Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

ขอนแก่น-คนอีสานไม่เอา!บุหรี่ไฟฟ้า

รวมพลังภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ 20 จังหวัดภาคอีสาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ "คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า"ย้ำจุดยืน คนอีสานจะร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันประชาชนภาคอีสานทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ


เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 21 เมษายน 2566 ที่ห้องออคิดบอลรูม โรงแรมพูลแมนขอนแก่น ราชา ออคิด จ.ขอนแก่น  นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดประกาศเจตนารมณ์คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า"ภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ 20 จังหวัดภาคอีสาน โดยมี นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ,นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น, ตัวแทนสื่อมวลชนศูนย์ข่าวปลอดควันภาคอีสาน, ตัวแทนเครือช่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่, ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปลอดบุหรี่, ตัวแทนเยาวชน Gen Z Gen Strong เลือกไม่สูบ และตัวแทนผู้รับผิดชอบงานด้านควบคุมยาสูบจังหวัดต่าง ๆ กว่า 200 คน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ "คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" ในงานสัมมนาเรื่อง "คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรมพูลแมนขอนแก่น ราชา ออคิด จ.ขอนแก่น ย้ำจุดยืน คนอีสานจะร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันประชาชนภาคอีสานทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ


นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์ "คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" ครั้งนี้ การระดมทุกภาคส่วนของภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ 20 จังหวัดภาคอีสาน ให้มาร่วมกันรณรงค์ป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้ากับกลุ่มเด็กและเยาวชนถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าขยายวงกว้างไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยคำประกาศเจตนารมณ์ "คนอีสานไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" มีแนวทางดังนี้1. พวกเราจะร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันประชาชนภาคอีสานทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ  2.พวกเราจะร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในโรงเรียน และสถานศึกษาทุกระดับ เพื่อป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดของเด็กและเยาวชนภาคอีสาน โดยการบังคับใช้กฎหมายการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด 
3.พวกเราจะร่วมกันสื่อสารข้อมูล เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนภาคอีสาน ได้รับรู้ถึงอันตรายของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า และรู้เท่าทันกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยาสูบ 4.พวกเราจะร่วมกันสร้างกลไกขับเคลื่อนงานของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมให้เกิดการเชื่อมประสานการทำงานในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง 5.พวกเราจะดำเนินการป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นวาระแห่งชาติ และประกาศเจตจำนงที่ชัดเจนในการสนับสนุนให้รัฐบาลคงนโยบาย และมาตรการในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ส่งคำอวยพรพี่น้องชาวไทยมุสลิม เนื่องในโอกาสวันฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี​ ฮ.ศ.1444

พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวอวยพร​ชาวไทยมุสลิม เนื่องในโอกาสวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 “ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามทุกท่าน ที่ประสบความสำเร็จจากความเพียรพยายามปฏิบัติศาสนกิจถือศีลอดตลอดห้วงเดือนรอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 ที่ผ่านมา ขอให้ผลจากความอดทน และความพากเพียรของทุกท่าน จงได้รับการตอบรับ และได้รับความโปรดปรานจากองค์อัลลอฮฺ ขอให้ท่านได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทั้งปวง มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาว เพื่อที่จะได้พบกับรอมฎอนในปีถัดไป ในโอกาสวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตรินี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ท่านจะได้ร่วมเฉลิมฉลองและแสดงความยินดีและขออภัยต่อกันในสิ่งที่ได้ล่วงละเมิดจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะได้เดินทางออกไปพบปะเยี่ยมเยียนญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อส่งมอบความสุขซึ่งกันและกัน" 

"ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 4 และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้จัดเตรียมกำลังพลและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ท่าน ให้สามารถเดินทางสัญจร ด้วยความคล่องตัว และปลอดภัย ปรับลดมาตรการความเข้มงวดของจุดตรวจ ด่านตรวจ ให้เป็นจุดอำนวยความสะดวก เพื่อที่ท่านจะได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งในโอกาสเทศกาลวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตริในปีนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทั้งหญิงและชาย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นความสวยงามของสังคมพหุวัฒนธรรมร่วมกันจัดกิจกรรมที่แสดงออกถึงความรักในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันจะส่งผลให้สังคมของเรามีความน่าอยู่เกิดความกลมเกลียว ความสามัคคี และมีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป" 

