โฆษก ศบค. ‘นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ’ย้ำ แอปฯ หมอชนะ ทำให้การสอบสวนโรคง่ายขึ้น เปรียบเป็นพาสปอร์ตผ่านทาง วอน เข้าใจ เห็นใจ อาจสื่อสารผิดพลาด ทำหน้าที่ที่ได้รับให้ดีที่สุด พร้อมยกคำสอน สมเด็จพระสังฆราช ยึดเหนี่ยว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ประชาชนบางส่วนยังไม่มีความมั่นใจในการใช้แอพพลิเคชั่นหมอชนะ ว่า แอพพลิเคชั่นหมอชนะเป็นเครื่องมือในการติดตามตัวเพื่อให้การสอบสวนโรคซึ่งเป็นความยากนั้นง่ายขึ้น เปรียบเหมือนเป็นพาสปอร์ตในการผ่านไปในแต่ละที่ ทำให้ภาครัฐมีความมั่นใจมากขึ้นว่าผู้ใช้งานได้แสดงตัว และเปิดเผยตัวเอง ดังนั้นหากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์ ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าจะมีการเก็บข้อมูลเป็นความลับหรือไม่หรือเปิดเผยมากน้อยเพียงใดนั้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ให้สัมภาษณ์ไว้โดยละเอียดแล้ว เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา

"ที่มีการคาดเคลื่อนในการสื่อสาร โดยเฉพาะในส่วนของโทษตามข้อกำหนดหากไม่ปฏิบัติตามคือ 1.ติดเชื้อ 2. ปกปิดข้อมูล ดังนั้นหากติดเชื้อแล้วมีแอพพลิเคชั่นหมอชนะอยู่แต่จำข้อมูลไม่ได้ก็ไม่ได้แสดงว่าปกปิดข้อมูล ก็จะไปค้นดูจากหมอชนะ พบว่ามีการลงข้อมูลในนั้นอยู่ก็ไม่ผิด แต่ถ้าติดเชื้อแล้วจงใจปกปิดข้อมูล แล้วไม่มีแอพพลิเคชั่นหมอชนะด้วย ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่มีโทรศัพท์สามารถรองรับได้ก็ถือว่าแสดงถึงการเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนควบคุมโรคเข้าข่ายฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ จึงต้องขอความเห็นใจและขอความเข้าใจตน เป็นตัวแทนศบค. จะพยายามสื่อสาร เข้มเกินไปก็ไม่ดีอ่อนเกินไปก็ไม่ได้ ใจจริงอยากเชิญ ทุกคนเข้ามาร่วมมือกันแต่เมื่อสื่อสารออกไปแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจและเจ็บปวดหัวใจเหมือนกัน ที่เห็นในโซเชียลมีเดียออกมาในเชิงทางลบจำนวนมาก แต่เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้รู้สึกดีใจมากที่เห็น ตัวเลขยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นหมอชนะ มีคนดาวน์โหลดในวันที่ 8 มกราคมเพียงวันเดียวเพิ่มขึ้นมา 2 ล้านครั้ง จะว่าอะไรก็ไม่ว่า แต่พอเมื่อวานนี้วันเดียวเพิ่มขึ้นไป 2 ล้านกว่า ก็ลืมความเสียใจและลืมความไม่สบายใจไปเลย ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่เข้าใจและปฏิบัติตามในความเป็นวิกฤตอย่างนี้ ผมคิดคำพูดไม่ทันเพราะบางครั้งข้อมูลเข้ามาจำนวนมากจริง ๆ ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด"

"สิ่งที่ผมอยากฝากทิ้งท้ายคือการพิจารณาตัวเองว่าในฐานะที่มาเป็นโฆษก เป็นคนที่สื่อสารกับประชาชนโดยได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม คือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข มีพื้นที่รับผิดชอบอยู่ในจังหวัดอีสานใต้ หน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่โดยตรงแต่ตำแหน่งโฆษกศบค. เป็นตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นมา แต่ในกรณีที่ผม พูดพาดพิงไปถึงเรื่องภาระของประชาชนเรื่องภาษี ซึ่งเป็นการตัดต่อคำต่าง ๆ แล้วยังระบุว่าไม่ให้ผมรับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม เงินประจำตำแหน่ง ไปทำงานเอกชนอย่างไร ซึ่งผม มาทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่ได้รับเบี้ยประชุมแต่อย่างใด จึงขออนุญาตชี้แจงว่าเราทำงานด้วยใจ ผมมีเงินเดือนของผมเองอยู่แล้ว ดูแลผมในระดับที่พอประมาณ หากมีเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปหารายได้เพิ่มมาจุนเจือครอบครัว แต่ในช่วง โควิด-19 นี้ไม่ได้ไปออกตรวจข้างนอกเลย รายได้ที่ควรจะได้ก็กลับไม่ได้ด้วยซ้ำไป ขอเรียนให้ทราบ โดยไม่ได้ขอความเห็นใจใด ๆ แต่เป็นชุดข้อมูลที่จะต้องชี้แจงให้ทราบ"

"เราเองเป็นข้าราชการในเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และในหน้าที่มีความหลากหลายเหลือเกินจนบางครั้งไม่สามารถโฟกัสในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งเดียวได้ และมาจากสายการแพทย์ สิ่งที่ต้องมาเรียนรู้ และเรียนรู้หนักที่สุดด้านกฎหมาย ความมั่นคง โรคระบาดวิทยา ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้ทางสายงานของตัวเอง เพราะเป็นจิตแพทย์ ก็ได้พยายามทำดีที่สุด มีข้อบกพร่องแน่นอน และผมก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องเรียนรู้ สิ่งที่กระทบมากที่สุดคือที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย โยงผมไปกับการเมือง บอกว่าผมติดในอำนาจ เรื่องการเมือง ซึ่งผมขอบอกว่าผมไม่ได้คิดที่จะไปทางนั้น อยากอยู่หน้าที่ราชการและทำให้ดีที่สุด ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบาย และผมจะทำให้เต็มที่เพื่อประชาชน ผมเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำงานเพื่อประชาชน ผมภูมิใจในความเป็นตัวเอง ดังนั้นตอนนี้มีข่าวคราวทั้งหลายและกระทบไปถึงส่วนตัว ครอบครัว ต้องขอความเห็นใจ"

"ตอนนี้กำลังใจในการทำงานของทุกคนจะต้องมี ผมเองพยายามสร้างให้กับตัวเอง และเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็สร้างขึ้นมาได้เพื่อสู้กับโรค โควิด-19 ให้ได้ และใช้มาตลอด คือ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้เสมอ พร้อมน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระสังฆราช คนที่เกิดมามีแต่คนคอยช่วยเหลือถือว่ามีบุญ แต่คนที่เกิดมาแล้วได้ช่วยเหลือคนอื่น เป็นคนที่มีบุญมากกว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันทำพร้อมพร้อมกันเพื่อเอาชนะ โควิด-19ให้ได้”