Monday, 13 January 2025
NEWS FEED

อวสาน 'ทริปน้ำไม่อาบ' จับตัวการชักชวน ขยายผลจับยาบ้ากว่า 15 ล้านเม็ด พบมีการหาเครือข่ายทั้งผู้ซื้อ ผู้ขายยาเสพติด โดยใช้ออกทริปบังหน้า  

(27 ธ.ค. 67) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น การแข่งรถ หรือความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วย พล.ต.ต.สารนัย คงเมือง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ , พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 ขยายผลผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทาง เครือข่ายทริป “น้ำไม่อาบ” นำไปสู่การจับกุมยาบ้ารวมกว่า 15.6 ล้านเม็ด (เครือข่าย RNC8) พบว่ามีการหาเครือข่ายทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ใช้ออกทริปบังหน้า  

พล.ต.ท.สำราญฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินคดีเด็ดขาดกับกลุ่มออกทริป 'น้ำไม่อาบ' ย้ำ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” ได้มอบหมาย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. กำกับดูแลงานป้องกันและปราบปราม ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เมลาย รัชดา” ชักชวนทำให้มีการรวมกลุ่มของการขับขี่รถจักรยานยนต์ในลักษณะที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนอย่างมาก ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 7 ปี มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตซึ่งเกิดจากกลุ่มผู้ออกทริปเป็นประจำทุกปี คณะทำงานฯ ได้ออกประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนตามเส้นทางให้ขับขี่เคารพกฎจราจร แต่ยังมีการฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาแข่งรถในทางฯ จากการสอบสวนทราบว่ามาร่วมทริป“น้ำไม่อาบ” จึงได้สั่งการให้คณะทำงานฯ ดำเนินการรวบรวมข้อมูล  เพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้เชิญชวนส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างแพร่หลายในสังคมออนไลน์ ต่อมาได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหา และ นายเมธาฯ หรือ “เมลาย รัชดา” และภรรยา คือ น.ส.วิริยาฯ  เจ้าของเพจ “เมลาย รัชดา แฟนเพจ” เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดฐานชักชวนให้มีการแข่งรถในทางฯ จากข้อมูลและผลการปฏิบัติดังกล่าว จะได้เป็นแนวทางในการมอบหมายให้ทุกหน่วยทั่วประเทศดำเนินการในการเฝ้าระวัง และสืบสวนติดตามจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในทุกรูปแบบที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 03.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.6  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร นปส.ขกท.ศปก.ทบ.(สปข.ขกท.ศปก.ทบ.) และ ขกท.ศปก.ทภ.1 ร่วมจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ นายวีรเทพฯ พร้อมของกลาง ยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงกระสอบ จำนวนประมาณ 78 กระสอบ กระสอบละประมาณ 200,000 เม็ด รวมจำนวนยาบ้า ประมาณ 15,600,000 เม็ด ซึ่งจากคำให้การของผู้ต้องหา พบว่าจุดเริ่มต้นที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด คือมีคนชักชวนผ่านทางการพนันตามสนามแข่งรถ หรือจัดทริปขับขี่รถจักรยานยนต์ออกเที่ยวตามต่างจังหวัดในสถานที่ต่างๆ โดยแต่ละครั้งที่มีการรวมตัวกัน จะมีบุคคลซึ่งเป็นระดับสั่งการหรือนายทุนมาร่วมกิจกรรมด้วย ซึ่งเป็นเหมือนการพบปะ หรือจัดเลี้ยงของกลุ่มขบวนการยาเสพติดไปในตัว โดยใช้การออกทริปหรือไปท่องเที่ยวเป็นกลุ่มด้วยกัน เป็นการสังสรรค์ ประสานงานกัน สั่งการในเรื่องซื้อขายยาเสพติด ซึ่งล่าสุดคือทริป “น้ำไม่อาบ” ที่เพิ่งผ่านมา

พล.ต.ท.สำราญฯ ย้ำว่า นโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปราบปรามแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ รวมถึงความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ สามารถแจ้งเบาะแสเหตุได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'เฉลิมชัย' หนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพลังงานสะอาด ลดโลกร้อน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย Mr.Harry Xiao ผู้อำนวยการใหญ่ประจำประเทศไทย Mr.Benson Ke ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาดและการขาย นายสินชัย ลีธนาเศรษฐ ผู้บริหารงานด้านรัฐกิจสัมพันธ์ และนายประวิทย์ วิจิตรธนกูล ผู้จัดการฝ่ายพาณิชย์ ที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

