‘อ.นิด้า’ โพสต์เฟซบุ๊กเรียกสติคนรุ่นใหม่ อย่าหลงเชื่อรัฐบาล ‘ผูกขาด’ สั่งซื้อวัคซีนบ.สยามไบโอไซนส์ ซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พร้อมเผย ‘แอสตร้าฯ’ เลือก ‘สยามไบโอฯ’ ไม่ใช่รัฐจิ้มเอง

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Warat Karuchit ว่า...

คนจำนวนหนึ่ง ที่หลายคนเป็นคนรุ่นใหม่ ควรจะมีความรู้ หาข้อมูลเองได้ แต่กลับไปเชื่อข้อมูลที่มีคนพยายามปั่นตามๆกันว่า รัฐบาลผูกขาด สั่งซื้อวัคซีนกับ บ.สยามไบโอไซนส์ ซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งๆที่ความจริงคือ

1. "คนขาย ไม่ได้เป็นสยามไบโอไซนส์" :  รัฐบาลสั่งซื้อวัคซีนจาก บ.แอสตร้า เซเนก้า ซึ่งก็ยังต้องสั่งตรงกับทางแอสตร้า จนกว่าบ.สยามไบโอไซนส์ จะผลิตเองได้

2. "แอสตร้า เซเนก้า เลือกสยามไบโอไซนส์เอง" : ไม่ใช่รัฐบาลเลือก รัฐบาลเสนอไปหลายแห่ง แต่ แอสตร้า เซเนก้า เลือกเพียงแห่งเดียว เพราะมีศักยภาพสูงพอจะผลิตได้ เนื่องจากสยามไบโอไซนส์ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการผลิตวัคซีน

3. "ผลประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ส่วนตัว" : อีกเหตุผลสำคัญที่แอสตร้า เซเนก้า เลือกสยามไบโอไซนส์ เพราะแม้ว่าเป็นบริษัทเอกชน แต่เป็นเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร ทำให้ขาดทุนมาตลอด แต่เป็นพระราชปณิธานของในหลวง ร.9 ที่จะสร้างรากฐานทางการแพทย์ โดยมีความคล่องตัวในการบริหารแบบเอกชน ไม่ต้องขึ้นกับนโยบายหรือผู้บริหารภาครัฐ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของ Oxford ผู้คิดค้นวัคซีน ว่าบริษัทที่ผลิตวัคซีนสูตรนี้ ต้องไม่ทำกำไร แต่ก็ไม่ขาดทุน  (No Profit, No Loss) คือต้องขายเท่าทุน เพื่อไม่ให้แพงเกินไป และบริษัทอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Oxford ร่วมงานกับแอสตร้า เซเนก้า เพราะยอมรับหลักการนี้

ดังนั้นแม้ว่าในเฟสต่อๆไป เมื่อสยามไบโอไซนส์ผลิตวัคซีนเองได้แล้ว รัฐบาลจะสั่งต่อโดยตรงกับสยามไบโอไซนส์ ก็ยิ่งมีแต่ผลดี เพราะได้ราคาเดิม ไม่มีการโก่งราคาแน่นอน และสะดวกรวดเร็วเพราะผลิตในประเทศได้เอง รวมทั้งมีความมั่นคงยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย เพราะกลายเป็นเราผลิตวัคซีนได้เองประเทศเดียวในอาเซียน นับเป็นโชคอย่างมหาศาลของคนไทยอย่างไม่รู้จะว่ายังไงอีกแล้ว

ส่วนเงินที่รัฐบาลอุดหนุนสยามไบโอไซนส์เพิ่มเติมห้าร้อยกว่าล้าน ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะ 1. นำไปพัฒนาศักยภาพในการผลิตให้สูงยิ่งขึ้น รองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตวัคซีนนี้ 2. เงินก้อนนี้ ประชาชนไทยจะได้คืนมาในรูปแบบของวัคซีน ในราคาเท่าทุน เรียกว่ามีแต่ Win-Win

ส่วนใครที่มัวจับผิดเรื่องไม่ต้องมีดอกเบี้ย ผมว่าคุณก็ใจต่ำไปแล้ว อย่างที่บอกว่า เงินทุกบาทของบริษัทนี้ ก็นำมาพัฒนาและผลิตวัคซีนที่อาจช่วยคุณ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายคุณได้ เป็นบริษัทไทยที่เราควรภาคภูมิใจและต้องเอาใจช่วยบริษัทนี้ ไม่ใช่หาเรื่องจับผิดด้วยอคติ

เรียกว่าสยามไบโอไซเอนซ์ สถานภาพอาจเป็นเอกชน แต่เป็นบริษัทเอกชนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ 100% ซึ่งในประเทศไทย (หรือแม้กระทั่งในอาเซียน) ก็คงมีเพียงบริษัทเดียวนี่แหละที่ทำแบบนี้ได้ คือทั้งมีศักยภาพสูงพอ และไม่แสวงหากำไร และนี่ก็เป็นพระวิสัยทัศน์ของคนบนฟ้า เป็นอีกหนึ่งในมรดกที่นับไม่ถ้วนที่พระองค์ทิ้งไว้ให้กับพวกเราทุกคน

ปล. แล้วถ้าจะกล่าวหาว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ประโยชน์จากดีลนี้ (ซึ่งไม่มีเลย) ลองกดหาข่าวดู แล้วจะทราบว่าตั้งแต่ครองราชย์มาไม่กี่ปี ในหลวงและพระราชินี ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อการแพทย์ไปแล้วหลายพันล้านบาท ทั้งหมดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนไทยทั้งสิ้น


ที่มา: เฟซบุ๊ก Warat Karuchit