Friday, 4 July 2025
NEWS FEED

ผุดรายการ 'ถลกข่าว ถลกคน' ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบไม่แบ่งฝ่าย ประเดิม ‘จตุพร & สุริยะใส’ ควบคุมการถกโดย สำราญ รอดเพชร

THE STATES TIMES ผนึก TV Direct แกะกล่องรายการใหม่ 'ถลกข่าว ถลกคน’ ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบเฉพาะกิจช่วงก่อนปิดหีบ ชูคอนเซปต์ ชัดเจน!! เป็นกลาง!! เปิดปรากฎการณ์สังคมไทยยุคใหม่ที่คนไทย ‘ทุกคน-ทุกฟาก-ทุกฝั่ง’ ร่วม 'ถก' กันได้ ประเดิม EP แรกกับอดีต 2 ขั้วสุดต่าง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ และ ‘สุริยะใส กตะศิลา’ ดีเดย์ 15 เม.ย.นี้ 

(12 เม.ย.66) สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) เปิดตัวรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการถกข่าวสุดร้อนแรงในช่วงกระแสการเมือง/การเลือกตั้ง 2566 กำลังระอุ โดยได้สื่อมวลชนอาวุโสสุดเก๋าแห่งวงการ ‘คุณสำราญ รอดเพชร’ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมกับ EP แรก ที่ได้ 2 ผู้คร่ำหวอดทางการเมือง อดีตขั้วการเมืองที่ต่างกันสุดขีด แต่วันนี้ ทั้งคู่สามารถมานั่งถกกันได้ในฐานะ ‘คนไทย’ ที่จะมาช่วยเคลียร์หลากมิติการเมือง และการเลือกตั้ง 66 แบบอินไซด์ ภายใต้เหตุและผลสุดสร้างสรรค์

เริ่มจาก คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตแม่ทัพหลักของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แง้มประเด็นเล็กๆ แต่ก็ชวนให้ตามติดแบบทันควัน ไม่ว่าจะเป็น “จุดยืนพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ทักษิณกับบิ๊กป้อม” หรือแม้แต่ "ลุงป้อม ผู้ส่งท่าทีก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่วันนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น...ส่วน ลุงตู่ ที่บอกเพลียงพล้ำ ตอนนี้อาจพลิกจากแพ้เป็นผู้กำชัย เพราะจุดยืนชัดเจน และการลงมาสู่สนามการเมืองของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อาจทำให้เกมเพื่อไทยเปลี่ยน" เป็นต้น

ส่วนแขกรับเชิญอีกท่านอย่าง ศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็แง้มปมถกที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น “ทิศทางการเลือกตั้งหนนี้ ที่เชื่อว่าจะใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดทุจริตที่มากในอนาคต หรือแม้แต่หลายพรรคต่างเร่งออกนโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นนโยบายที่น่ากลัว เพราะจะมีผลกระทบโยงไปยังเงินคงคลัง และงบประมาณของประเทศ” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวข้อถกเถียงเรียกน้ำย่อย ที่รอคอยคอการเมืองมาร่วมตามติด แบบไม่ควรพลาด!!

ด้าน นายณัฐภูมิ รัฐชยากร Chief Operating Officer THE STATES TIMES กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ ‘ถลกข่าว’ กับทาง TV Direct ในครั้งนี้ ว่า จุดเริ่มต้นในการทำรายการ มาจากข้อสงสัยในประเด็นทางการเมืองมากมายที่สังคมและประชาชนทั่วไปต้องการคำตอบ แต่ยังหามุมมองวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างมีชั้นเชิงให้กับสังคมได้ไม่มาก ขณะเดียวกันนักการเมืองจากพรรคต่างๆ มีทั้งที่คุ้นตาและไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะนักการเมืองหน้าใหม่ ย่อมต้องการพื้นที่แสดงออกทางความคิด หรือ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ ‘ถลกข่าว’ ต้องเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะนี้ 

ผบ.กองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่ชายแดน มอบสิ่งของให้กับ กำลังพล ที่ปฎิบัติหน้าที่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ปี 2566 

