Monday, 20 May 2024
CRIMES

‘สืบนครบาล’ รวบ ‘เอส คอลาย’ ลักพาตัวลูกเลี้ยงวัย 12 ปี บังคับเสพยาก่อนข่มขืน ล้างสมองให้เกลียดแม่

(7 ส.ค. 66) พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปฏิบัติการที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น สืบสวน 110 โดย ร.ต.อ. มนตรี เฉลิมวัฒน์, ร.ต.อ. จิรศักดิ์ ว่องไว, ร.ต.อ. ชัยวิทย์ หาญญ์สุวรรณนทีวิทย์, ร.ต.ท. อนันตชัย สัจจพงษ์, ร.ต.ท. เดชาธร ชมศิริ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุด PCT5, สืบนครบาล และเหล่านักเรียนอบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 110 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายวีรยุทธ แสนชัย หรือ ‘เอส คอลาย’ อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 113/2566 ลงวันที่ 25 พ.ค. 66 ข้อหา ‘ความผิดเกี่ยวกับเพศ’ จับกุมตัวได้ที่ ภายในซอยตลาดวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย จ.กรุงเทพฯ จับกุมตัวเมื่อ 6 ส.ค. 66 เวลาประมาณ  10.50 น. ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากชุดสืบสวนนครบาล สืบทราบว่า นายวีรยุทธ แสนชัย หรือ ‘เอส คอลาย’ เดนทรชรในคราบ ‘พ่อเลี้ยง’ ก่อเหตุลูกติดเด็กหญิงอายุ 12 ปี และครอบครัว หลังคบกับแม่ของเด็กหญิงดังกล่าวตั้งแต่ปี 2562 แม่เด็กสังเกตเห็นพฤติกรรมลูกสาวมีสนิทสนมกับสามีมากเกินกว่าพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง มีการหยอกล้อในเชิงชู้สาวกับลูกเลี้ยงดังกล่าวอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งปี 2565 พาลูกเลี้ยงไปอยู่แบบสามีภรรยา ล้างสมองให้เกลียดแม่ตัวเอง ให้ลาออกจากโรงเรียน และให้ตกเป็นธาตุกามอารมณ์ของตนเองโดยไม่สนอนาคตของเด็กแต่อย่างใด ไม่เรียนหนังสือและออกเร่ร่อนไปกับพ่อเลี้ยงดังกล่าว ล่าสุดเดนทรชนรายนี้ได้พาตัวเด็กหญิงออกไปจากบ้านอีกครั้งและพาไปเร่ร่อนบังคับเสพยาเสพติดและลงมือกระทำชำเรา

ผู้เป็นแม่ทราบเรื่องถึงกับใจสลาย ทั้งพยายามติดต่อ ตามหา แต่พ่อเลี้ยงเดนทรชนก็ยังนำโทรศัพท์มือถือของเด็กหญิงดังกล่าวแต่กลับไปขายเพื่อนำมาซื้อยาเสพติดเสพ แม่ไร้ทางออกโพสต์ข้อความประกาศตามหาลูกจนกลายเป็นไวรัล ซึ่งประชาชนต่างช่วยกันแชร์และติดตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็ถึงหู พล.ต.ต.ธีรเดช หรือ ผู้การจ๋อ รายงานให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศอ.ปส.ตร.ทราบ พร้อมส่งมือดีชุดสืบนครบาล และสืบ 110 ติดตามไล่ล่าเดนทรชนรายนี้ทันที โดยทราบเพียงเบาะแสว่า เดนทรชนรายนี้ได้พาเด็กหญิง มาเสพยาภายในชุมชนแห่งหนึ่งย่านธนบุรี

