Monday, 20 May 2024
NEWSFEED

'อันเฆลา อัลวาเรซ' คุณยายวัย 95 เติมฝันให้ชีวิต คว้า ‘ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม’ เวทีลาตินแกรมมี อวอร์ดส์

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2565 บนเวทีประกาศรางวัลของวงการเพลงจากประเทศแถบลาตินอเมริกาและประเทศที่ใช้ภาษาสเปนและโปรตุเกสเป็นหลักครั้งล่าสุดที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา อันเฆลา อัลวาเรซ ได้สร้างประวัติการณ์ของการวงการเพลงด้วยการขึ้นรับรางวัล ‘ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม’ คนล่าสุด ในวัย 95 ปี คู่กับ ซิลวานา เอสตราดา ศิลปินรุ่นหลานวัย 25 ปี

ทั้ง ‘อัลวาเรซ’ และ ‘เอสตราดา’ ต่างเป็นผู้ชนะบนเวทีทั้งคู่ แต่ ‘อัลวาเรซ’ ได้กลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ของเวทีลาตินแกรมมี อวอร์ดส์ ด้วยการเป็นผู้เข้าชิงและผู้ชนะรางวัลบนเวทีนี้ที่อายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

อัลวาเรซ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างรับรางวัลโดยอุทิศรางวัลนี้ให้พระผู้เป็นเจ้าและประเทศคิวบา บ้านเกิดที่รักยิ่งของเธอ ซึ่งเธอกล่าวว่า จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต

ศิลปินหน้าใหม่วัย 95 ปี ยังตบท้ายว่า “สำหรับคนที่ยังทำฝันให้เป็นจริงไม่ได้ แม้ว่าชีวิตนี้ยากนัก แต่มันมีทางออกเสมอ ฉันสัญญาว่าคุณจะสมหวังได้ด้วยความรักและศรัทธา ไม่มีคำว่า ‘สายเกินไป’ ตามด้วยการลุกขึ้นยืนปรบมือให้เกียรติอย่างยาวนานจากผู้ร่วมงาน

'ฝนธิป ศรีวรัญญู' สร้างชื่อใน Mrs.Heritage International 2022 ที่มาเลเซีย คว้า 2 รางวัลใหญ่ ตอกย้ำ Soft Power ไทยสุดแกร่ง

(19 พ.ย.65) วัฒนธรรมไทย Soft Power ไทย โดยคนไทยได้คว้ารางวัลใหญ่อีกครั้ง จาก 'ฝนธิป ศรีวรัญญู' คว้ารางวัลทรงคุณค่าในงานประกวด Mrs.Heritage International 2022 ซึ่งเธอได้กล่าวคำขอบคุณต่อทุกแรงเชียร์ว่า...

ฝนขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ แรงโหวต แรงสนับสนุนน ในการประกวดที่ประเทศมาเลเซียนะคะ 

'บิ๊กตู่' ชวนขยายระยะเวลา 'โคเซ็น' ปั้นบุคลากรคุณภาพ เพิ่มศักยภาพคนรองรับเทคโนโลยียุคใหม่ และ EEC

การประชุมเอเปค 2022 ที่จัดขึ้นในประเทศไทยนั้น ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลที่ทำให้ ไทยนั้นก้าวขึ้นสู่เวทีผู้นำเศรษฐกิจ งานนี้มีผู้นำเขตเศรษฐกิจ ผู้นำประเทศต่างๆ มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมหาอำนาจที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘คิชิดะ ฟูมิโอะ’ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ประเทศแห่งเทคโนโลยี ผู้นำแห่งอุตสาหกรรมล้ำยุค นายกฯ ของญี่ปุ่นนั้น ได้เข้าหารือทวิภาคีไทย-ญี่ปุ่น กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ในโอกาสเยือนไทยเพื่อร่วมการประชุมเอเปค APEC 2022 THAILAND โดยไทยนั้นพร้อมเป็นหุ้นส่วนกับญี่ปุ่นในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ ผ่านข้อเสนอความร่วมมือทางด้านพลังงาน หรือ ‘ไวท์เปเปอร์’ ซึ่งก็สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทย 