วันที่ 12 เมษายน 2566  พลตรีวีระยุทธ  รักษศิลป์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่ชายแดน จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยได้ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของให้กับกำลังพล ณ ร้อย ทหารพราน 2604 ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปยัง จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์  ได้ตรวจเยี่ยม และมอบสิ่งของให้กับกำลังพล ที่ปฎิบัติหน้าที่ในช่วงสงกรานต์ พลตรีวีระยุทธ  รักษศิลป์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เน้นย้ำให้ปฎิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง

ผบ.ตร. ส่งตำรวจดูแลความปลอดภัย

ผบ.ตร. ส่งตำรวจดูแลความปลอดภัย เปิดช่องทางพิเศษ อำนวยการจราจรสงกรานต์ 2566 พร้อมบังคับใช้กฎหมายลดอุบัติเหตุ เริ่มวันแรกเจ็ดวันอันตราย อุบัติเหตุเกิด 278 ครั้ง ตาย 27 ราย จับ 10 ข้อหาหลัก 74,440 ราย เฉพาะเมาขับ 1,734 ราย สาเหตุหลักจากรถเร็ว ส่วนโครงการฝากบ้านฝากแล้ว 2,138 หลัง

วันนี้(12 เม.ย.66 )ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง การดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ว่า “ ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการเน้นย้ำให้ตำรวจ ช่วยดูแลความปลอดภัยทุกมิติ อำนวยการจราจรอย่างเต็มที่ 

ภาพรวมการเดินทางออกของพี่น้องประชาชนสงกรานต์ปีนี้มากขึ้น โดยในวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา จากสถิติปริมาณการเดินทางของกรมทางหลวงและตำรวจทางหลวง พบว่า มีปริมาณรถการเดินทางออกจาก กทม. ถึง 560,432 คัน มากกว่าช่วงปกติถึง 18.3% และมากกว่าสงกรานต์2565 (ปีที่แล้ว) 5.3% โดยเฉพาะถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ มีปริมาณการจราจรหนาแน่นที่สุด 
     ตำรวจทางหลวงมีการเปิดช่องทางพิเศษ ตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยเปิดใน 3 สายทางหลักทั้งถนนพหลโยธิน ทล.1 ช่วงอยุธยา-สระบุรี ถนนมิตรภาพ ทล.2 ช่วงทับกวาง-ปากช่อง และถนนช่องตะโก ทล.348 ช่วงตาพระยา-นางรอง รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง เพื่อส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัย  ส่วนการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ ช่วงปากช่อง-ขามทะเลสอ (M6) เริ่มเปิดใช้แล้วในช่วงเช้าที่ผ่านมา จะทำให้การจราจรสะดวกขึ้น

นอกจากนี้ ให้ตำรวจทางหลวงประชาสัมพันธ์ Live สด สภาพการจราจร ผ่านเพจ “ตำรวจทางหลวง” ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลอีกส่วนหนึ่งด้วย

สำหรับสถิติอุบัติเหตุ ข้อมูลศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สรุปสถิติอุบัติเหตุวันแรกของ 7 วันอันตราย 11 เม.ย.66 เกิดอุบัติเหตุ 278 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 27 ราย ผู้บาดเจ็บ 287 คน สาเหตุเกิดจากขับรถเร็ว 35.25% รองลงมาคือตัดหน้ากระชั้นชิด 24.82%  เมาแล้วขับ 15.83 % จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด จ.ปทุมธานี และเพชรบูรณ์ จำนวน 2 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดคือ จ.พัทลุง ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ 

สถิติการจับกุม 10 ข้อหาหลัก ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของวันที่ 11 เม.ย.66 จับกุมไปแล้ว 74,440 ราย โดยเฉพาะข้อหาขับรถเร็วจับกุม 33,406 ราย จับกุมเมาแล้วขับ 1,734 ราย พื้นที่ ภ.3 จับกุมเมาแล้วขับมากที่สุด 593 ราย “ 