พล.ต.ต.ธีรเดช ส่งกำลังลงพื้นที่ชุมชนต้องสงสัยแบบราบเป็นหน้ากลอง แต่ด้วยสมรภูมิที่คนร้ายได้เปรียบจึงสามารถหลบหนีชุดสืบสวนไปได้ทันควัน เล่นเอาชุดสืบสวนต้องคว้าน้ำเหลวในค่ำคืนแรก หากแต่ชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งกับอีกหนึ่งครอบครัวที่เฝ้ารอความหวังจากเจ้าหน้าที่ ชุดสืบสวนไล่ล่าติดตามร่องรอยเดนทรชนจนพบเบาะแสจากพลเมืองดีรายหนึ่งในตลาดวังหลังซึ่งเห็นคนร้ายเดินกับเด็กหญิงสาวโดยเด็กผู้หญิงมีบาดแผลตามร่างกายจนกระทั่งไปจับกุมตัวได้ที่ ตลาดวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย จ.กรุงเทพฯ และสามารถช่วยเหลือเด็กหญิงดังกล่าวได้ก่อนจะถูกคนร้ายพาหนีลงไปทางภาคใต้ และจากการตรวจสอบประวัติต้องโทษคดีอาญา 13 คดี เช่น เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1, ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1, ลักทรัพย์, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน, ชิงทรัพย์, วิ่งราวทรัพย์ และกระทำพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

จากการสอบสวนนายเอส คอลาย ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองลงมือกระทำชำเราลูกเลี้ยงวัย 12 ปี จริง โดยกระทำโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย และตนได้ไปต่ออวัยวะเพศของตนเองมา เมื่อเวลามีเพศสัมพันธ์ลูกจะบอกว่าเจ็บตลอด และที่ทำไปเพราะความรัก ตอนแรกแค่แอบชอบ แต่พอพูดคุยแหย่กันไปมาก็เริ่มมีความรู้สึกรัก ตอนนี้ไม่ได้รักแม่ของเด็กแล้ว แต่มารักเด็กแทน โดยที่ผ่านมาตนเองเคยถูกจับกุมตั้งแต่วัยเด็ก โดยรวมทั้งหมดถึงปัจจุบันกว่า 13 ครั้ง ในข้อหา เสพยาบ้า, ครอบครองยาบ้า, ครอบครองยาไอซ์, ขับเสพฯ, ร่วมกันชิงทรัพย์ ชิงโทรศัพท์มือถือเด็กนักเรียน, ลักทรัพย์, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน, ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์, พรากผู้เยาว์อายุ 13 ปี ไปเพื่อการอนาจารฯ และล่าสุดโดนข้อหา อนาจารเด็กและอยู่ระหว่างการประกันตัว ตนเองได้ถูกติดกำไร EM แต่ได้ถอดทิ้งไปเพื่อหลบหนีจะไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาล เพราะไม่พร้อมที่จะติดคุก ฝากขอโทษครอบครัวของลูกเลี้ยง ทำให้เกิดเป็นปมด้อยเป็นตราบาปกับเด็ก และยอมรับว่าไม่ได้ไปทำแบบนี้กับเด็กคนอื่นอีกแน่นอน หากเจ้าหน้าที่เผยแพร่ใบหน้าตนไปแล้วมีเหยื่อมาชี้ยืนยัน ยินดีให้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้เลย”

ต่อมาตำรวจได้นำตัวนำส่งศาลอาญาธนบุรีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทางด้านพล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ประวัติคนร้ายรายนี้ถือว่าโชกโชนมากไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด, ชิงทรัพย์, อนาจาร ยาวเป็นหางว่าว เป็นภัยสังคม และจากแผนประทุษกรรมในคดีล่าสุดนี้เรียกได้ว่าไม่เหลือศีลธรรมในจิตใจ กระทำกับเด็กผู้หญิงวัยเพียง 12 ปีที่เป็นลูกเลี้ยงของตนเองได้ และที่ผมรับไม่ได้คือการบังคับให้เด็กเสพยาเสพติดก่อนลงมือกระทำชำเราเด็ก ผมไม่ต้องการให้คนเช่นนี้เพ่นพ่านในสังคม จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน หากพบว่าบุตรหลานของท่านเคยตกเป็นเหยื่อ หรือมีแนวโน้มที่จะถูกคนร้ายรายนี้กระทำมิดีมิร้าย โปรดแจ้งเบาะแสมาที่เราทางเพจเฟซบุ๊ก สืบนครบาล IDMB เรามีเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง และแม้จะไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ สงสว่าง ผบช.น.