ในโอกาสขอเข้าพบเพื่อแนะนำตัวและหารือถึงแนวนโยบายในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนอกประเทศเป็นที่แรกของ BYD ที่มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยและมีแผนในอนาคตที่จะส่งออกจากไทยประมาณ 40% ในการนี้ ดร.เฉลิมชัย  กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยินดีให้การสนับสนุนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน (26 ธันวาคม 2567)

ธีรรัตน์ ตรวจด่านโคราช ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ - ฝากความห่วงใยประชาชนช่วงปีใหม่ 2568 พร้อมมาตรการลดอุบัติเหตุ

(27 ธ.ค.67) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนในเขตตำบลหมูสี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายสุรพันธ์ ศิลปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยข้าราชการ ผู้นำท้องที่ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้การต้อนรับ

การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 รวมถึงแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีปริมาณการเดินทางสูงกว่าปีก่อน

"ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ความเสียสละและความทุ่มเทของท่าน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังอุบัติเหตุ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัยทุกคน"

จากสถิติปี 2567 มีอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น 2,288 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 2,307 คน และเสียชีวิต 284 คน โดยสาเหตุสำคัญคือการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด รัฐบาลจึงตั้งเป้าลดอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ 2568 และได้ขยายระยะเวลาการเฝ้าระวังจาก 7 วัน เป็น 10 วัน ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 พร้อมมาตรการลดอุบัติเหตุที่สำคัญ ได้แก่

1. รณรงค์งดดื่มแอลกอฮอล์และขับขี่ยานพาหนะ
ประชาสัมพันธ์สโลแกน “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” พร้อมปลูกจิตสำนึกผู้ขับขี่ให้ตระหนักถึงความปลอดภัย

2. เพิ่มด่านชุมชนและด่านครอบครัว
ขยายการตั้งด่านตรวจในชุมชน โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

3. ตรวจเข้มปริมาณแอลกอฮอล์
บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสอบสวนและขยายผลทันที

นางสาวธีรรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า
"ปีใหม่ปีนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย ได้กลับไปพบหน้าครอบครัวคนที่เรารัก เติมพลังใจหลังจากทำงานหนักมาตลอดปี 2567 ขอให้ปี 2568 เป็นปีแห่งความหวังที่เต็มไปด้วยความสุขและสมปรารถนาในทุกสิ่ง" 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการบริหารราชการแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

(27 ธ.ค.67) เวลา 08.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการบริหารราชการแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูง ให้การต้อนรับและร่วมประชุมรับมอบนโยบาย ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีหัวหน้าหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ ร่วมรับมอบนโยบายผ่านทางระบบการประชุมทางไกลพร้อมกันด้วย

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การส่งเสริมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการแก้ปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย การปฎิบัติงานต้องมีความโปร่งใสและยึดหลักธรรมภิบาล เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในองค์กรตำรวจ สำหรับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ตนให้ความสำคัญมีดังนี้

1. การป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติด : การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง โดยมีการสำรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของยาเสพติดอย่างจริงจัง นอกจากการจับกุมในระดับผู้ใช้หรือผู้ค้ารายย่อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องให้ความสำคัญกับการสืบสวนขยายผลเพื่อเข้าถึงเครือข่ายหรือแก๊งค้ายาเสพติดขนาดใหญ่

2. การแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล : ปัญหาผู้มีอิทธิพลเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อความสงบสุขในสังคมไทย ปัญหาการทุจริต การข่มขู่ การใช้อำนาจในทางที่ผิด และการกระทำผิดกฎหมายทั้งปวง ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ โดยบูรณาการการปฎิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

3. การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ : รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ให้ปัญหาหนี้นอกระบบลดน้อยลงหรือหมดไป

4. การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเหมาะสม เพื่อให้ปัญหาต่างๆได้รับการจัดการแก้ไข เช่น การปราบปรามสินค้าเถื่อน หนีภาษี ลักลอบเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดน ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ต้องติดตามเร่งรัดการดำเนินการเพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด 

5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องทุกข์ โดยเร่งรัดการดำเนินการในคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