และญี่ปุ่นนั้นก็พร้อมที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของอาเซียน ไทยกับญี่ปุ่นในอนาคตก็จะยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กันอย่างรอบด้าน โดยจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วน 

ชักศึกเข้าบ้านภาค 2 ความขัดแย้งของตระกูล รักต่างขั้วอำนาจ ลุกลามการเมืองระหว่างประเทศ

ชักศึกเข้าบ้านภาค 2 “กูต้องตายเพราะอยากมีเมียแหม่ม” ความขัดแย้งของตระกูล รักต่างขั้วอำนาจ ลุกลามการเมืองระหว่างประเทศ” 

จากตอนที่แล้วที่เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกระหว่างวังหลวงและวังหน้า ลามไปถึงการดึงเอาชาติมหาอำนาจตะวันตกในช่วงเวลานั้นคืออังกฤษ เข้ามาวุ่นวายในกิจการบ้านเมือง ก่อนที่เหตุจะระงับไปด้วยวิธีทางการทูตและการประนีประนอมกันเพื่อบ้านเมือง อาการเหมือน ณ ปัจจุบันที่กลุ่มคนจำนวนเล็กๆ รับใบสั่งมาสร้างความปั่นป่วน จากเรื่องความขัดแย้งของอำนาจทางการเมือง ที่จะลามไปถึงนานาชาติเพื่อดึงชาติตะวันตกเข้ามายุ่มย่ามภายใน เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กัน 

ตัวละครสำคัญจากภาคแรกที่ลามมาภาคนี้ได้แก่ 'สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)' ท่านผู้สำเร็จราชการต้นรัชกาลที่ 5 และ 'โทมัส ยอร์ช น็อกซ์'กงสุลแห่งอังกฤษประจำประเทศสยาม และตัวเอกของภาคนี้ 2 ท่านคือ พระปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล) ขุนนางหัวก้าวหน้า บุตรของพระยากสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) เสนาบดีสำคัญสมัยรัชกาลที่ 4 และ 'แฟนนี่ น็อกซ์' บุตรสาวของ มร.น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ

เรื่องต้องย้อนกลับไปกล่าวถึงความขัดแย้งกันของตระกูลขุนนาง 2 ตระกูล คือ 'ตระกูลบุนนาค' ซึ่งมากล้นบารมี ส่วนอีกตระกูลที่พอจะเทียบเคียงบารมีได้ก็คงเป็น 'ตระกูลอมาตยกุล' ข้าแผ่นดินตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยร้อยร้าวเล็กๆ เริ่มมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โดย พระยากสาปนกิจโกศล ขณะยังเป็นขุนนางหนุ่ม ผู้มีความรู้เชิงช่างสูง ไปวิจารณ์ 'สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ' (ทัต บุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็น พระยาศรีพิพัฒน์ฯ เรื่องการซ่อมแซมกำแพงอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ ว่าซ่อมอย่างไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นก็มีเหตุกำแพงถล่มทับคนงาน จนล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ถึงกับทรงบริภาษเหน็บเรื่องนี้จึงทำให้ตระกูลบุนนาคเสียหน้า 

เรื่องถัดมาพระยาเจริญราชไมตรี (ตาด อมาตยกุล) ผู้เป็นน้องชาย ผู้เป็นหนึ่งในสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ชำระคดีฉ้อโกง โดยมีคดีโกงเงินเข้าพระคลังของ 'กรมนา' ซึ่งเสนาบดีกรมนาในขณะนั้นคือ 'พระยาอาหารบริรักษ์ (นุช บุญหลง)' หลานของ 'สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์' ซึ่งความผิดคดีนี้ทำให้ พระยาอาหารบริรักษ์ต้องถูกออกจากราชการ ริบราชบาทว์ ถูกเฆี่ยน จำคุกและได้มีการพาดพิง 'สมเด็จเจ้าพระยาฯ' แต่ไม่ระคายเคืองท่าน แต่คดีนี้ทำให้ 'สมเด็จเจ้าพระยาฯ' จำแน่ๆ เพราะท่านไปจัดหนักในคดีของ 'พระปรีชากลการ' (ข้อขัดแย้งต้นรัชกาลที่ 5 ไว้ผมจะเล่าในบทความถัดๆ ไปนะครับ) 