‘ตร.’ แยกสอบ 2 ผัวเมียเจ้าของโกดังพลุระเบิด จ.นราฯ เผย ทั้งคู่มีอาการวิตกกังวล ทั้งยอมรับทั้งปฏิเสธ

(6 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี นายสมปอง และ น.ส.ปิยุนุช สามีภรรยา เจ้าของโกดังเก็บดอกไม้ไฟ หมู่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ได้เกิดระเบิดขึ้นสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนของประชาน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 คนถูกจับกุมตัวได้ที่ด่านสะเอดา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หลังหนีไปประเทศมาเลเซีย ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส และพนักงานสอบสวน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้เบิกตัว 2 สามีภรรยา แยกกับสอบปากคำ โดยมีทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งนั่งร่วมสังเกตการการสอบปากคำ 2 สามีภรรยาอย่างใกล้ชิด

ซึ่งคำให้การของ 2 สามีภรรยา โดยภาพรวมยอมรับในบางข้อกล่าวหา และปฏิเสธไม่รู้เห็นในบางข้อกล่าวหา ซึ่งทั้ง 2 คน อยู่ในอาการวิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การถูกจับกุมดำเนินคดี และการสอบสวนในครั้งนี้หากยังไม่ครบถ้วนกระบวนการภายใน 48 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะส่งตัวผลัดฟ้องฝากขัง

ส่วนกรณีเหตุการณ์คาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อนุรุธ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ที่มีการกล่าววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา และการระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นความโชคดีที่คนร้ายได้ซุกซ่อนระเบิดไว้ในรถเก๋ง จำนวน 2 ถัง แต่เกิดระเบิดขึ้นเพียง 1 ถัง ส่วนอีก 1 ถัง กระเด็นออกมาจากตัวรถ ไม่เช่นนั้นบ้านเรือนของประชาชน โดยเฉพาะที่ตั้งฐานจุดตรวจต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งเหตุระเบิดไม่ได้มีเจาะจงแต่ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จังหวัดยะลาและปัตตานี ก็มีเหตุลักษณะเดียวกันนี้เหมือนกัน

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือนภัย!! เพจโรงแรม-ร้านอาหารปลอมระบาดหนัก หลอกเหยื่อโอนเงินค่าจองโต๊ะอาหาร เสียหายกว่า 140 ล้านบาท

(6 ก.ค. 66) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (บช.สอท.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าจากการตรวจสอบในระบบศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ พบผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินค่าสำรองโต๊ะอาหาร สำรองบุฟเฟต์ (Buffet) ผ่านเพจ facebook ของโรงแรม และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันสำคัญต่างๆ จะมีการหลอกลวงจัดโปรโมชันราคาพิเศษ หรือหากมาหลายท่านทานฟรี 1 ท่าน เป็นต้น

ซึ่งมิจฉาชีพยังคงใช้แผนประทุษกรรมเดิมๆ คือ สร้างเพจ facebook โรงแรม หรือร้านอาหารปลอมขึ้นมา หรือใช้เพจ facebook เดิมที่มีผู้ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว ตั้งชื่อหรือเปลี่ยนชื่อบัญชีเพจให้เหมือนกับเพจจริงทุกตัวอักษร หรือใกล้เคียงกัน คัดลอกภาพโปรไฟล์ ภาพหน้าปก เนื้อหา และโปรโมชันต่างๆ จากเพจจริงมาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมถึงการใช้เทคนิคในการซื้อ หรือยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงเป้าหมายที่ค้นหาร้านอาหารให้พบเพจปลอมเป็นอันดับแรกๆ หากไม่ทันสังเกตให้ดีก็จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หากผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแล้ว ก็จะไม่สามารถติดต่อเพจนั้นได้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.66 – 31 ก.ค.66 การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ยังคงมีประชาชนตกเป็นเหยื่อสูงเป็นลำดับที่ 1 มีจำนวนกว่า 7,714 เรื่อง หรือคิดเป็น 49.09% ของเรื่องที่มีการรับแจ้งความออนไลน์เดือน ก.ค. 66 และมีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 140 ล้านบาท