6. สถานีตำรวจนับเป็นด่านหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นที่พึ่งหลักของประชาชน ขอให้ปฏิบัติงานเชิงรุก หัวหน้าสถานีต้องเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมปฎิบัติหน้าที่และเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยว หรือร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลอง อาจมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ความปลอดภัย และอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีความสำคัญยิ่งเพื่อดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ขอเน้นย้ำการตั้งจุดบริการประชาชนตามเส้นทางหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการให้ข้อมูลการเดินทาง การช่วยเหลือเหตุฉุกเฉิน และจัดทีมพร้อมชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ การดำเนินงานจะสำเร็จลุล่วงได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน รวมถึงภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในการปฏิบัติงาน โดยจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อตำรวจมีหัวใจคือประชาชน ตำรวจก็จะอยู่ในใจของประชาชน”

'แม่แบงค์ เลสเตอร์' ฝากถึงแก๊งเพื่อน ๆ อินฟลูเอนเซอร์ เหตุใดไม่ห้ามน้อง พร้อมย้ำอย่าทำพฤติกรรมอย่างนี้อีก

เมื่อวันที่ (26 ธ.ค. 67) ที่ผ่านมา นางวนิดา สังข์ฤทธิ์ ได้ทางมาถึงบริเวณห้องเก็บศพ โรงพยาบาลพระปกเกล้า เพื่อติดต่อขอรับร่าง ของแบงค์ เลสเตอร์  โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า เนื่องจากมีบรรดาเพื่อนที่เคยร่วมงานกับแบงค์ และเพื่อนของทางฝ่าย เอ็ม เอกชาติ เข้ามาร่วมแสดงความเสียใจรอรับร่างของแบงค์หลายคน 

เบื้องต้นนางวนิดา ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ตนเองไม่ติดใจในการเสียชีวิตของลูกชายในครั้งนี้ แต่อยากจะเตือนเพื่อน ๆ ว่าอย่าทำพฤติกรรมอย่างนี้อีก และเตือนเบิร์ดว่าทำไมไม่ห้ามน้อง .. ขณะที่ เอ็ม เอกชาติ ร้องไห้โดยมีแม่คอยเช็ดน้ำตา พร้อมกับเบิร์ด วันว่าง ๆ  ปล่อยโฮเสียใจ ข้างแม่ของแบงค์

โดยร่างของแบงค์ถูกเคลื่อนออกจากห้องเก็บศพเมื่อเวลา 17:23 น. โดยใช้รถตู้เอกชนสีขาว หมายเลขทะเบียน นข 1951 จันทบุรี แม่ของแบงค์นั่งคู่ไปกับศพของแบงค์ด้วย โดยมุ่งหน้าไปยังวัด ออเงิน กรุงเทพมหานคร … ทางด้านหมอผู้ผ่าชันสูตร ศพของแบงค์ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ผลชันสูตรยังไม่ออกอย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้น หลังจากผ่าชันสูตรเสร็จแล้วไม่พบว่ามีอวัยวะใดผิดปกติที่ทำให้เสียชีวิตได้ 

หลังจากที่ได้ทราบประวัติ จากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อ ก็คาดว่าอาจเป็นไปได้จาก ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ อย่างที่ทุกคนสงสัย ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการส่งเลือดเข้าไปตรวจ ซึ่งต้องรอผลจากเลือดที่ส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการก่อนจึงจะสามารถยืนยันการเสียชีวิตได้ 

ทั้งนี้ทางโรงพยาบาล จึงได้มีการตรวจหาสารพิษหรือยาฆ่าแมลงร่วมกันไปด้วย เพื่อป้องกันข้อสงสัยในอนาคต แต่ต้องรอผลตรวจกลับมาก่อน สำหรับแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณมากจนเป็นพิษต่อร่างกายของมนุษย์ ตามทฤษฎีจะมีอยู่ 300 ถึง 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายและสภาวะของบุคคลคนนั้นด้วย

โรงรับจำนำ กทม. ลดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำ ทุกวงเงิน 20% เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับคนกรุงเทพมหานคร

นายชนาธิป ล.วีระพรรค ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร เผยว่า เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2568 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มอบนโยบายให้สำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร ส่งมอบความสุขให้ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ คณะกรรมการบริหารสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร จึงมีมติให้โรงรับจำนำ กทม. ลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยให้จัดทำโครงการ “ของขวัญให้เพื่อน” เพื่อเป็นการช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนผู้มาใช้บริการที่โรงรับจำนำ กทม. ซึ่งจะลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้ผู้ที่มาใช้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2568 รวมระยะเวลา 3 เดือน ดังนี้