เกริ่นมาซะยาว ตอนนี้มาดูที่ตัวเอกของภาคนี้ 'พระปรีชากลการ' (สำอาง อมาตยกุล) บุตรชายคนที่ 2 ของพระยากสาปนกิจโกศล จบวิศวกรรมศาสตร์จากสกอตแลนด์ เป็นข้าราชสํานักหนุ่มรุ่นใหม่ที่ในหลวง ร.5 ทรงโปรดปรานมากคนหนึ่ง ด้วยผลงาน เช่น ประดิษฐ์ซุ้มจุดด้วยไฟแก๊สถวายในงานเฉลิมพระชนมพรรษา และเป็นนายงานสร้างตึกแถวบนถนนบำรุงเมือง ฯลฯ จนได้เป็นหนึ่งในคณะสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวน 49 คน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาส่วนพระองค์ สืบสวนข้อเท็จจริงในราชการต่างๆ เพื่อกราบบังคมทูลและถวายความเห็นให้ทรงทราบ สอดส่องเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมือง รวมไปถึงการชำระความฎีกาที่มีผู้นำมาถวาย ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญของ 'วังหลวง' ที่กำลังปฏิรูปและพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง 

เมื่อถึง พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทําเหมืองทองคำที่บ่อทองเมืองกบินทร์บุรี ได้จัดตั้งเครื่องจักรทําทองที่เมืองกบินทร์บุรี และสร้างตึกที่จะจัดตั้งเครื่องจักรที่เมืองปราจีนบุรีอีกแห่งหนึ่ง โดยมีพระปรีชาฯเข้าไปดำเนินการจนสำเร็จ ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. 2419 พระยาอุไทยมนตรี (ขริบ) ผู้ว่าราชการเมืองปราจีนบุรีถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระปรีชาฯ ว่าราชการเมืองปราจีนบุรีแทนต่อไป 

นักศึกษาไทยชุบชีวิต 'ชะลอม' ผ่านผลงานโลโก้ APEC กระตุ้นความนิยมงานจักสานสู่สังคมไทยอีกครั้ง

ทราบหรือไม่ว่า โลโก้สามสีของการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders Meeting) ปี 2022 ที่ปรากฏอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร ซึ่ง เป็นเมืองเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในสัปดาห์นี้นั้น เกิดจากฝีมือการออกแบบของนักศึกษาไทย วัย 21 ปี

ชวนนท์ วงศ์ตระกูลจง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ คนเก่งที่ว่า โดยเขาได้บอกเล่าถึงกระบวนการออกแบบโลโก้สําหรับการประชุมทางเศรษฐกิจระดับโลกกับสํานักข่าวซินหัวว่า ความท้าทายอยู่ที่จะผสมผสานอัตลักษณ์ ของเอเปคเข้ากับสัญลักษณ์ของไทยได้อย่างไร 

ชวนนท์ เผยว่า ช้าง วัด หรือยักษ์ มักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของไทย แต่เขามองว่ามันธรรมดาเกินไปและอยากคิดนอก กรอบ และไม่อยากใช้สัญลักษณ์ที่ใช้กันบ่อย ๆ จึงนึกถึง 'ชะลอม' ขึ้นมา 

“เรานึกถึงต้มยํากุ้งเมื่อพูดถึงอาหารไทย หรือรถตุ๊กตุ๊กเมื่อพูดถึงการขนส่ง แล้วสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจในไทยที่อยู่คู่กับ คนไทยมานานคืออะไร ผมนึกถึงชะลอม ซึ่งเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้งานกันมาแต่โบราณ มันจักสานขึ้นจากไม้ไผ่และเป็นงานฝีมือ ที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนความสมดุลของวิสัยทัศน์การประชุมฯ ในปีนี้” ชวนนท์กล่าว 