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันการซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ควรระมัดระวัง ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะอาจจะเป็นช่องทางที่ถูกมิจฉาชีพปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมามิจฉาชีพก็ได้ปลอมเพจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล หน่วยงานเอกชนหลอกลวงชักชวนให้ลงทุน ที่พักหลอกลวงให้สำรองค่าที่พัก ร้านค้าหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพเหล่านี้ ไม่หลงเชื่อเพียงเพราะมีชื่อเพจ เหมือนหรือคล้ายเพจจริง หรือเพียงเพราะพบเจอผ่านการค้นหาในเว็บไซต์ทั่วไป หรือพบเจอในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ หรือถูกส่งต่อกันมาตามสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว 9 ข้อ ดังนี้

1.) โรงแรม หรือร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายโอนเงินไปยังบัญชีส่วนตัว หรือบัญชีบุคคลธรรมดา บัญชีธนาคารที่รับโอนเงินควรเป็นบัญชีชื่อโรงแรม หรือร้านอาหาร หรือบัญชีบริษัทเท่านั้น

2.) ควรสำรองโต๊ะอาหารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ หรือผ่านผู้ให้บริการออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ

3.) หากต้องการที่จะเข้าสู่เพจ facebook ใดให้พิมพ์ชื่อด้วยตนเอง และตรวจสอบให้ดีว่ามีชื่อซ้ำ หรือชื่อคล้ายกันหรือไม่

4.) เพจจริงจะต้องมีเครื่องหมายถูกสีฟ้ายืนยันตัวตน หากไม่มีเครื่องหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงไปถึงไลน์ทางการต้องเครื่องหมายโล่สีฟ้า หรือสีเขียวเช่นเดียวกัน (Verified Account)

5.) เพจจริงจะมีส่วนร่วมในการโพสต์เนื้อหา รูปภาพ หรือกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อ

6.) เพจปลอมมักจะมีผู้ติดตามน้อยกว่าเพจจริง และมักจะเพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นาน

7.) ระมัดระวังการประกาศโฆษณาโปรโมชันต่างๆ

8.) ตรวจสอบความโปร่งใสของเพจว่ามีการเปลี่ยนชื่อมาก่อนหรือไม่ สร้างมาเมื่อใด ผู้จัดการเพจอยู่ในประเทศใด

9.) ขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อไปยังโรงแรม หรือร้านอาหารก่อนทำการโอนเงิน ว่าเพจดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ หมายเลขบัญชีถูกต้องหรือไม่ หรือมีการปลอมแปลงเพจหรือไม่

ศาลสั่งจำคุก!! 24 รุ่นพี่ ทำร้ายรุ่นน้องวัย 19 ปีจนเสียชีวิต พร้อมจ่ายเงินเยียวยา ด้านครอบครัวผู้เสียชีวิตจ่อฟ้องแพ่งอีก

(4 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า จากกรณีกลุ่มรุ่นพี่โหด 24 คน ร่วมกันทำร้ายนายพัสยศ ชลภักดี หรือ ‘น้องเปรม’ อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้น ปวส. ปี 1 สาขาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยนวัตกรรมอาชีพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ในกิจกรรมรับน้องจนทำให้น้องเปรมเสียชีวิต เหตุเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2565

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกรุ่นพี่ 24 ราย โดยจำเลยที่ 1-7 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 8 – 24 พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 เดือน แต่จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกจำเลยที่ 1-7 เป็นเวลา 2 ปี 15 วัน ปรับ 500 บาท รอการลงโทษ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 – 24 จำคุกเป็นเวลา 1 เดือน และให้รอการกำหนดโทษ

