Saturday, 5 July 2025
POLITICS TEAM

มีข่าวสะพัดในโลกออนไลน์จากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังถึง 'เราชนะ' ที่อาจจะเข้ามาเยียวยา ผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' หรือ 'บัตรคนจน' 14 ล้านคน ให้เฮแบบรับ 2 เด้ง ไม่ต้องลงทะเบียน ก็ได้เงินเข้าอัตโนมัติเดือนละ 4,000 บาท 2 เดือน แต่ดูเหมือนเรื่องนี้ อาจมีพลิก!

เพราะดูเหมือนทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดของโครงการ 'เราชนะ' เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 19 มกราคมนี้ ซึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ม.ค.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนมกราคม และผู้ผ่านการตรวจสอบสิทธิจะได้เงินอย่างช้าสุดน่าจะไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า คนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง โชเฟอร์แท็กซี่ มัคคุเทศก์ คนขายลอตเตอรี่ และเกษตรกร ได้เงินคนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน

สรุปแล้วคือต้องรอถึงการประชุมครม.รอบหน้า จึงน่าจะตอบได้ชัดว่าใครได้ ใครอด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข่าวสะพัดเล็ดรอดออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีข่าวสะพัดอีกระลอกในโลกออนไลน์ให้คนไทย 'คอตก' กันเป็นแถบ หลังคาดว่าโครงการนี้จะจ่ายจาก 'ฐานอาชีพ' หรือ 'พื้นที่' โดยแนวคิดที่มีการพูดคุยกัน คือ อาจยึดเกณฑ์จากการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ซึ่งใน 28 จังหวัดนี้ ถือว่าครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมได้รับผลกระทบ จึงยังมีการดีเบตกันอยู่ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่จัดเตรียมงบประมาณไว้ 200,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องต้น เงินที่ให้นี้ อาจเป็นรูปแบบการให้สิทธิผ่านแอปพลิเคชัน แล้วไปทยอยใช้ตามร้านค้าตามจุดต่างๆ เหมือนกับโครงการคนละครึ่ง โดยไม่ต้องจับเงินสด

อย่างไรเสีย ทั้งหมดก็ยังไม่มีการยืนยันใดๆ ออกมาจากปากเจ้ากระทรวงการคลังทั้งสิ้น แต่ถ้าหากอนุมัติเพียงแค่ 28 จังหวัดจริง คงทำให้ผิดหวังกันทั้งประเทศแน่นอน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (15 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 271 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,262 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 รวมยอดผู้เสียชีวิต 69 ราย รักษาหายเพิ่ม 717 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,660 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,533 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 271 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากฟิลิปปินส์ 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,ฮังการี 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,เยอรมนี 6 ราย ,อียิปต์ 1 ราย ,เช็ก 1 ราย ,เบลเยี่ยม 1 ราย ,ซูดาน 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,คูเวต 1 ราย , ตุรกี 3 ราย

เป็นคนไทย 13 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 81 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 73 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 426 ราย รักษาหายแล้ว 381 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.11 แสน เสียชีวิต 25,246 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.48 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.13 แสน ราย เสียชีวิต 578 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.33 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.16 แสน ราย เสียชีวิต 2,912 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.95 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.59 แสน ราย เสียชีวิต 9,739 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,029 ราย รักษาหายแล้ว 58,757 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,531 ราย รักษาหายแล้ว 1,369 ราย เสียชีวิต 35 ราย

สมาคมคราฟท์เบียร์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลังกทม.ห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้าน

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มสมาคมคราฟท์เบียร์ประเทศไทยโดย นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัวดิ์ ( นายกสมาคม Craft Beer ประเทศไทย) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องขอเสนอมาตรการการบรรเทาและเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่

นายอาชิระวัสส์ กล่าวว่า เนื่องด้วยคำสั่งของกรุงเทพในการห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้านอาหารส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งประเทศทางสมาคมฯมีความเข้าใจถึงความปรารถนาดีและกังวลในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม

โดยปัญหาที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญมีดังต่อไปนี้

1.) ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าไม่สามารถระบายสินค้าเบียร์สดซึ่งเป็นสินค้าที่มีต้นทุนสูงและมีอายุสินค้าสั้นได้

2.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเบียร์สดในบรรจุภัณฑ์อื่นๆเพื่อให้ลูกค้านำกลับไปบริโภคที่บ้านได้เนื่องจากผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตมาตรา 157 ทำให้ต้องสูญเสียสินค้าไปโดยใช่เหตุ

3.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้เนื่องจากผิดกฎหมายห้ามซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์แม้แต่กฎหมายนี้จะยังคงมีปัญหามีความคลุมเครือและไม่ชัดเจนเช่นไม่สามารถให้คำนิยามคำว่าอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกทั้งยังไม่มีคู่มือให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

4.) ปัญหามาตรา 32 พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เพียงห้ามให้ร้านค้าโพสต์ประชาสัมพันธ์หรือขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทาง Social Media แต่ยังรวมไปถึงการเขียนถึงสินค้าแม้จะไม่มีรูปประกอบซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิดตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้มีผู้ประกอบการร้านค้าไม่น้อยกว่า 600 ร้าน และผู้ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย มูลค่าความเสียหายขั้นต่ำที่เกิดขึ้นเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท ต่อเดือน

คอกระท่อม เตรียมปลูก-กินเสรี หลังพิจารณาปลดล็อคพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติดให้โทษเสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม คาดเสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้อย่างแน่นอน

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ....ได้แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ...เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีสาระสำคัญของการยกเลิกพืช กระท่อมออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษดังนี้

1.) ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีหลักการเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 และยกเลิกบทกำหนดโทษ และอัตราโทษสำหรับความผิดที่เกี่ยวกับพืชกระท่อม ตลอดจนยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับการประกาศให้ท้องที่ใด เป็นท้องที่ทำการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เปิดกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติดให้โทษต่อไป และประชาชนผู้บริโภคพืชกระท่อมได้โดยไม่มีความผิด และไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย เว้นแต่จะนำไปผสมเป็นสารเสพติดชนิดอื่น เช่น นำไปต้มเป็นน้ำกระท่อม 4 × 100

2.) ที่ประชุมได้กำหนดระยะเวลาการประกาศใช้กฎหมายหลังจากประกาศในราชกิจจานุเษกษา จากร่างเดิมที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ 180 วันลดเหลือ 90 วัน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้พืชกระท่อมได้อย่างเสรีและรวดเร็วที่สุดและในระหว่างที่กฎหมายฉบับนี้รอการบังคับใช้ ก็จะประสานงานขอความอนุเคราะห์ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ได้พิจารณาใช้ดุลพินิจในการจับกุมโดยอนุโลม

3.) การกำหนดเงื่อนไขระยะเวลา 90 อวัน ที่มีผลบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ก็เพื่อรอการจัดทำร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. ...ขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ตนในฐานะที่เป็นผู้ผลักดันการยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดมาโดยตลอด จะเสนอร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อมขึ้นมาด้วย เพื่อประกบกับร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ฉบับของรัฐบาลด้วย

สำหรับผลของการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่....พ.ศ....ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้แก้ไขมีผลบังคับใช้ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนใน 3 ประการ คือ

1.) เป็นการลดภาระการใช้จ่ายภาครัฐ จากจำนวนคดีเกี่ยวกับพืชกระท่อมทั้งหมด ที่มีจำนวนประมาณ 76,000 คดี และมีคดีพืชกระท่อม 15,925 คดีต่อปี ถ้ากฎหมายบังคับใช้เร็วขึ้น90วัน จะลดคดีพืชกระท่อมลงได้ 3981 คดี

2.) เป็นการช่วยเหลือประชาชนไม่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี เสียค่าปรับ จำคุก เสียประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด

3.) เป็นการส่งเสริมให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ขอเรียนให้ทราบว่าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่...พ.ศ. ได้พิจารณาเสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม ซึ่งจากการประสานงานภายในทราบว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมในสัปดาห์หน้า จึงคาดหมายว่าจะ เสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้อย่างแน่นอน

ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธ์’ โพสต์เฟซบุ๊กโต้โลกโซเซี่ยล ยันไม่คิดร่วมตั้ง ‘พรรคทหาร’ ย้ำไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และเป็นบันไดสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด

ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธ์’ โพสต์เฟซบุ๊กโต้โลกโซเซี่ยล ยันไม่คิดร่วมตั้ง ‘พรรคทหาร’ ย้ำไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และเป็นบันไดสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย อดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยัน ไม่ได้ไปร่วมตั้งพรรคทหารตามที่มีโซเชี่ยลเผยแพร่ข้อมูล ว่า “ตามที่มีความพยายามในการปล่อยข่าวโดยผู้ไม่ปรารถนาดีว่า ดิฉันจะไปร่วมตั้งพรรคกับทหาร

ขอเรียนยืนยันว่า จากพฤษภาทมิฬ 35 ผ่านมาถึงวันนี้ 29 ปี ตลอดชีวิตทางการเมือง ดิฉันยืนตรงข้ามเผด็จการมาโดยตลอด

ดิฉันยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

"ไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และไม่มีวันที่จะยอมเป็นบันไดให้เผด็จการเหยียบยืนขึ้นไปเพื่อสืบอำนาจอย่างเด็ดขาด"

ใครที่ปล่อยข่าวว่าดิฉันจะร่วมมือกับเผด็จการ หันมาร่วมมือกัน #ขับไล่เผด็จการฯ ดีกว่ามั๊ยคะ? “

สปป.ลาว เริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกผู้บริหารประเทศอีกครั้ง หลังรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดวาระ 5 ปี รู้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดสำคัญภายในวันที่ 15 มกราคมนี้

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

การประชุมใหญ่ของ ผู้แทนทั่วประเทศของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จัดเป็นประจำทุก 5 ปี ในระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2564

โดยเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2564 กองประชุมใหญ่ ได้ทำการลงคะแนน ในการคัดเลือกคณะกรรมการกลางพรรค และคณะกรรมการกรมการเมือง ซึ่งผลการเลือกตั้งจะแถลงอย่างป็นทางการในวันนี้ 15 มกราคม 2564

การเลือกคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ จำนวน 11 คน ซึ่งถือเป็นคณะผู้บริหารสูงสุดของพรรค และ เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่อีก 9 คน รวมถึงผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค

ซึ่งเมื่อได้รายชื่อคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ ขั้นตอนต่อไป เป็นการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการบริหารของประเทศ ประกอบด้วย ประธานประเทศ โดยปกติผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค คือ ผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

ที่สำคัญ คือ การคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การประชุมพรรคนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดวาระการทำหน้าที่ของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีอายุครบ 5 ปี

การจัดกองประชุมครั้งนี้ นายบุนโจม อุบนปะเสิด เลขาคณะบริหารงานพรรค กระทรวงการเงิน และหัวหน้าอนุกรรมการงบประมาณ ใช้งบประมาณเบื้องต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพร้อมของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จนถึงวันประชุม เป็นเงิน 70,000 ล้านกีบ หรือ ประมาณ 209 ล้านบาท

มีองค์กรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ จำนวน 26 แห่ง แสดงเจตจำนงให้การสนับสนุนทั้งในรูปเงินสดและวัตถุปัจจัย เพื่อให้การประชุมประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

มี 8 บริษัทที่ให้สนับสนุนเป็นเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านกีบ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ขึ้นไป ซึ่งบริษัทเอสทีและธนาคารเอสที สนับสนุนมากที่สุด 1,200 ล้านกีบ และบริษัทเอสวี กรุ๊ป อีก 100 ล้านกีบ (บริษัททั้งสองอยู่ในกลุ่มเดียวกัน)