ชวนนท์ใช้เวลาราว 3 เดือน ปรับแต่งลักษณะของชะลอมจนกลายเป็นโลโก้รูปแบบสุดท้าย โดยไผ่ที่จักสานเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นช่องว่าง 21 ช่อง สื่อถึงสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจของเอเปค ส่วนปลายชะลอมที่ชี้ขึ้นฟ้าสื่อถึงการเติบโตของเอเปค ส่วนสีต่าง ๆ อาทิ สีน้ำเงินอันเป็นสัญลักษณ์การอํานวยความสะดวก สีชมพูแห่งการเชื่อมโยง และสีเขียวที่ยั่งยืน ยัง สะท้อนหัวข้อการประชุมฯ ปีนี้ ได้แก่ 'เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล' (Open. Connect. Balance.) 

ชักศึกเข้าบ้าน!! เรื่องป่วนสยามสมัยรัชกาลที่ 5 ปฐมเหตุแห่งการยกเลิกวังหน้า

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ที่ดีงาม และพร้อมที่จะต่อยอดในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่ม กำลัง ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ ด้วยการ จะประท้วงในการจัดประชุมครั้งนี้ จะชุมนุมเพื่อให้สะท้อนปัญหาของพวกตัวเอง (ปัญหาที่ใครต่อใครเขาก็ไม่เดือดร้อนนะยกเว้นไอ้พวกกลุ่มนี้) 

โดยมีผู้สนับสนุนเป็นทุนจากต่างชาติ และ / หรือ อาจจะเป็นคนในชาติที่เป็นทาสตะวันตก ตั้งใจสร้างสถานการณ์ต่างๆ พร้อมด้วย ‘การข่าวปลอม’ และ ‘การข่าวป่วน’ ของพวกเขา ที่วางแผนไว้เพื่อให้การประท้วงของพวกเขาไปอยู่ในสายตาของสื่อต่างชาติที่มาทำข่าว APEC 2022 ทั้งยังพร้อมทำทุกอย่างเพื่อด้อยค่าประเทศตัวเอง ให้เกิดขึ้นในสายตาของชาติอื่นๆ 

พูดถึงเหตุการณ์ที่ไปดึงเอาต่างชาติเข้ามายุ่มย่ามในบ้านเมืองเรา มีอยู่เหตุการณ์ป่วนหนึ่งในสมัยอดีต ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ในกาลต่อมามีการยกเลิกตำแหน่งเรียกว่า ‘วังหน้า’ หรือ ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ กันเลยทีเดียว 

เรื่องป่วนที่จะเล่าในครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดินที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขณะนั้นลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศส กำลังคุกคามประเทศรอบข้างสยาม และกำลังจ้องมองสยามอย่างตาเป็นมัน

เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีตัวละครสำคัญเป็นทหารอังกฤษตกงาน เพราะพนันม้าจนหมดตัวจากอินเดีย ชื่อ ร้อยเอก ‘โทมัส ยอร์ช น็อกซ์’ เขาเดินทางมาสยามเพื่อหางาน โดยตามเพื่อนชาติเดียวกันมาก็คือ ‘ร้อยเอกอิมเปย์’ ซึ่งเข้ามาสอนทหารวังหลวงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  ส่วนตัว ‘ร้อยเอก น๊อกซ์’ นั้นเขาได้เข้าไปสมัครเป็นคนฝึกทหารของวังหน้าในรัชกาลที่ 4 คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเผอิญพอพูดภาษาไทยได้ประมาณนึง ก็เลยเถิดได้ไปเป็นล่ามให้สถานทูตอังกฤษ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงทูต (คุณพระ !!!! ) 

นอกจากนี้ ยังมีอาชีพเสริมเป็นสื่อมวลชนสายเสี้ยมกึ่งปลุกปั่น (อันนี้ผมตั้งเอง) เขียนคอลัมน์ของตัวเองไปลงหนังสือพิมพ์ในยุโรป โดยเขียนเชียร์วังหน้าอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู (ก็นายจ้างเก่าเขาน่ะนะ) ว่าเก่งกว่าวังหลวงมาก เวลาวังหลวงออกว่าราชการก็ต้องให้วังหน้าชักใยอยู่เบื้องหลัง (จินตนาการตามข้อนี้ นี่มันเมืองจีนหรือไง? มีซูสีไทเฮาผู้ชายว่าการอยู่หลังม่านยังงี้ บ้าบอที่สุด !!!!) 

พอเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขึ้นครองราชย์ เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 โดยในขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา จึงได้แต่งตั้ง ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และกลุ่มผู้สำเร็จราชการได้ตั้ง พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ โอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ขึ้นเป็น ‘กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ’ ซึ่งในตอนนั้นวังหน้ายังมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับ ‘ร้อยเอก น็อกซ์’ กงสุลอังกฤษลูกจ้างเก่าเป็นอย่างดี 

มาถึงจุดหลักของเรื่องราวนี้ ในกาลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรลุนิติภาวะสามารถว่าราชการด้วยพระองค์เองได้แล้วประมาณ 2 ปี ก็มีมือดีทิ้ง ‘บัตรสนเท่ห์’ (จดหมายไร้ชื่อคนส่ง) เตือนให้วังหน้าระวังตัว เพราะว่ากำลังจะถูกลอบปลงพระชนม์ !!!! บรรดาขุนนางวังหน้าก็บ้าจี้ เชื่อตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนั้น ก็เลยเร่งเกณฑ์ผู้คน ทั้งข้าทาสบริวาร ทั้งทหารและพลเรือนจากทั่วสารทิศเข้ามาเตรียมพร้อม 

ฝ่ายวังหลวงพอเห็นแบบนั้น ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์เหมือนกัน เลยเตรียมกำลังไว้เงียบๆ เหมือนกัน (คุณพร้อมผมก็พร้อมว่างั้นเถอะ) แต่จะเงียบยังไง ฝ่ายวังหน้าก็รู้จนได้ และแล้วการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นกันอย่างเปิดเผย จากบัตรสนเท่ห์แผ่นเดียวกำลังจะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟซะแล้ว 

ในช่วงที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายตามความเชื่อของคนเสี้ยมและคนโดนเสี้ยม คือในคืนหนึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ใกล้กับตึกเก็บดินระเบิดและอาวุธต่างๆ เคราะห์ดีมากที่มีผู้พบเห็นเสียก่อนและดับไฟได้ทัน หากลุกลามลุกไหม้ไปนอกจากจะสร้างความเสียหายจากการระเบิดเพราะดินดำ ก็อาจจะลามขึ้นไปห้องเก็บพระมหาพิชัยมงกุฎและสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินอื่นๆ ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย

เมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนี้ กรมพระราชวังบวรฯ ก็ร้อนตัว (ซึ่งจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะอะไร? จะร้อนตัวเพื่อ?) ก็เกรงจะเกิดภัยกับพระองค์ (ขุนนางของพระองค์นั่นแหละเสี้ยมจนเรื่องไม่จริงจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว) จึงเสด็จลี้ภัยไปที่บ้านกงสุลอังกฤษทันที ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญ เพราะนี่คือโอกาสที่เปิดช่องให้ 2 กงสุล คืออังกฤษและฝรั่งเศสถือโอกาสสอดแทรกเข้ามาเพื่อหยิบยื่นความหวังดีประสงค์ร้ายแทบจะในทันที โดยเฉพาะอังกฤษ 

โดยชาติตะวันตกเสนอให้แบ่งประเทศสยามออกเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน (ตูจะทะเลาะกันเอง พวกเอ็งยุ่งอะไรด้วยฟะ?) คนที่ถูกใจเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นไอ้คนทิ้งบัตรสนเท่ห์และไอ้พวกนักเสี้ยมนั่นแหละ (คล้ายๆ กับปัจจุบันไหมคุณว่า) และไม่เพียงแค่นำเสนอความคิด แต่อังกฤษยังทะลึ่งมีใบบอกไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ให้เข้ามาช่วยเจรจา (มาเจรจาอะไร?) โดย ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ ได้เดินทางเข้ามาแทบจะทันที 