ทั้งนี้ ศาลมีความเมตตา และให้โอกาสผู้กระทำผิดที่เป็นกลุ่มเยาวชน จึงให้รอการลงโทษ และให้ครอบครัวผู้เสียหายรอรับเงินชดเชยค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดตามคดีความอาญา โดยขั้นตอนต่อไปทางฝั่งทนายความของครอบครัวน้องเปรมจะดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งกับผู้ปกครองของกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่กระทำผิด รวมทั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และกระทรวงอุดมศึกษา โดยจะเรียกร้องให้ชดเชยเยียวยาความเสียหายเป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท

‘ใบเตย สุวพิชญ์’ โร่แจ้งความ โดนแอบอ้างชื่อบริษัทรับงาน  ชักชวนคนเข้าวงการบันเทิง-หลอกเอาเงิน วอนอย่าหลงเชื่อ

(3 ส.ค. 66) เรียกว่ารีบออกมาแจ้งเตือนภัยให้แฟนๆไดรับทราบอย่างด่วนจี๋ หวั่นคนหลงเชื่อ สำหรับนักแสดงสาว ‘ใบเตย สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ’ ภรรยาคนสวยของนักร้องดัง ‘ปั๊บ โปเตโต้’ หรือ ‘ปั๊บ พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข’ โดยล่าสุดเจ้าตัวได้เข้าแจ้งความ หลังถูกมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อบริษัทของตัวเอง จัดหางานนักแสดง Extra นายแบบ นางแบบ

โดย ‘ใบเตย สุวพิชญ์’ ได้โพสต์ภาพตัวเองระหว่างเข้าแจ้งความผ่านอินสตราแกรมส่วนตัว ระบุอแคปชันว่า

"สวัสดีค่ะ วันนี้เตยมีเรื่องเตือนภัยมาแจ้งให้ทุกคนทราบนะคะ ตอนนี้มีมิจฉาชีพแอบอ้างนำข้อมูลบริษัทของเตยไปโพสต์ทาง Facebook ชื่อ นักแสดง Extra งานแสดง นางแบบ นายแบบ งานโฆษณา งานภาพยนตร์ งาน Event โดยเนื้อหาเป็นการชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง และอาจมีการหลอกลวงให้ชำระเงินภายหลัง

เตยและบริษัทขอชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโพสต์ดังกล่าว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวทั้งสิ้นค่ะ ซึ่งตอนนี้ทางเตยได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเรียบร้อยแล้ว หากใครมีเบาะแสสามารถDM ข้อมูลมาได้ที่ IG : pummeimei ได้เลยนะคะ

เตยจึงมาโพสต์เพื่อเตือนให้ทุกคนได้ระวังมิจฉาชีพในอีกรูปแบบนึง เพราะเตยไม่อยากให้ใครหลงเชื่อเพราะอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ในภายหลัง ขอบคุณค่ะ"

เตือนภัย!! เพจโรงแรมปลอมระบาดหนัก ป่วนเขาใหญ่ นักท่องเที่ยวหลงโอนเงินนับร้อยราย เสียหายนับล้าน

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 น.ส.พันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมที่พักในพื้นที่รอบผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ได้รับความเดือดร้อนจากมิจฉาชีพลักลอบปลอมแปลงเพจเฟซบุ๊ก สถานบริการที่พักของผู้ประกอบการ โพสต์หลอกลวงประชาชน ฉวยโอกาสช่วงวันหยุดยาว 6 วัน จะมีนักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนในพื้นที่อำเภอปากช่อง เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างสะดวก ซึ่งมีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินหลายราย

น.ส.พันชนะกล่าวว่า กลโกงของเพจปลอมจะตั้งโปรโมชันราคาที่พักต่ำกว่าความเป็นจริง สามารถสร้างแรงจูงใจโดยง่าย ข้อสังเกตคือเลขบัญชีการโอนเงินมัดจำไม่ใช่ชื่อบริษัทสถานบริการที่พัก แต่เป็นชื่อบัญชีของบุคคล รวมทั้งใช้อุบายต่างๆ นานาเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินค่ามัดจำให้ก่อน จากนั้นเงียบหายไม่สามารถติดต่อได้ ช่วงเที่ยงที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษจากนักท่องเที่ยวจาก จ.ระยอง ถูกเพจปลอมหลอกโอนเงินค่าห้องและค่าประกันร่วม 5,000 บาท ล่าสุดรวบรวมข้อมูลมีผู้เสียหายนับร้อยราย สร้างความเสียหายร่วมล้านบาท

ทั้งนี้ ได้ส่งข้อมูลแจ้งเตือนทางออนไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังทุกช่องทาง โดยแจ้งเตือนและป้องกันผลกระทบเสียหายต่อภาพลักษณ์ และการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของคนในท้องถิ่นได้แนะนำให้นักท่องเที่ยวตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงิน หรือติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงกับสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ‘สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่’ โทรศัพท์ 09-4239-3916 แอดมินยุ้ย

‘ตร.ปคม.’ บุกรวบแอดมินกลุ่มลับ ‘Little Angel’ ขายคลิปลามกอนาจารเด็ก อ้างหาเงินเลี้ยงลูกสาว

(29 ก.ค. 66) พ.ต.อ.กึกก้อง ดิศวัฒน์ ผกก.5 บก.ปคม., พ.ต.ท.กฤตย์ ธีรเวศย์สุวรรณ สว.กก.5 บก.ปคม. นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปคม. จับกุมนายอภิสิทธิ์ อายุ 29 ปี ตามหมายจับศาลศาลจังหวัดพัทยา ที่ 391/2566 ลงวันที่ 27 ก.ค. 2566 ข้อหาครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อ แสวงหาประโยชน์ในทางเพศ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จับกุมได้ที่บ้านพักในพื้นที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

สืบเนื่องจากก่อนหน้าตำรวจ ปคม.ได้จับกุมผู้ต้องหาล่อลวงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มากระทำอนาจารก่อนแอบถ่ายคลิปวีดิโอ แล้วนำไปจำหน่ายทางสื่อโซเชียลต่าง ๆ จึงขยายผลต่อเนื่องจนทราบว่าคลิปจะถูกนำไปเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ลับใช้ชื่อว่า ‘Little Angel’

โดยในกลุ่มดังกล่าวจะมีไฟล์คลิปอนาจารของเด็กสาวมากกว่า 1,000 ไฟล์ เพื่อเรียกเก็บเงินค่าสมาชิก ตั้งแต่รายละ 1-3 ร้อยบาท จึงส่งสายลับแฝงตัวเข้าไป ก่อนทราบว่าแอดมินผู้ดูแลกลุ่มคือ นายอภิสิทธิ์ จึงรวบรวมหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ ก่อนนำมาสู่การตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สอบสวนนายอภิสิทธิ์ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ตั้งกลุ่มไลน์ Little Angel และจำหน่ายสื่อลามกเด็กจริง ส่วนคลิปลามกเด็กตนซื้อต่อมาจากกลุ่มไลน์อื่น และมาตั้งกลุ่มวีไอพี เพื่อหาลูกค้าอีกต่อหนึ่ง จากการกระทำดังกล่าว เพียงเพื่อต้องการเลี้ยงลูกสาววัย 10 ขวบ เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปคม. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘บก.ป.’ บุกทลายแก๊งขนยาข้ามชาติ ยึดเฮโรอีนกว่า 32 กก. ใช้กลวิธีซุกลังไม้หยกแกะสลัก เตรียมส่งไปออสเตรเลีย