รองลงมาเป็น บริษัทลาวโทละคมมะนาคม 1,100 ล้านกีบ ยังมีรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐ ร่วมมอบเงินสนับสนุน โดยบริษัทเบียร์ลาว ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว และธนาคารแห่ง สปป.ลาว (แบงก์ชาติลาว) สนับสนุนหน่วยงานละ 500 ล้านกีบ บริษัทรัฐวิสาหกิจหวยพัฒนา มอบเงินสนับสนุน 300 ล้านกีบ กลุ่มบริษัทดาวเรือง ไม่ได้มอบเป็นเงิน แต่ได้นำผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำดื่ม กาแฟ ชา ผลไม้อบแห้ง มาร่วมสนับสนุนคิดเป็นมูลค่า 120 ล้านกีบ

ผู้สนับสนุนเหล่านี้ ในทางการเมืองบ้านเรา ก็ถือว่า เป็นกลุ่มทุน และย่อมมีบทบาทต่อไป หลังการประชุมครั้งนี้ เสร็จสิ้นลง


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

ซากุระล่มสลาย!! ญี่ปุ่น เจอพิษโควิด-19 ถล่มหนัก ประกาศปิดประเทศ 100% ไม่เปิดรับต่างชาติทุกกรณีแล้ว!

ช่วงฤดูกาลเช่นนี้ และอากาศแบบนี้ หากนับก่อนช่วงโควิด-19 ระบาด คนไทยมักจะฝันถึงแผนการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นจำนวนมาก โดยจากสถิติขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจเอ็นทีโอ) รายงานว่ามีคนไทยเดินทางไปญี่ปุ่นเดือนเมษายนมากที่สุดถึง 1.48 แสนคน

ทว่าฝันนี้คงล่าช้าไปอีกยาวนาน หลังล่าสุด นายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ สุงะ ของญี่ปุ่นประกาศปิดประเทศ ห้ามชาวต่างชาติที่ไม่ได้มีถิ่นพำนักในญี่ปุ่นทุกคนเดินทางเข้าประเทศ ไม่เว้นแม้แต่นักธุรกิจหรือนักเรียนจากไต้หวันและประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศรวมทั้งไทย ที่ได้รับการยกเว้นก่อนหน้านี้

สำหรับมาตรการนี้จะบังคับใช้จนถึงวันที่ 7 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและพื้นที่อื่นๆ ที่พบ Covid-19 ระบาดหนัก

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เคาะจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 บาท เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมบังคับซื้อประกันภัยรองรับกรณีเจ็บป่วย-อุบัติเหตุ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการจัดเก็บและการบริหารจัดการค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 บาท

เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะนำเรื่องนี้ประกาศลงในราชกิจกานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

“กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะมีการประกาศใช้โดยกำหนดค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขต่างๆ โดยจากนี้จะประสานทำตามขั้นตอนให้เสร็จในขณะที่ตอนนี้ยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพราะถ้าใช้ตอนที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาคงจะยุ่ง ซึ่งข้อดีของการจัดทำเรื่องนี้ จะสามารถดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีที่เขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้

ส่วนวงเงินที่จัดเก็บมาแล้ว ส่วนหนึ่งจะนำเงินไปซื้อประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อดูแลเขา ซึ่งเงินที่จะเอาไปซื้อประกันนั้นอาจจัดเก็บที่ประมาณ 34 บาท โดยจากนี้จะไปหารือกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อีกครั้ง”

สำหรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยนำมาสมทบในกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศไทย โดยจะจัดเก็บรูปแบบออนไลน์

เบื้องต้นในปี 64 นี้ หากเริ่มต้นเก็บคนละ 300 บาท ตามประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 10 ล้านคน จะทำให้กองทุนมีเงินถึง 3,000 ล้านบาท