 "ขอวิงวอนต่อองค์อัลลอฮฺ ได้โปรดประทานพรให้พี่น้องประชาชนทุกท่าน ประสบแต่มีความสุข ความเจริญ สมความปรารถนา มีความอิ่มเอมใจ คลาดแคล้ว จากอุบัติภัยทั้งปวง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอให้ปราศจากเหตุการณ์ความรุนแรงในเร็ววัน เพื่อความสันติสุขของพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน ตลอดไป สลามัตฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี…"🎉🎉

#สลามัตฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์
#กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า
ข่าว.แวดาโอ๊ะ​ หะไร​  จ.นราธิวาส

เปิด 6 สิ่งที่ห้ามลืม!! ทิ้งไว้บนรถ เมื่อจอดกลางแดด หากปล่อยไว้ อาจเกิดอันตรายต่อรถ-ผู้ขับขี่

‘จอดรถกลางแดด’ ระวังให้ดี กรมการขนส่งทางบก เปิดข้อควรรู้ สิ่งของ 6 ประเภทดังต่อไปนี้ ห้ามลืม ห้ามทิ้ง ไว้ในรถกลางแดดเป็นเวลานาน ๆ เพื่อความปลอดภัย

(21 เม.ย.66) โดยทางด้านเพจเฟซบุ๊ก กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News ได้ระบุข้อมูลว่า ประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว แดดแรงเกือบตลอดทั้งปี คงหลีกเลี่ยงไม่ได้หากมีเหตุจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลานาน ๆ จนภายในตัวรถร้อนระอุ เพื่อความปลอดภัย ป้องกันไม่ให้รถเกิดความเสียหาย เพราะวัสดุบางชนิดไวต่อความร้อน

ดังนั้น สิ่งของไม่ควรลืมไว้ในรถเมื่อจอดกลางแดด มีดังนี้

1. แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank)
ความร้อนอาจทำให้แบตเตอรี่สำรองเสื่อมประสิทธิภาพได้ มีอายุการใช้งานสั้นลง เช่น ชาร์จเข้าโทรศัพท์ได้ช้าลง หรือชาร์จได้จำนวนรอบไม่เท่าเดิม

2. โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค หรืออุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ทุกชนิด
ความร้อนอาจทำให้วงจรภายในได้รับความเสียหาย เสี่ยงต่อการช็อตและระเบิดได้

3. สเปรย์แอลกอฮอล์ สเปรย์กระป๋อง
ความร้อนทำให้แก๊สในกระป๋องขยายตัว มีแรงดันสูงขึ้นจนเกิดการระเบิดได้

4. ไฟแช็ก
เป็นสารเคมีอันตราย ที่ไม่ควรโดนความร้อน

5. แผ่นยางกันลื่นหน้ารถ
หากโดนแดดเผาจนละลาย จะกลายเป็นคราบเหนียวติดคอนโซลหน้ารถ

6. ยา
แสงแดด ทำให้ตัวยาเสื่อมสภาพ คุณสมบัติในการรักษาลดลงหรือเสียไป และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้

https://www.topnews.co.th/news/671862?izo=&utm_source=izooto&utm_medium=push_notifications&utm_campaign=%22%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%94%22%20%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%206%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%20%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96%20%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซับน้ำตา บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนโรงปูนฝั่งเหนือ เขตห้วยขวาง มอบเงินสดพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวมมูลค่ากว่า 5 แสนบาท

วันนี้ (21 เมษายน 2566 ) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล  รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนโรงปูนฝั่งเหนือ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จำนวน 34 ครอบครัว 119 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,000 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัว 34 ชุด รายบุคคล 13 ชุด ในการนี้ มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล มอบเงินสดคนละ 400 บาท จำนวน 119 คน และมูลนิธิพุทธสมาคมปทุมรังษี  ได้มอบข้าวสารให้คนละ 10 กิโลกรัม จำนวน 119 คน  คิดเป็นมูลค่าการช่วยเหลือทั้งสิ้น 526,950 บาท 

โดยมี นายอุกฤษฏ์ องตระกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง ร่วมในพิธี  ณ  บริเวณชุมชนโรงปูนฝั่งเหนือ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต 
“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” 
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

‘สื่อสิงคโปร์’ ตีข่าว!! ไรเดอร์ประสบอุบัติเหตุ หวั่นรายได้หาย เหตุส่งของไม่ทัน ตำรวจรับไม้ต่อส่งอาหารถึงมือลูกค้า

(21 เม.ย.66) เว็บไซต์ นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอข่าว Thai policeman delivers Grab order on behalf of rider who faints and crashes his bike ระบุว่า ที่ประเทศไทย ชายวัย 45 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างส่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน หรือไรเดอร์ ประสบอุบัติเหตุบนถนนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ลูกสาวที่ซ้อน จยย. มาด้วยกันไม่ได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยนำอาหารนั้นไปส่งให้ลูกค้าเป็นที่เรียบร้อย เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ชนะสงคราม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา 


รายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นในไทย ไม่ได้ระบุชื่อ-นามสกุล ของ 2 พ่อลูกดังกล่าว แต่คาดว่า สาเหตุของอุบัติเหตุน่าจะเกิดจากผู้เป็นพ่อเป็นลมเนื่องจากอดนอนและอากาศที่ร้อนอบอ้าว ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาช่วยส่งอาหารให้ถึงมือลูกค้า ทราบชื่อคือ Kritsanachai Sicharoen โดยบอกลูกสาวของผู้บาดเจ็บให้พาพ่อไปโรงพยาบาล ส่วนตนเองจะนำอาหารไปส่งให้ เพื่อไม่ให้ทั้งคู่ต้องกังวลเรื่องรายได้ และเมื่อส่งเรียบร้อยแล้ว ยังนำกระเป๋าใส่อาหารของไรเดอร์ไปฝากคืนให้ผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลด้วย

เรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊ก Tanya Tanyasiri ขณะที่ในเวลาต่อมา วันที่ 20 เม.ย. 2566 เพจเฟซบุ๊กของ สน.ชนะสงคราม ยังระบุว่า ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไปช่วยไรเดอร์ที่ประสบอุบัติเหตุ ส่งอาหารจนถึงมือลูกค้า ได้รับมอบรางวัลในโครงการ "ทำดี ทำได้ ทำทันที" อีกด้วย โดยมีประชาชนแสดงความคิดเห็นชื่นชมความมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจผุ้นี้ และอยากให้ประเทศไทยมีตำรวจแบบนี้มากๆ


ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/725886

โฆษก ทร. แจง กรณีรีสอร์ทหรู บนเขาช่องแสมสาร ไม่ยอมรื้อถอน ภายหลังครบกำหนด 30 วัน

พลเรือเอก ปกครอง  มนธาตุผลิน  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชน ได้นำเสนอข้อมูลข่าวสารกรณี รีสอร์ทหรู  Star Oversea บนยอดเขาในพื้นที่ช่องแสมสาร อ.สัตหีบ.จ.ขลบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้มีการยื่นเรื่องขอใช้ที่ดินในบริเวณดังกล่าว เพื่อก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตร แต่ ได้ทำผิดสัญญาโดยนำมาทำเป็นรีสอร์ทหรู ซึ่งกองทัพเรือโดยฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ดำเนินการแจ้งความและลงบันทึกประจำวัน ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสัตหีบพร้อมทั้งประสานไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าของกิจการ ให้หยุดการประกอบธุรกิจซึ่งปัจจุบัน ทางรีสอร์ทได้ หยุดการดำเนินกิจการ พร้อมทั้งปิดการให้บริการอย่างถาวร พร้อมทั้งสั่งให้มีการรื้อถอนให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน แต่จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันซึ่งเลยกำหนดระยะเวลา 30 วันแล้ว ทางรีสอร์ท ยังไม่ได้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแต่อย่างใด  
โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษและแจ้งความดำเนินคดีกับทางรีสอร์ทพร้อมทั้ง องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยเร่งให้มีการรื้อถอนให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน  ซึ่งมีกำหนดครบ 30 วันไปเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา  ทั้งนี้จากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจพื้นที่ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 พบว่าทางรีสอร์ท ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามและยังคงเข้ายึดถือครอบครองที่ดินทับซ้อนกับที่ราชพัสดุ

ดังนั้น ฐานทัพเรือสัตหีบ จึงได้มีหนังสือไปยังสำนักงานพระธรรมนูญทหารเรือเพื่อให้ดำเนินการฟ้องขับไล่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในคดีแพ่ง ส่วนคดีอาญาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรอำเภอสัตหีบจะเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องกับทางเจ้าของกิจการต่อไป


นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0908535645 
สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ

‘คุณหญิงกัลยา’ หนุนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เตรียมพร้อมมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการศึกษาโลก

(21เม.ย.66) ดร.คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการระดับชาติ ‘2 ทศวรรษแห่งการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพการศึกษา’ พร้อมด้วย ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ รักษาการประธานกรรมการ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 23 สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

ดร.คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการศึกษาและได้มุ่งปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้กระทบถึงการสร้างและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงจำเป็นต้องมาระดมความคิดกันว่าอยากจะเห็นประเทศไทยพัฒนาคนไปในทิศทางใด จึงจะทำให้เด็กมีความสุขและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้