1.เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.20 บาท ต่อเดือน โดยจำกัดวงเงินรับจำนำรวมต่อ 1 ราย (บุคคล) ไว้ที่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยนับรวมวงเงินรับจำนำสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานครทุกแห่ง
2.เงินต้น 5,001-15,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.80 บาท ต่อเดือน
3.เงินต้นเกิน 15,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 บาท ต่อเดือน 

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568

ซึ่งในปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่ (ต.ค. 67 – ก.ย. 67) มีการรับจำนำ จำนวนทั้งสิ้น 8,700 ล้านบาท จำนวนราย 430,000 ราย มีทรัพย์ที่นำมาจำนำมากที่สุด อันดับ 1 ทองคำ ร้อยละ 89 และอื่นๆอีกมากมาย โดยประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อใช้บริการได้ที่โรงรับจำนำ กทม. ทั้ง 21 แห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2158 0042 – 4  

ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงผลล้างอาชญากรรม ต่างด้าวผิด กม. คริสต์มาส-ปีใหม่ 2568 (7วัน)

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 พร้อมคณะฯ และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัด ภ.1 ได้ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม และแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ห้วงเทศกาลคริสต์มาสและวันหยุดยาวปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.67 (7วัน) ณ  ลานฝึกยุทธวิธีปราบไพรีอริศัตรูพ่าย ภ.1

วันที่ 25 ธ.ค.67 เป็นวันคริสต์มาส และระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.67-วันที่ 1 ม.ค.68  เป็นวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568  ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนมีการเฉลิมฉลอง มีกิจกรรมจัดกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน และบางส่วนเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ  ในช่วงดังกล่าวมักเป็นโอกาสที่มิจฉาชีพ ใช้ประโยชน์จากความประมาทและความรีบเร่งของผู้คน ในการก่อเหตุอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออกมาตรการเข้ม และกำชับหน่วยต่าง ๆ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ 

1.ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันคริสต์มาสและวันหยุดยาวปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.67 ทั้งความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไป เช่น การพนัน ยาเสพติด อาวุธปืน แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งตรวจสอบติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับค้างเก่า

2.กวดขันจับกุมผู้ยิงปืนขึ้นฟ้า ผู้เล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด และปล่อยโคมลอย ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ หรือในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือรบกวนการจราจรทางอากาศ, ป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทางการรวมกลุ่มหรือมั่วสุมออกเดินทาง, ป้องกันและแก้ไขปัญหาเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาล และกลุ่มวัยรุ่นต่างๆ

3.เพิ่มวงรอบตรวจตราแหล่งมั่วสุม สวนสาธารณะ สถานบริการ สถานบันเทิง สถานีขนส่ง โรงแรม แหล่งท่องเที่ยว เพื่อป้องกันการทำผิดกฎหมายทุกประเภท รวมทั้งป้องกันการโจรกรรมลักทรัพย์ในเคหสถานของประชาชน 

4.ให้ดำเนินการตาม “โครงการร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” รับฝากบ้านประชาชน ระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.67-วันที่ 2 ม.ค.68 (13 วัน)

5.มาตรการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568” ควบคุมเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.-วันที่ 9 ม.ค.68 (21 วัน) และให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อมุ่งเน้นการลดอุบัติเหตุทางถนน ตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก โดยเฉพาะข้อหาเมาแล้วขับ กรณีเกิดอุบัติเหตุให้มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทุกราย ตรวจสอบประวัติการทำผิดซ้ำ หากผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ให้ถือว่าเมาสุรา และให้มีการสอบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมาย

สำหรับผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม และแรงงานต่างด้าว ของตำรวจภูธรภาค 1 ในระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.68 (7 วัน) ดังนี้ 
1.จับกุมคดีอาวุธปืนได้รวม 170 กระบอก เป็นปืนไม่มีทะเบียน 97 กระบอก และมีทะเบียน 73 กระบอก 
2.จับกุมคดียาเสพติดได้รวม 1,189 ราย ผู้ต้องหา 1,191 คน ของกลางยาบ้ารวม  1,032,963 เม็ด ยาไอซ์ 1,594 กรัม ตรวจยึดทรัพย์สิน 22,184,829 บาท
3.จับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้รวม 1,110 ราย 
4.จับกุมหมายจับค้างเก่าได้รวม 615 คน 
5.จับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้รวม 354 ราย ผู้ต้องหา 354 คน อายัดทรัพย์สินได้รวม 1,325,800 บาท  
รวมจับกุมทุกข้อหา 3,876 ราย ผู้ต้องหา 3,968 คน

ตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่รับผิดชอบ ในช่วงวันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2568 อย่างจริงจังเข้มข้น และขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในเรื่องที่สำคัญ  ดังนี้

1.โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0  ได้เปิดรับฝากบ้านระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.67-วันที่ 2 ม.ค.68 (รวม 13 วัน) เพื่อดูแลความปลอดภัยของบ้านเรือนประชาชนในช่วงวันหยุดยาว โดยมีขั้นตอนที่จะฝากบ้านกับตำรวจ 2 วิธี คือ เดินทางไปแจ้งความประสงค์ที่สถานีตำรวจ หรือลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “ฝากบ้าน 4.0 (OBS)” สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งจากระบบ IOS และ Andriod  ซึ่งขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 ฝากบ้านไว้กับตำรวจแล้วรวม 116 หลัง

2.ด้านการป้องกันภัยจากอาชญากรรมออนไลน์ ขอให้ไม่หลงเชื่อข้อความหลอกลวงต่างๆ อย่าคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า  และขอแนะนำให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ เพื่อรู้เท่าทันภัยออนไลน์ ผ่านช่องทางต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาทิ www.เตือนภัยออนไลน์.com เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ตำรวจไซเบอร์ - บช.สอท., ตำรวจสอบสวนกลาง, สืบนครบาล IDMB เป็นต้น และหากพี่น้องประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในคดีออนไลน์ หรือต้องการคำปรึกษา หรือสอบถามเกี่ยวกับคดีออนไลน์ ขอให้โทรติดต่อที่สายด่วน 1441 ของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ AOC) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th

การป้องกันและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนน ขอให้ตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง ขับขี่ด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนดและเหมาะสมกับสภาพการจราจร ไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

รพ.เมตตาฯ แนะฉลองปีใหม่ ไม่กินของแปลก เลี่ยงอาหารปรุง สุกๆ ดิบๆ ป้องกันพยาธิขึ้นตา

(26 ธ.ค. 67) กรมการแพทย์ โดยรพ.เมตตาฯ ขอร่วมส่งความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ด้วยการมอบสุขภาพดวงตาที่ดีให้คงอยู่คู่กับสุขภาพทางกายโดยเตือน ระวัง! ไม่รับประทานอาหารปรุง สุกๆ ดิบๆ พยาธิอาจจะเข้าสู่ระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง หรือดวงตา อาการเจ็บป่วยจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่พยาธิอยู่ เช่น พยาธิขึ้นตา ทำให้เกิดอาการ  ตามัวลงแบบเฉียบพลัน รักษาโดยการผ่าตัดนำพยาธิออก อาจสูญเสียการมองเห็นจนถึงตาบอดได้

นายแพทย์ไพโรจน์  สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผย โรคที่เกิดเนื่องจากพยาธิต่างๆ ในคนไทยเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในไทย อาการ เช่น เปลือกตาบวม กระจกตาบวม ความดันตาสูง ปวดตา ตามัว จนถึงตาบอด ขึ้นอยู่กับพยาธิอยู่ส่วนใดของตา จึงขอเตือนประชาชนที่นิยมกินอาหารแปลกๆ สุกๆ ดิบๆ หรือปรุงประกอบไม่ถูกหลักสุขอนามัย อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ เป็นวิธีการป้องกันการเกิดโรคได้ง่ายที่สุดเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ด้วยการมีสุขภาพอนามัยที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชน

นายแพทย์อาคม  ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะมอบสุขภาพที่ดีไม่ว่าจะเป็นสุขภาพทางกายและสุขภาพดวงตาให้กับตัวเราได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องการรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย เนื่องในปัจจุบันมีคอนเทนต์การกิน ของแปลกๆในโลกโซเชียล ที่เกี่ยวกับการรับประทานสัตว์น้ำจืดดิบๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ที่เสี่ยงต่อโรคที่อาจจะตามมาในภายหลังได้นั้น กรมการแพทย์โดย รพ.เมตตาฯ แนะนำว่าการป้องกันการเกิดโรคนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด และป้องกันได้ง่ายโดยการไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ เช่น กุ้งเต้น กุ้งแช่น้ำปลา เป็นต้น