(27 ก.ค. 66) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ศราวุธ จันต๊ะวงค์ ผกก.2 บก.ป.พ.ต.ท.นฤทธิ์ ผูกจิตร รอง ผกก.2 บก.ป. แถลงจับกุมนายธีรพงค์ หรือเบนซ์ หนูทอง อายุ 27 ปี นายธีรพงค์ หรืออ๊อด พริกเบ็นจะ อายุ 42 ปี นายจะอื่อ จะสือ อายุ 47 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันพยายามส่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ออกนอกราชอาณาจักรและ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน)” โดยจับกุมนายธีรพงค์ได้ที่ จ.นครปฐม ส่วนนายธีรพงค์ หรืออ๊อด จับกุมตัวได้ที่ จ.สงขลา ส่วนนายจะอื่อ จับกุมได้ที่ จ.เชียงราย

พล.ต.ต.มนตรี เปิดเผยว่า ก่อนหน้าเจ้าหน้าที่รับงานจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนส่งเฮโรอีน หรือผงขาวไปยังต่างประเทศ โดยจะใช้วิธีการซุกซ่อนไปกับเนื้อไม้ที่ใช้ทำเป็นลังสำหรับใส่หยกแกะสลักเป็นรูปปั้นของมงคลต่างๆเพื่ออำพรางการตรวจจับ เพื่อลักลอบส่งไปยังประเทศออสเตรเลีย จึงเร่งแกะรอยสืบหาเบาะแส ก่อนจะตามตรวจยึดเฮโรอีนที่ซุกซ่อนไปกับลังสินค้าดังกล่าวได้จำนวน 11 ลัง ภายในมีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่ 831 ห่อ น้ำหนักรวมกว่า 32 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งหากส่งไปถึงออสเตรเลียได้ มูลค่าก็จะเพิ่มไปถึง 100 ล้านบาท

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวต่อว่า หลังตรวจยึดของกลางได้แล้ว จึงเร่งสอบสวนขยายผลหาที่มาของยาเสพติดดังกล่าว จนทราบว่าหินหยกแกะสลักที่ซุกซ่อนเฮโรอีนนั้น มีต้นทางมาจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เตรียมจัดส่งไปที่ อ.ศาลายา จ.นครปฐม เพื่อพักสินค้ารอขนขึ้นเรือส่งไปยังประเทศออสเตรเลีย จึงรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 รายนี้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ และผู้ควบคุมการขนส่ง

สอบสวน ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากตรวจสอบประวัติพบว่า นายธีรพงค์ หรืออ๊อด นั้นเคยถูกจำคุกถึง 22 ปี 9 เดือน 15 วัน ที่เรือนจำกลางสงขลา ความผิดคดีลักษณะเดียวกันด้วย จึงนำตัวส่ง บช.ปส. สอบสวนขยายผลต่อไป 

‘บิ๊กโจ๊ก’ แจง เป็นหน้าที่ ตม. คุมตัว ‘ทักษิณ’ ส่งศาลตามหมายจับ เผย ยังไร้ข่าวป่วนของกลุ่มการเมือง กำชับเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเข้ม

(27 ก.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เปิดเผย ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับไทยในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ในฐานะอดีต ผบช สตม. ว่า สำหรับกรณีผู้ที่มีหมายจับและคดียังอยู่ในอายุความ ตามหลักการแล้วหมายจับจะแสดงในระบบฐานข้อมูลของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า เมื่อนายทักษิณเดินทางเข้ามาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน ระบบจะปรากฏข้อมูลหมายจับของศาล ให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหน้าด่านตรวจนั้นๆ ทราบทันที หน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคือ จะต้องแจ้งให้บุคคลนั้นทราบ และควบคุมตัวต้องหาส่งให้กับศาลตามหมายจับ

ซึ่งขั้นตอนหลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งศาล ว่า มีคำสั่งดำเนินการอย่างไรต่อผู้ต้องหาขณะเดียวกัน ในกรณีเดินทางเข้าเมืองโดยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แล้วลงจอดในสนามบินอื่น เช่น บน.6 ของกองทัพอากาศ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสนามบินดอนเมือง ก็จะต้องผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองเช่นเดียวกับการทางเข้าเมืองผ่านสนามบินทั่วไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยต่อว่า ส่วนด้านการข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ขณะนี้ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มใดและยังไม่พบการข่าวที่น่ากังวล แต่เจ้าหน้าที่จะเฝ้าระวังไปจนถึงช่วงเวลาที่นายทักษิณจะเดินทางกลับ ตลอดจนช่วงเวลาหลังเดินทางกลับไทยแล้ว