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า “ ในวันนี้ ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.ที่รับผิดชอบงานจราจร ตรวจสภาพจราจรโดยเฮลิปคอปเตอร์ ในจุดที่มีปัญหาจราจรติดขัด และลงตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ ให้คำแนะการปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยร่วมปฏิบัติ  ณ จุดทางลงมอเตอร์เวย์ M6 อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา 

ปลัด ทส. บินด่วน สั่งการดับไฟป่า จ.นครนายก คุมเข้มป้องกันไฟเข้าพื้นที่มรดกโลก อช.เขาใหญ่ 

วันนี้ (12 เมษายน 2566) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) พร้อมด้วย นายอรรถพล เจริญชันษา รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ลงพื้นที่ร่วมกับ นายอุดมเขต ราษฎร์นุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ติดตามสถานการณ์ไฟไหม้ป่าในพื้นที่จังหวัดนครนายก โดยขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) บินตรวจสภาพพื้นที่ป่าที่ถูกไฟไหม้บริเวณรอบจังหวัดนครนายก พร้อมรับฟังสรุปสถานการณ์ไฟป่าในภาพรวม และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนที่เข้าร่วมสนับสนุนปฏิบัติการดับไฟป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 

 

‘อภัยภูเบศร’ โชว์ตำรับ ‘อภัยบี’ กลีบบัวแดงที่ลอนดอน สรรพคุณช่วยให้นอนหลับ-เสริมความจำ ต่างชาติสนใจเพียบ

(12 เม.ย.66) ภก.ณัฐดนัย มุสิกวงศ์ เภสัชกรหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยว่า ในการประชุมวิชาการ 3rd International Congress on Advances in Clinical Research & Trials ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวัน 20 มีนาคมที่ผ่านมา ตนได้ทำการนำเสนอผลการศึกษาโครงการประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของตำรับยาสมุนไพรกลีบบัวแดงต่อความจำในผู้ที่มีสมรรถภาพสมองบกพร่องในระยะต้น ซึ่งพบว่าตำรับอภัยบี (ยาตำรับกลีบบัวแดง) มีความปลอดภัยต่อตับและไตในมนุษย์ที่มีภาวะสมองบกพร่องในระยะต้น เมื่อรับประทานวันละ 2 แคปซูล 2 เวลาหลังอาหาร เช้าและเย็น และมีส่วนช่วยในเรื่องฟื้นฟูความจำได้

ภก.ณัฐดนัย กล่าวว่า การนำเสนอครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักวิจัยต่างชาติเป็นอย่างดี ซึ่งมีการซักถามถึงรายละเอียดของงานวิจัยและงานวิจัยที่จะทำต่อเนื่องในอนาคต โดยสรุปก็คือยาตำรับนี้มีแนวโน้มที่ดีในการต่อยอดเพื่อพัฒนาสู่การรักษาในผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ในอนาคต

สำหรับตำรับอภัยบี ได้ทำการพัฒนาจากองค์ความรู้พื้นบ้านโดยหมอยาพื้นบ้าน และเดิมใช้ชื่อว่ายากลีบบัวแดง ประกอบด้วย กลีบบัวแดง (บัวหลวง) บัวบก และพริกไทยดำ พร้อมทั้งเก็บข้อมูลเบื้องต้นพบว่าช่วยให้นอนหลับดีขึ้นในผู้ป่วย โดยเมื่อปี 2563 รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม พบว่า สารสกัดจากตำรับยากลีบบัวแดง ออกฤทธิ์ต้านกลไกการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือ สมองเสื่อมได้ในหลายกลไกพร้อมๆ กัน (multi target activities) คือ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ปกป้องสมอง ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ที่มีหน้าที่เปลี่ยนความจำระยะสั้นเป็นความจำระยะยาว