โดยเรื่องนี้เป็นภาระของคนรุ่นเราที่ต้องทำให้ได้ภายในเวลารวดเร็ว สอดคล้องกับเป้าหมายการศึกษาโลก คือ เด็กต้องเรียนอย่างมีความสุข ระหว่างเรียนมีรายได้ เรียนจบแล้วมีอาชีพ สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ทันสมัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเราจะไปถึงตรงจุดนั้นได้เร็วได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและการประเมินคุณภาพการศึกษา

เชียงใหม่-กสศ.จัดกิจกรรม​“Thank You Teacher ขอบคุณครูทุนเสมอภาค” ครั้งที่ 1 พร้อมแลกเปลี่ยนบทเรียนการทำงาน

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 เวลา 10.30 น. ที่โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ กสศ.จัดกิจกรรม​ “Thank You Teacher ขอบคุณครูทุนเสมอภาค” กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข สัญจรใน 4 ภูมิภาค เพื่อสร้างสัมพันธ์เครือข่ายการทำงานระหว่างครูทุนเสมอภาคในระดับภูมิภาคจากทุกหน่วยงานต้นสังกัดใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ และเพื่อขอบคุณครูทุนเสมอภาค พร้อม​ร่วมแลกเปลี่ยนบทเรียนการทำงาน ตลอดจนเสริมศักยภาพ ในการดำเนินงานภายใต้โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขผ่านกระบวนการจัดกิจกรรมโดยมีทีมงานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสตาร์ทโค้ช กสศ. เข้าร่วมจัดกิจกรรมในครั้งนี้

นางสาวสุชาดา จัตุรภุชพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ) เผยว่า กสศ. จัดกิจกรรม​ “Thank You Teacher ขอบคุณครูทุนเสมอภาค” กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข สัญจร ครั้งที่ 1  ระหว่าง​วันที่ 21 - 22 เมษายน 2566 ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีครูในพื้นที่ ภาคเหนือเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 114 คน จาก จังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ และพิจิตร 

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณคุณครูที่ร่วมสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนผ่าน “โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข” หรือ “ทุนเสมอภาค” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมสร้างเครือข่ายครูทุนเสมอภาคระดับภูมิภาค อีกทั้งเป็นการทบทวนและถอดบทเรียนการดำเนินงานโครงการทุนเสมอภาค และเพื่อเป็นการสื่อสารและรับรู้ถึงสถานการณ์และผลลัพธ์สำคัญของโครงการทุนเสมอภาค และในครั้งต่อไป ครั้งที่ 2 จัดที่ ภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา  ที่โรงแรม หรรษา เจ บี ระหว่างวันที่ 28 - 29 เมษายน 2566, ครั้งที่ 3 จัดที่ ภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี ที่โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ ระหว่างวันที่ 19 - 20 พฤษภาคม 2566 และ ครั้งที่ 4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น ที่ โรงแรม le cassia ระหว่างวันที่ 26 - 29 พฤษภาคม 2566

นางสาวสุชาดา กล่าวอีกว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ)เป็นกองทุนที่มีภารกิจหลักคือสร้างความเสมอภาคให้การศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีการทำงานใน 3 ลักษณะ เป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือโดยตรง ของทุนเสมอภาคจะเป็นกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับคุณครูทั่วประเทศเพื่อคัดกรองช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่อยู่ในภาวะยากจนพิเศษ ซึ่งตรงนี้เด็กนักเรียนจะได้รับทุนเสมอภาคเมื่อผ่านการคัดกรองจะได้รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อให้นักเรียนอยู่ในระบบการศึกษาภาคบังคับให้ได้นานที่สุดตามศักยภาพของตัวเด็กนักเรียนเอง 

ส่วนในเรื่องของการทำงานเรื่องของคุณภาพการศึกษาร่วมกับโรงเรียนพัฒนาครูโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ อันนี้มีการทำงานกับโรงเรียนขนาดกลาง 700 โรงเรียนทั่วประเทศ แล้วในส่วนของการวิจัยพัฒนาเพื่อที่จะทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย กสศ.อยู่ในฐานะที่เป็นตัวเร่งให้กับทางระบบทั้งภาครัฐและภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเองด้วยได้มาร่วมมือกันเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ทางการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง

พัฒนชัย/เชียงใหม่

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเทศบาลเมืองสัตหีบ กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อการพัฒนาเมืองสัตหีบสู่ความเป็น 'เมืองอัจฉริยะ'