แต่ตรงนี้ผมคงต้องกราบแทบฝ่าละอองธุลีพระบาทองค์ในหลวงรัชกาลที่ 5 ไว้หนึ่งคำรบ เพราะพระองค์ไม่ปล่อยให้ เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก ได้ไปยุ่งเหยิงอะไรกับเรื่องการแบ่งเค้กเมืองสยาม พระองค์ชิงจัดการต้อนรับผู้สำเร็จราชการอย่างสมเกียรติและได้พูดคุยอย่างเปิดเผยเป็นกันเอง ก่อนปิดท้ายด้วยการรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “กรณีนี้เป็นเพียงความขัดแย้งในราชตระกูล พระองค์สามารถจัดการเองได้” (ชาติอื่นไม่น่าจะต้องมายุ่งว่างั้น) 

พอจัดการเรื่องของ ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ เรียบร้อยแล้ว ทรงวิตกว่าเรื่องจะลามต่อไปอีก จึงส่งเรือเร็วไปรับ ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ ผู้ใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งเกษียณจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการไปพักอยู่ที่บ้านสวนราชบุรี ให้เข้ามาปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ โดยสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ไม่รอช้า ไปเข้าเฝ้าฯ กรมพระราชวังบวรฯ พร้อมด้วยพระราชหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีข้อแสดงความจริงใจในพระราชหฤทัยถึง ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ความว่า... 

‘LISA’ พาเพลง ‘LALISA’ คว้า ‘Best K-Pop’ จากงาน ‘2022 MTV Europe Music Awards’

ต้องบอกว่างานประกาศรางวัล MTV Europe Music Awards หรือ MTV EMA ปีนี้ที่เมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าไทยเรา 6 ชั่วโมง ศิลปินเคป็อปจากเกาหลีใต้ผงาดกวาดกันไปหลายรางวัลกันเลย

เริ่มจาก 4 สาว ‘แบล็กพิงก์’ (BLACKPINK) พวกเธอผ่านเข้าชิง 4 สาขาซึ่งมากที่สุดในบรรดาศิลปินกลุ่มปีนี้ และสมหวังคว้าไปได้ 2 รางวัลนั่นคือรางวัล Best K-Pop แก่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ (Lisa) สมาชิกชาวไทยและน้องเล็กของวง ที่สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลนี้ทั้งเวที MTV EMA และ MTV VMA ที่สหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม และเป็นศิลปินเดี่ยวเคป็อปในรอบ 10 ปี ที่คว้ารางวัลเวทีนี้ถัดจาก ‘ไซ’ (Psy) เจ้าของเพลง Gangnam Style

นอกจากนี้ BLACKPINK ยังคว้ารางวัล Best Metaverse Performance จากผลงาน BLACKPINK X (PUBG) 2022 In-Game Concert: [The Virtual] ซึ่งพวกเธอคว้ารางวัลเดียวกันนี้ได้ที่งาน MTV VMA ที่สหรัฐก่อนหน้านี้ด้วย

BZ4X รถ EV คันแรกจากค่ายโตโยต้า พร้อมบุกตลาดไทย ในราคาเปิดตัว 1,836,000 บาท

โตโยต้า ไม่ยอมน้อยหน้าค่ายอื่น เปิดศึกชิงพื้นที่รถอีวี ด้วยการเปิดตัว Toyota bZ4X รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน 100 % คันแรกของค่าย 

BZ4X เป็นรถแนว SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD กับขุมกำลัง 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 337 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของรถ เร่งแรงได้ดั่งใจ เหยียบ 0-100 กม. ได้ภายใน 6.9 วินาที วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 411 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง กับแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 71.4 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6 kW และการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 150 kW นั่นทำให้การใช้ Fast Charge อัดประจุจาก 0 – 80% ได้ภายในเวลา 30 นาที  

แบตเตอรี่ลูกนี้ ทางค่ายโตโยต้า ก็ได้เคลมไว้ว่า สามารถเก็บประจุไฟได้มากถึง 90% แม้จะใช้งานไปแล้วมากกว่า 10 ปีก็ตาม นอกจากนี้แบตเตอรี่ก็ยังมีฉนวนหุ้มระบบไฟฟ้าแรงดันสูงกันน้ำถึง 3 ชั้น และระบบล็อคที่ข้อต่อสายไฟ 2 ชั้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถขับลุยไปได้อย่างปลอดภัย