อีกทั้ง ยังยับยั้งการสะสมของ amyloid beta peptides และ ยับยั้งเอนไซม์แอซีทิลโคลีนเอสเทอเรส (acetylcholinesterase inhibitors) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาการสลายตัวของสารสื่อประสาทในสมองที่ชื่อแอซีทิลโคลีน (acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความจำของมนุษย์ หากสารสื่อประสาทชนิดนี้ลดลง จะส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ กลไกนี้ของตำรับกลีบบัวแดง เป็นกลไกเดียวกันกับยารักษาสมองเสื่อมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นการช่วยยืนยันองค์ความรู้โบราณที่สัมพันธ์กับการวิจัยสมัยใหม่

“รองต่อ แนะ 3 วิธีอุ่นใจช่วงสงกรานต์ เชิญฝากบ้านกับตำรวจ” 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เชิญชวนประชาชนฝากบ้านกับตำรวจ  ผ่าน 3 ช่องทาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัย ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 นี้

วันนี้ 12 เมษายน 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม โครงการประชารัฐร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0) ในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ โชคชัย และ ดอนเมือง

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ         ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 โดยสั่งการไปยังหน่วยตำรวจทุกพื้นที่ ให้เตรียมความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่นั้น
 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ต่อยอด “โครงการประชารัฐร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” ซึ่งแต่เดิมมีระยะเวลาการดำเนินโครงการเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว เป็นการที่พี่น้องประชาชนซึ่งไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอดส่องดูแลเพิ่มความเข้มในการตรวจตราเฝ้าระวังป้องกันการเกิดเหตุ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้การป้องกันอาชญากรรมมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น 


 
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ เป็นหนึ่งในโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ท่าน ผบ.ตร. เน้นย้ำในการดูแลความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยนำเอาการดำเนินการต่างๆ ประกอบด้วย ฝากบ้านไว้กับตำรวจ , เพื่อนบ้านเตือนภัย , Stop Walk & Talk , สมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรม , อาสาสมัครช่วยงานกิจการตำรวจ และ เทคโนโลยีที่จำเป็นในการสนับสนุนการปฏิบัติงานตำรวจ มาขับเคลื่อนให้ประสบผลสำเร็จ โดยปัจจัยสำเร็จของโครงการอยู่ที่ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขและต่อยอดพัฒนาให้ดีขึ้น นำไปสู่การป้องกันอาชญากรรมแบบยั่งยืน 
สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้านทุกแห่ง แต่หากไม่สะดวกในการไปติดต่อที่สถานีตำรวจ ยังสามารถร่วมโครงการได้ผ่าน แอปพลิเคชั่น “OBS” ได้ทั้ง Google play และ App Store นอกจากนี้ ยังสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน  ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 โดยเมื่อศูนย์วิทยุฯได้รับความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการฯจากประชาชนแล้ว เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูล แล้วส่งรายละเอียดไปยังสถานีตำรวจ เพื่อให้ติดต่อกลับไปยังผู้แจ้งเพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้น
 
“ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขณะนี้มีบ้านประชาชนเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 3,377 หลัง จากทั่วประเทศ  โดยแบ่งเป็น 
1.มาติดต่อที่สถานีตำรวจ 389 ราย 
2.แจ้งผ่านศูนย์ฯ191   18 ราย 
3.ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น OBS  2,970 ราย

ซึ่งหัวหน้าสถานีตำรวจ จะนำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงของผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ มาพิจารณาวางแผนการตรวจตราระวังป้องกันเหตุ และอบรมชี้แจงการออกตรวจตราความเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกฝ่ายตามวงรอบ รวมทั้งสอดส่องความผิดปกติของบ้านที่เข้าร่วมโครงการ และสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน องค์กร ส่วนราชการในพื้นที่ให้มีการเชื่อมโยงทำงานร่วมกัน ก่อให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม
 

‘ไทย’ จับมือ 4 ประเทศ เสนอ ‘เคบายา’ ชุดสตรีพื้นภาคใต้ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ช่วยเสริมความร่วมมือระดับประเทศ

(12 เม.ย.66) นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2566 เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม เสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก โดยให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารนำเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในปี 2567