แพทย์หญิงอรวีณัฏฐ์  นิมิตวงศ์สกุล  หัวหน้าศูนย์ตาปลอม กล่าวเสริมว่า พยาธิขึ้นตาทำให้เกิดอาการตามัว  ตาพร่าเลือน อาจมีการอักเสบในช่องหน้าลูกตา ทำให้ม่านตาอักเสบและตามัวลง การรักษา คือ ยิงเลเซอร์ไปที่ตัวพยาธิไม่ให้สามารถเคลื่อนไหว ก่อนผ่าตัดนำเอาพยาธิออก ซึ่งตามปกติพยาธิจะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู  ซึ่งพยาธิออกมากับขี้หนู และไชเข้าไปในกลุ่มหอยน้ำจืด หอยบก หอยทาก กุ้งและปูน้ำจืด นอกจากนี้ยังอาจปนเปื้อนมากับ  น้ำดื่มหรือผักผลไม้ พยาธิเข้าตามาทางเส้นประสาทตาและไชเข้าตาทะลุจากจอตาขึ้นมาในช่องหน้าลูกตา ความเสียหายหรือการฟื้นการมองเห็นขึ้นกันเส้นทางที่พยาธิไชมาว่าทำความเสียหายในกับส่วนไหนของลูกตาบ้าง แนะนำควรทำการรักษาต่อเนื่องเพื่อเช็คร่างกายอย่างละเอียดว่าพยาธิมีเพิ่มเติมในตำแหน่งอื่นของร่างกายอีกหรือไม่จึงฝากเตือนในเรื่องของการรับประทานอาหารควรหมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ไม่แนะนำทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ให้ทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกและสด สะอาดเท่านั้น เพราะพยาธิในที่อาศัยอยู่ตามสัตว์น้ำจืด เมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเป็นอันตราย และหากพยาธิเข้าไปอยู่ตามจุดสำคัญในร่างกาย เช่น ระบบประสาท สมอง ไขสันหลัง อาจจะถึงขั้นรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

กทม.ประกาศ 'ห้ามจุดพลุ' ฉลองปีใหม่ เว้นขออนุญาต ฝ่าฝืนโทษหนักทั้งจำคุก-ปรับ

ผู้ว่าฯกทม.ประกาศ ‘ห้ามจุดพลุ’ ฉลองปีใหม่ ยกเว้นได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนเจอโทษหนักจำคุกไม่เกินสามปี-ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) ที่ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ได้ลงนามประกาศมาตรการป้องกันอันตรายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เนื่องด้วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีเป็นช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาต่างจังหวัด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

รวมทั้งประชาชนบางส่วนนิยมที่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวตามงานเทศกาล สถานบันเทิงและสถานบริการต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บ้านเรือนที่อยู่อาศัยจึงถูกทิ้งไว้ไม่มีผู้ดูแล ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเหตุสาธารณภัย หรืออุบัติภัยเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปกติ อาทิ ภัยจากการคมนาคม อาชญากรรม เหตุการณ์ความไม่สงบ การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เนื่องจากมีประชาชนมาร่วมงานจำนวนมากทำให้สถานที่จัดงานมีความแออัด

อีกทั้งงานเทศกาลและสถานบันเทิงบางแห่งมีการจัดงานเฉลิมฉลอง จุดพลุ หรือดอกไม้เพลิง ประกอบกับเป็นช่วงฤดูหนาว สภาพอากาศแห้งและแล้ง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ

ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 32 และมาตรา 23 วรรคสอง (1) ขอความร่วมมือจากผู้จัดงานเทศกาลปีใหม่ สถานประกอบการสถานบันเทิง ประชาชน รวมถึงผู้ผลิต สะสม จำหน่ายผู้เล่นดอกไม้เพลิงและโคมลอยในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ดังนี้

1.กรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมและกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ของกรุงเทพมหานคร ประจำปี พ.ศ.2568 และจัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์กรุงเทพมหานคร (ศตส.กทม.) ในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568 จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับชุมชนที่มีความเสี่ยงหรือพื้นที่ล่อแหลมสูง

โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ จุดเสี่ยงอาชญากรรม ตรวจสอบตรวจตราสถานประกอบการ สถานบันเทิงที่มีการจัดงานหรือกิจกรรม เพื่อวางแผนออกแบบมาตรการจัดกิจกรรมอย่างปลอดภัย กำหนดรูปแบบและลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่เส้นทางหรือจุดเข้าออกพื้นที่จัดงานอย่างเข้มงวด และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรตามสถานที่ต่างๆ ตลอดระยะเวลาจัดงาน โดยประสานงานกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมเฝ้าระวังดูแลในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นโดยใช้กล้อง CCTV