“ธนกร”ป้อง”บิ๊กตู่” ย้อน”เสรีพิศุทธ์”สมัยรับราชการก็มีบ่อน แต่จัดการได้เด็ดขาดสักครึ่งที่นายกฯ กำลังทำหรือไม่ ยันรัฐบาลจัดการเด็ดขาดแน่ ไม่เว้นแม้มีจนท.เกี่ยวข้อง แจงข้อเสนอ”กรณ์”ทำบ่อนถูกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีเข้ารัฐ ต้องรับฟังทุกฝ่าย

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี กล่าวถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย โพสต์เฟซบุ๊กไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง

เพราะปราบบ่อนกระจอกยังไม่ได้ ว่าหลายคนที่นำคำพูดของนายกฯไปบิดเบือน ที่นายกฯบอกว่าไม่มีใครทำได้สำเร็จเพียงคนเดียว ต่อให้ 100 นายกฯ ก็ทำไม่ได้ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าใครเก่งกาจสามารถแค่ไหนก็ทำไม่ได้ แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่มีใครที่จะทำได้สำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ถ้าทุกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ หากจะให้สำเร็จทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เช่นเดียวกับการทำงานให้กับประเทศ ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน ประเทศจึงจะเดินหน้าไปได้ บ่อนการพนันก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าปราบไม่ได้ แต่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือด้วย เพื่อให้สิ่งเหล่านี้หมดไปอย่างแท้จริง

และอยากจะย้อนความจำว่าในสมัยที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังรับราชการอยู่ก็มีบ่อนผิดกฎหมายให้ตำรวจไล่จับกันมาตลอด เมื่อจับเสร็จสักพักคนก็แอบไปเล่นกันอีก ก็เป็นแบบนี้เช่นกันไม่ใช่หรือ อย่าทำเหมือนความจำสั้น เรื่องบ่อนนายกฯ กำชับสั่งการอย่างเด็ดขาดแล้วว่า หากมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องลงโทษเด็ดขาด มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดด้วย ถามว่าก่อนที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะตำหนิหรือออกมาไล่นายกฯควรย้อนไปดูผลงานตัวเองในอดีตด้วยว่า เคยทำได้สำเร็จหรือกล้าลงโทษเด็ดขาดได้สักครึ่งหนึ่งอย่างที่นายกฯ ทำหรือไม่ ไม่ใช่พ่นน้ำลายไปวันๆ

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เสนอให้รัฐบาลเปิดบ่อนถูกต้องตามกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน แล้วนำภาษีมาเข้ารัฐนั้น การเสนอให้มีบ่อนถูกต้องตามกฎหมายมีการพูดคุยกันมาในทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาล มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

คนที่เห็นด้วยบอกว่าหากมีบ่อนถูกกฎหมายจะสามารถเก็บภาษีเพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศได้จำนวนมาก แก้ปัญหาส่วยต่างๆ ได้ ที่สำคัญ บ่อนกาสิโนแต่ละประเทศป้องกันไม่ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าไปเล่น ไม่ใช่ว่าประชาชนทั่วไปจะเข้าไปเล่นได้ และทุกประเทศรอบๆ เมืองไทยมีบ่อนถูกต้องตามกฎหมายกันหมดแล้ว มีคนไทยเดินทางไปเล่นจำนวนมาก เงินไหลออกนอกประเทศ จึงสมควรที่จะทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ขณะที่คนที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ผิดศีลธรรม ไม่ควรมี อาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย ก็ต้องฟังเสียงทุกฝ่าย ทุกอย่างอยู่ที่สังคมว่าจะเอาอย่างไร ทุกปัญหา ทุกข้อเสนอแนะ รัฐบาลพร้อมรับฟัง วันนี้พล.อ.ประยุทธ์แก้ปัญหาให้กับประเทศสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง ส่วนบางเรื่องอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง จึงจะเห็นผลที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นขอให้มองด้วยใจที่เป็นธรรมและขอให้มั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน

ไมค์ ภาณุพงศ์ แกนนำม็อบคณะราษฎร ปลุกสาวกสามนิ้ว แบน ‘ดอยคำ’ โครงการหลวง ตัดทางทำมาหากินของชาวดอยผู้ด้อยโอกาส

จากกรณีที่พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ หรือพิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เดินทางไปที่ หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านและเด็กๆ ซึ่ง พิมรี่พาย ก็ได้ทุ่มเงินของตัวเองกว่า 5 แสนบาท ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และซื้ออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาสนั้น

ต่อมาก็ได้เกิดประเด็นร้อนแรง โดยมีสาวกปลดแอก ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของพิมรี่พาย และขยายผลเชื่อมโยงไปโจมตีสถาบัน โดยเฉพาะโครงการหลวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริตั้งโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเขา ที่อยู่ในถิ่นทุรกันการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้หาเลี้ยงตัวเองได้

ล่าสุด นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่มคณะราษฎร กลายเป็นอีกคนที่ออกมาโพสต์โจมตีเกี่ยวกับโครงการหลวง โดยได้โพสต์ข้อความถึงโครงการหลวงโครงการหนึ่งอย่าง ‘ดอยคำ’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าที่แปรรูปผ่านโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป หนึ่งในโครงการตามพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โดยระบุข้อความว่า

“ผลิตภัณฑ์ #ดอยคำ

ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ‘ดอยคำ’ มาจากการพัฒนาของ ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ ที่ #ได้งบประมาณจากรัฐปีละหกร้อยกว่าล้านบาท สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้งบประมาณที่ว่านี้ คือการแปรรูปและพัฒนาสินค้าเกษตร ก่อนจะถูกนำไปผลิตและจำหน่ายโดย ‘#บริษัทดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด’ ภายใต้แบรนด์ ‘ดอยคำ’

ที่หลายคนอาจจะเข้าใจว่า “#บริษัทดอยคำฯ” เป็นของมูลนิธิโครงการหลวง แต่ข้อเท็จจริงคือมูลนิธิฯ ถือหุ้นเพียง 2.94% ส่วนที่เหลืออีก 97.06% นั้นถือหุ้นโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ อันนี้ว่าตามข้อมูลปี 2560 เพราะปัจจุบันหุ้นในส่วนนี้ #ถือตรงโดยพระนามของในหลวง ร.10 ของเรา

งบประมาณจากเงินภาษี -> อุดหนุนมูลนิธิโครงการหลวง -> ม.โครงการหลวงใช้งบประมาณรัฐพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ปั้นโปรดักส์) ก่อนจะให้ บจก.ดอยคำ ซึ่งมีฐานะเป็น ‘บริษัทเอกชน’ (และถือหุ้นใหญ่โดยในหลวง ร.10) ผลิตและจำหน่าย”

สำหรับ ดอยคำ ก่อตั้งขึ้นจากแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย ทรงก่อตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปขึ้นในพื้นที่การเกษตร เมื่อปี พ.ศ.2515 ดำเนินการส่งเสริม รับซื้อ พัฒนา และแปรรูปผลผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพที่มีคุณภาพ ในราคาเป็นธรรม โดยเริ่มต้นเพียง 10 รายการ ใน 2 กลุ่มสินค้า ต่อมาในปี พ.ศ.2537 ได้จัดตั้งองค์กรเป็นนิติบุคคลภายใต้ชื่อ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ตามศาสตร์พระราชา พัฒนาสร้างสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนและผลผลิตของเกษตรกรไทย ส่งเสริม รับซื้อ พัฒนา และแปรรูปผลผลิต พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมเกษตรปลอดภัย พลังงานทดแทน เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการมุ่งพัฒนาชุมชน ให้เกิดความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างยั่งยืน จวบจนปัจจุบัน


ที่มา: The Truth


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top