อธิบดีสวธ. เปิดเผยต่อว่า การนำเสนอมรดกร่วมในครั้งนี้ มีที่มาจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้รับการประสานจากประเทศมาเลเซียผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้ร่วมกันพิจารณาเสนอขึ้นทะเบียนรายการมรดกร่วม (multi-national nomination) เคบายา (Kebaya) ในบัญชีตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative list of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) สวธ.จึงได้เนินการศึกษาข้อมูลทางวิชาการและแนวทางการเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา โดยร่วมมือกับนักวิชาการและชุมชนที่เกี่ยวข้องจัดทำเอกสารตามแบบฟอร์มของยูเนสโก (ICH-02) ให้เป็นไปตามขั้นตอนการเสนอมรดกร่วม ดังนี้

การขอเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ต่อยูเนสโก ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศผู้เสนอหลัก และได้เชิญประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย รวมเป็น 5 ประเทศนำเสนอร่วม ซึ่งทั้ง 5 ประเทศจะร่วมกันจัดทำข้อมูลตามแบบฟอร์ม (ICH-02) มีการคัดเลือกภาพถ่าย และจัดทำวีดิทัศน์ โดยมีการจัดประชุมระหว่างประเทศขึ้น 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 – 3 พฤศจิกายน 2565 (ผ่านระบบออนไลน์) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6 – 8 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ประเทศอินโดนีเซีย และครั้งที่ 3 ในวันที่ 8 มีนาคม 2566 (ผ่านระบบออนไลน์) จากนั้น ประเทศมาเลเซีย จะทำหน้าที่รวบรวมเอกสารจากประเทศที่ร่วมเสนอ เพื่อดำเนินการจัดส่งเอกสารรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ให้ยูเนสโก ตามลำดับ

เคาบายา นี้เป็นองค์ประกอบหลักในวัฒนธรรม การแต่งกาย บาบ๋า – เพอรานากัน ที่ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยในการจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ เคบายา ได้รับความร่วมมือจาก สมาคมเพอรานากันประเทศไทย จังหวัดภูเก็ต เป็นผู้สนับสนุนและจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ตามที่ประเทศมาเลเซียได้ประสานมา พร้อมกับประเทศบรูไนดารุสซาลาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์ ในการเสนอต่อยูเนสโก

ซึ่ง เคบายา เป็นเสื้อสตรีพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายบาบ๋า – เพอรานากัน ในภาคใต้ของไทย เป็นวัฒนธรรมร่วมของกลุ่มคนที่มีเชื้อสายจีนและมลายู กลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนที่มาจากปีนังและมะละกาที่ได้เดินทางเข้ามาค้าขายบริเวณคาบสมุทรมลายู และเข้ามาอยู่ในมณฑลภูเก็ตในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทำให้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมระหว่างผู้เข้ามาและคนในท้องถิ่นดั้งเดิม อันแสดงถึงการอยู่ร่วมกันในความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสันติสุข ทั้งนี้ การสวมใส่เคบายา (Kebaya) ในวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคนี้ นอกจากคุณค่าความสวยงามแล้ว การเสนอเป็นมรดกร่วมที่สอดคล้องคล้ายคลึงกันยังบ่งบอกถึงความผูกพันและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศอีกด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง คลายร้อน ส่งความสุขและความห่วงใย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง คลายร้อน ส่งความสุขและความห่วงใย แจกพัดลมมือถือ ทิชชูเปียกแบบเย็น และน้ำดื่ม ให้แก่ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ)

วันนี้ (วันพุธที่ 12 เมษายน 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยประชาชน ที่สัญจร เดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นการเดินทางในช่วงสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน – ร้อนมาก  จึงมอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมลงพื้นที่แจกจ่ายพัดลมมือถือ ทิชชูเปียกแบบเย็น และน้ำดื่ม ให้กับประชาชน ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) รวม 2,216 ชุด รวมมูลค่า 397,772 บาท (สามแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน) โดยมีอาสาสมัครศิลปิน อาทิ นางสาวอธิชา เทศขำ  (เมย์-อธิชา) และ นางสาวนิภาพร พลไทร (หมามุ่ย-นิภาพร) ร่วมแจกจ่ายให้กับประชาชน ซึงบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น