รวมถึงการตรวจตราสถานประกอบการที่ผลิต สะสม และจำหน่ายดอกไม้เพลิง สำหรับสถานที่ซึ่งได้รับอนุญาตให้จำหน่ายดอกไม้เพลิงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การควบคุมและกำกับดูแลการค้าดอกไม้เพลิงตามประกาศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม

เรื่องหลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับดูแลการผลิต การค้าการครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิงและวัตฤที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชน

2.ขอความร่วมมือสถานประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดงานและเจ้าของพื้นที่จัดงาน วางแผนการบริหารจัดการพื้นที่ และแผนงานรองรับความปลอดภัย พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยทางกายภาพ หากพบจุดเสี่ยงอันตรายหรืออุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้ดำเนินการแก้ไขให้มีความปลอดภัยหรือประสานผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที อาทิ ระบบป้องกันอัคคีภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ประตูทางเข้า-ออก ถังดับเพลิง ระบบสัญญาณเตือนภัย ระบบไฟฟ้าสำรอง ป้ายบอกเส้นทางหนีไฟต้องติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดเส้นทาง และสามารถเปิดออกสู่ภายนอกได้อย่างทันที ตลอดจนกำหนดเส้นทางเข้า-ออกที่ชัดเจน จำกัดจำนวนคนภายในงานให้สอดคล้องกับขนาดและสภาพพื้นที่จัดงาน

เพื่อป้องกันความหนาแน่นแออัด และสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการทราบขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อต้องอพยพผู้ใช้บริการกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีเหตุเพลิงไหม้หรือเหตุสาธารณภัยอื่นๆ ให้แจ้งสายด่วน โทร. 199 ได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง และให้ประสานงานกับสำนักงานเขตอย่างใกล้ชิด

3.แจ้งเตือนประชาชน กรณีวางแผนเดินทางออกต่างจังหวัดขอให้ตรวจสอบสายไฟ ปลั๊กไฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากพบความชำรุดให้แก้ไขทันที ปิดสวิตซ์ ดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งานหรือก่อนออกจากเคหสถาน

รวมถึงกำชับบุตรหลานไม่ให้เล่นไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก และควรเก็บวัสดุที่ติดไฟได้ง่ายให้อยู่ในที่ปลอดภัย พร้อมจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย ศึกษาวิธีการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดอัคคีภัย ตลอดจนดูแลบำรุงรักษาให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยและรณรงค์ให้ประชาชน ลด เลิกการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้แนวคิด “ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งผู้ขับขี่และผู้สัญจรร่วมทาง หากพบผู้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน แจ้งศูนย์เอราวัณ 1669 

4.ห้ามมิให้ผู้ใดจุดและปล่อย หรือกระทำการอย่างใด เพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการเขตพื้นที่นั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะขอจุดและปล่อยหรือกระทำการอย่างใด เพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศ ให้ยื่นแบบคำขอรับใบอนุญาตพร้อมแผนการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่ และห้ามมิให้ผู้ใดทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง รวมถึง พลุ ประทัดไฟ ประทัดลม และวัตถุอื่นใด อันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่

สำหรับผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยกระดับคุณภาพชีวิตเยาวชนในถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ – อีสาน อย่างยั่งยืนต่อเนื่อง เดินสายมอบจักรยาน หน้ากากอนามัย อุปกรณ์กีฬาให้กับ 95 โรงเรียนในพื้นที่ชนบท รวมงบประมาณกว่า 3 ล้านบาท 

ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน - 27 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ จัดทีมลงพื้นที่โรงเรียนชนบท มอบจักรยาน และอุปกรณ์กีฬา ให้แก่นักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และอีสาน ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ชัยภูมิ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี และขอนแก่น รวม 19 จังหวัด 95 โรงเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเรียนรู้กฎจราจร รวมถึงการแบ่งปัน การดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาในแต่ละแห่ง เป็นผู้รับมอบ

สำหรับโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ในปี พ.ศ.2567 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่มีนักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมจำนวน 100 แห่ง ดำเนินการมอบรถจักรยานขนาด 20 และ 24 นิ้ว รวม 2,000 คัน , หน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น อุปกรณ์กีฬา จำนวน 100 ชุด และค่าพาหนะเดินทางแก่โรงเรียนๆละ 2,000 บาท รวมคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 3,195,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน) 

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top