจัดการวัคซีนการที่เอกชนยื่นมือมาช่วยรัฐควรจะดีใจ แต่รัฐเลือกปฏิเสธเพราะอะไร หรือ มีอะไรแอบแฝงในการจัดหาวัคซีนของรัฐ
นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลอ้างว่ากว่าภาคเอกชนจะหาวัคซีนได้ก็น่าจะเป็นปลายปี ซึ่งจะซ้ำซ้อนกับวัคซีนของรัฐบาล รัฐบาลรู้ได้อย่างไร ด้วยศักยภาพของเอกชนเชื่อว่าจัดหาวัคซีนได้เร็วและมีคุณภาพที่ดีกว่าของรัฐบาลแน่นอน เท่าที่ทราบเอกชนมีการติดต่อกับผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ทั้งไฟเซอร์ โมเดน่า และยี่ห้ออื่นๆ เพื่อหาวัคซีนให้ประเทศไทย ดังนั้นการปกิเสธเอกชนเท่ากับการปิดโอกาสรอดชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ
“รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนได้หลัก 10 หลัก100 ล้านโดส และมีการสต็อกไว้ล่วงหน้าอีก 2 ปี นอกจากนี้ยังฉีดให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวประเทศเขาได้เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทย ถึงวันนี้ฉีดวัคซีนแค่หลักล้าน ยังกล้ามาพูดว่าจะฉีดได้ 50 ล้านในปลายปี มันช้ามากคนไทยตายทุกวันและนอนรอความตายทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล อีกหลาย 100 คน อยากถามรัฐบาลมีเหตุผลอะไรถึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากเอกชน หรือมีผลประโยชน์อะไร เพราะเหตุผลที่รัฐบาลอ้างฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลมีอะไรซ่อนเร้นจึงไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นนำเข้ามา การผูกขาดวัคซีนของรัฐบาลจะเป็นตัวฉุดรั้งความเชื่อมั่นของประเทศให้เสื่อมถอยไปหนักกว่านี้ จนยากที่จะกอบกู้ได้” นายสงครราม กล่าว