โรงพยาบาลพญาไท 3 สืบสานประเพณีไทย ทำบุญตักบาตร พรัอมบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องในเทศกาลสงกรานต์

วันที่ 10-11 เมษายน 2566 
นพ.สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 3 เพชรเกษม 19
พญ.วารุณี จินารัตน์ ผอ.แพทย์ นพ.อภิชัย โตวณะบุตร ผช.ผอ.แพทย์ 
น.ส.ณัฐชานันท์ นิธิโชติวรภัทร์ ผอ.ฝ่ายการตลาด
น.ส.นิตยา กฤตธนเวท ผอ.ฝ่ายบริหาร พว.ภาวิณี วัยปัทมะ ผอ.พยาบาล พร้อม แพทย์ พยาบาล พนักงาน ตลอดผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลร่วมสืบสานประเพณีไทย ทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง พร้อมทำพิธีพราหมณ์บวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และสิ่งสักสิทธิ์บริเวณรอบโรงพยาบาลพญาไท 3 เพื่อเป็นศิริมงคล โชคดี มีสุข ให้สุขภาพแข็งแรง ในเทศกาลสงกรานต์ ของปีใหม่ไทย 2566......

ครม.เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม เสนอรายการมรดกร่วม ‘เคบายา’ (Kebaya) ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก

นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖ เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม เสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก โดยให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารนำเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในปี ๒๕๖๗  
 
อธิบดีสวธ. เปิดเผยต่อว่า การนำเสนอมรดกร่วมในครั้งนี้ มีที่มาจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้รับการประสานจากประเทศมาเลเซียผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้ร่วมกันพิจารณาเสนอขึ้นทะเบียนรายการมรดกร่วม (multi-national nomination) เคบายา (Kebaya) ในบัญชีตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative list of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) สวธ.จึงได้เนินการศึกษาข้อมูลทางวิชาการและแนวทางการเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา โดยร่วมมือกับนักวิชาการและชุมชนที่เกี่ยวข้องจัดทำเอกสารตามแบบฟอร์มของยูเนสโก (ICH-02) ให้เป็นไปตามขั้นตอนการเสนอมรดกร่วม ดังนี้  
 
การขอเสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ต่อยูเนสโก ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศผู้เสนอหลัก และได้เชิญประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย รวมเป็น ๕ ประเทศนำเสนอร่วม  ซึ่งทั้ง ๕ ประเทศจะร่วมกันจัดทำข้อมูลตามแบบฟอร์ม (ICH-๐๒) มีการคัดเลือกภาพถ่าย และจัดทำวีดิทัศน์  โดยมีการจัดประชุมระหว่างประเทศขึ้น 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 - 3 พฤศจิกายน 2565 (ผ่านระบบออนไลน์) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ประเทศอินโดนีเซีย และครั้งที่ 3 ในวันที่ 8 มีนาคม 2566 (ผ่านระบบออนไลน์)  จากนั้น ประเทศมาเลเซีย จะทำหน้าที่รวบรวมเอกสารจากประเทศที่ร่วมเสนอ เพื่อดำเนินการจัดส่งเอกสารรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ให้ยูเนสโก ตามลำดับ  
 
เคาบายา นี้เป็นองค์ประกอบหลักในวัฒนธรรม การแต่งกาย บาบ๋า – เพอรานากัน ที่ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยในการจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ เคบายา ได้รับความร่วมมือจาก สมาคมเพอรานากันประเทศไทย จังหวัดภูเก็ต เป็นผู้สนับสนุนและจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอรายการมรดกร่วม เคบายา (Kebaya) ตามที่ประเทศมาเลเซียได้ประสานมา พร้อมกับประเทศบรูไนดารุสซาลาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์ ในการเสนอต่อยูเนสโก  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top