พวงมาลัยเป็นพาวเวอร์ไฟฟ้าหุ้มหนัง EPS (Electric Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 5.7 ม. ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง สูง-ต่ำ และใกล้-ไกล รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ด้วย ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย

ส่อง BMW i7 xDrive60 M Sport รถคันหรูคู่ควรผู้นำระดับโลก เตรียมรับ-ส่ง ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมเอเปค 2022

BMW ส่งมอบรถยนต์ซีดานพรีเมียมไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport (First Edition) จำนวน 21 คัน ในฐานะโมบิลิตี้ พาร์ตเนอร์สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 อย่างเป็นทางการ เพื่อใช้ต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในช่วงระหว่างการประชุมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders' Meeting 2022: AELM 2022) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 นี้ 

เราลองมาดูรถคันนี้กันดีกว่า ว่า BMW รุ่นนี้มีอะไรเด็ด ถึงขั้นถูกใช้เป็นพาหนะหลักในการต้อนรับผู้นำเอเปค 

BMW i7 สะท้อนวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 2 ตัว พละกำลังสูงสุด 552 แรงม้า ที่ 5,000 – 12,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร ที่ 0-5,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกันขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive แบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 101.7 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า มีกำลัง 262 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหลัง มีกำลัง 317 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ชาร์จไฟจนเต็ม วิ่งไกล 625 กิโลเมตร

ระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้า รองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo กระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW / กระแสตรง DC Fast Charging 195 kW หรือ จาก 10-80% ใช้เวลา 34 นาที หรือ ชาร์จ 10 นาที วิ่งได้ไกล 170 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

‘รุสลัน เจ๊ะมะ’ จากมหาบัณฑิต สู่ ‘เกษตรกร’ สายผสมผสาน แสวงสุขที่แท้จริง ตามรอยหลัก ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ 

อย่างที่เราทราบกันดี ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย 

ซึ่งแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นทางสายกลางที่เหมาะสมกับการยึดถือในการดำเนินชีวิต โดยมีหลักความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี ‘สติ ปัญญา และความเพียร’ ซึ่งจะนำไปสู่ ‘ความสุข’ ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง

แน่นอนว่า พระองค์ไม่ได้พระราชทานปรัชญานี้สำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชนชั้นใด ก็สามารถประยุกต์เอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตได้

เช่นเดียวกันกับ ‘รุสลัน เจ๊ะมะ’ อดีตเยาวชนสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 1 ชาว อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผู้มีความเชื่อมั่นต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้ว่าเขาจะจบการศึกษา มหาบัณฑิตด้านนิติศาสตร์อิสลาม จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย แต่เขาก็กลับมาที่ประเทศไทย ซึ่งเป็น ‘บ้านเกิด’ เพื่อทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

“เคยมีคนถามเยอะเลยครับว่าเรียนจบสูง ทำไมไม่ทำในด้านที่จบมา ผมก็เลยบอกว่า บางคนถนัดไปเรียนด้านนี้ แต่กลับมาทำด้านอื่นได้ เพราะว่า ความรู้ที่ได้มา ก็เอามาทำในส่วนนี้ก็ได้เหมือนกัน”

หาก ‘รุสลัน’ เลือกที่จะทำงานตามสายที่จบมา เขาอาจจะได้มีโต๊ะนั่งทำงานที่สบายกว่านี้ แต่เขากลับเลือกที่จะเดินตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่เขาศรัทธาและเดินเข้าสวนเกษตรที่เป็นมรดกตกทอดจากพ่อของเขา 

“ผมจบนิติศาสตร์อิสลามที่ประเทศมาเลเซียครับ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ส่วนตอนนี้ก็ทำสวน เป็นเกษตรกร ใช้เศรษฐกิจพอเพียง มีปลูกข้าวโพด ข่า ขมิ้น สัปปะรด และอีกหลายๆ อย่าง เป็นเกษตรผสมผสาน ทำมาประมาณ 2 ปีแล้วครับ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top