‘ดีเจเพชรจ้า’ แถลงเส้นทางการเงิน หลังถูกโยงคดี Forex-3D ลั่น!! “เรื่องไม่ดี หลอกเงินชาวบ้าน ไม่มีวันทำเด็ดขาด”

(24 ก.ค. 66) ล่าสุด ‘ดีเจเพชรจ้า’ ชี้แจงผ่านไอจี หลังจากที่มีรายงานข่าวว่าทางดีเอสไอ เตรียมออกหมายเรียกให้มาพบเจ้าหน้าที่เพื่อชี้แจง หลังพบเส้นทางเงินเชื่อมโยงกับคดีฟอกเงิน Forex-3D ซึ่ง ‘ดีเจเพชรจ้า’ ได้ออกมาเปิดเผยว่า...

"ผมของแถลงหน่อยนะครับ ก่อนจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ จากข่าวที่ออกมานะครับหลังจากได้รับหมายไปก็ติดต่อเข้าไปสอบถามทราบข้อมูลมา เกี่ยวกับเงิน 50,000 บาท มีการโอนระหว่างบัญชีกันจึงได้ตรวจสอบ และพบว่าเงินนั้นคือการจ้างในการ post ภาพจาก show room รถแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2018 วันที่ 1 พ.ค. 2018 ทางผมมีหลักฐาน สำหรับเรื่องนี้ครับ เรื่องไม่ดี หลอกเงินชาวบ้าน ผมไม่มีวันทำเด็ดขาด ขอบคุณที่กำลังใจครับที่ส่งมา"

นอกจากนี้เจ้าตัวยังเล่าแบบละเอียดในคลิปว่า "ดีเอสไอออกหมายเรียกให้ไปเป็นพยานเรื่อง Forex-3D ผมได้หมายมาแล้วจริง ว่าให้ไปให้การเป็นพยาน เราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเราไปเกี่ยวพันได้ยังไง เพราะส่วนตัวไม่รู้จักคุณอภิรักษ์เลย"

"และไม่เคยทำธุรกรรมแชร์ลูกโซ่อะไรเลย ไม่เคยเชื่อด้วยว่ามันจะได้เงิน และไม่เคยชวน แต่โทรไปถามแล้วบังเอิญว่ามีการโอนเงิน ระหว่างบัญชีของคุณอภิรักษ์ และบัญชีของผม มียอดเงิน 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ปี 2018 มี 1 ยอดถ้วน โอนเข้ามาเมื่อ 5 ปีแล้ว"

"ตอนแรกผมก็งงว่าคุณอภิรักษ์เขาโอนเงินอะไรให้ผม ปรากฏว่าวันที่ 1 พ.ค. 2018 ลองไปย้อนในไอจีว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นไหม ก็ไปเจอวันที่ดังกล่าวจริง ๆ มีการโสพต์ภาพของผมผ่านทางไอจี เป็นภาพเพจโชว์รูมรถ ตอนนั้นทำรายการเกี่ยวกับรถ ซึ่งก็มีการจ้างโปรโมตโชว์รูมที่ชื่อว่า RKK โดยมีลูกค้า 1 ท่านไดเร็กแมสเสจทางไอจี ให้ผมช่วยโปรโมตเพจ เป็นภาพแคปหน้าจอเพจของเขาส่งมาให้ผมโพสต์ ก็ได้ค่าจ้าง 5 หมื่นบาท ก็เป็นอันว่า ผมเพิ่งมารู้ว่าคนที่จ่ายเงินคือ คนชื่ออภิรักษ์ ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่าใครที่เป็นคนติดต่อ DM มา"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top