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.66 ที่ห้องประชุม อบจ.ชลบุรี สัตหีบ ร่วมใจ อำเภอสัตหีบ ได้จัดให้มีพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ระหว่างบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กับเทศบาลเมืองสัตหีบ โดยได้รับเกียรติจาก นายสุนทร มูเนาวาเราะ นายอำเภอสัตหีบ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่าง นายณรงค์ บุญบรรเจิดศรี นายกเทศมนตรีเมืองสัตหีบ กับ นายปิยะ รัชตวรคุณ ผู้จัดการฝ่ายประจำรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มขายและปฏิบัติการลูกค้าภาคตะวันออก ตัวแทนจาก บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (จำกัดมหาชน) โดยมีนายสุนทร มูเนาวาเราะ นายอำเภอสัตหีบ และนายพงศกร เหราบัตย์ ผู้จัดการส่วนประจำ รักษาการผู้จัดการฝ่ายขายปฏิบัติการลูกค้าภาคตะวันออกตอนล่างร่วมลงนามเป็นพยาน 

นายสุนทร มูเนาวาเราะ นายอำเภอสัตหีบ กล่าวว่า ความก้าวหน้าของนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงความเจริญเติบโตของเมืองในพื้นที่จังหวัด EEC เมืองอื่น ๆ ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สภาพสังคมและวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City จึงเป็นคำใหม่และเป็นคำที่เราพบเห็นได้ยินกันอย่างแพร่หลายในระยะเวลาไม่นานนี้ นั่นก็เพราะว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญและกำลังเดินหน้าพัฒนาเมืองต่าง ๆ ไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ สัตหีบเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองแห่งฐานทัพเรือ มีทะเลที่สะอาด สวยงาม มีประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เหมาะแก่การเป็นที่พักอาศัย จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาเมืองให้มีความปลอดภัย มีการเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ระหว่างเทศบาลเมืองสัตหีบ กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเมืองสู่ความเป็น Smart City

รองชินภัทรลงพื้นที่บ้านหนองวัวซอ จ.อุดรธานี ติดตามโครงการชุมชนยั่งยืน แก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามนโยบาย ผบ.ตร.

วันที่ 21 เมษายน 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร.) พร้อมด้วยพล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมนึก  น้อยคง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพสิทธิ์  มิตรภักดี รอง ผบก.ปส.1 บช.ปส. พ.ต.อ.อาทร ชิ้นทอง รอง ผบก.ปส.3 บช.ปส. พร้อมด้วย พ.ท.พุดสวาด สูนทะลา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด กับคณะหน่วยปราบปรามยาเสพติดของ สปป.ลาว และนายคณิศร ภาพีรนนท์ ทูต ปปส.ประจำ สปป.ลาว มาศึกษาดูงานโครงการฯ

ตรวจติดตาม การดำเนินการ โครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ สภ.หนองวัวซอ ภ.จว.อุดรธานี เพื่อเป็นแบบในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ของทั้ง 2 ประเทศ ณ วัดโนนสว่าง อ.หนองวัวซอ จว.อุดรธานี มีรายละเอียดดังนี้

1. สภ.หนองวัวซอ ได้แสวงหาความร่วมมือกับ พระครูพิพัฒน์วิทยาคม เจ้าอาวาสวัดโนนสว่าง ในการดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนฯ โดยในขั้นตอน บำบัด ฟื้นฟู ใช้รูปแบบ และกระบวนการเดียวกับ โครงการ บำบัดแก้ไข ฟื้นฟู เด็กและเยาวชน ในศูนย์ฝึกและ อบรมเด็กและเยาวชน เขต 4 ซึ่งทางวัดโนนสว่างเป็น ผู้ดำเนินโครงการ และเป็นที่ยอมรับว่า เป็นการ บำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยมีรูปแบบดังนี้
1.1 การดูแลความเป็นอยู่ เสมือนคนในครอบครัว ให้ความรัก ความเมตตา พักอาศัยและกินอยู่ร่วมกัน
1.2 การฝึกฝนเด็ก เน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม  ศิลปวัฒนธรรม และดนตรี ในการกล่อมเกลาจิตใจ
1.3 การดูแล ช่วยเหลือ ด้านการศึกษา , การฝึกอาชีพ ทำกลอง, ตีกลอง และการแสดง มีรายได้เป็นเงินขวัญถุง
1.4 การติดตามประเมินผล ต่อเนื่อง 5 ปี เด็กและเยาวชน กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ร้อยละ 1 ถือได้ว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top