Monday, 20 May 2024
Hard News Team

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมทำลาย ‘ยารักษาโควิด-19’ ชนิดกิน หลังจากเหลือ-ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ราว 77%

(15 พ.ค.67) สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นรายงานว่า ญี่ปุ่นเตรียมทำลายยารักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ชนิดรับประทานราวร้อยละ 77 ที่ซื้อมาสำรองไว้ เนื่องจากยังคงเหลือและไม่ได้ถูกนำมาใช้

สื่ออ้างอิงการคาดการณ์ของรัฐบาลญี่ปุ่น รายงานว่า รัฐบาลฯ ได้จัดหายาชนิดรับประทานสำหรับประชาชน 5.6 ล้านคนในช่วงเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่ยังคงเหลือยาสำหรับประชาชนอีกจำนวน 4.3 ล้านคน

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าญี่ปุ่นซื้อยาเม็ดโซโควา (Xocova) ซึ่งผลิตโดยชิโอโนกิ แอนด์ โค (Shionogi & Co.) สำหรับผู้ป่วย 2 ล้านคน ยาแคปซูลลาเกวริโอ (Lagevrio) ที่ผลิตโดยเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co.) สำหรับผู้ป่วย 1.6 ล้านคน และยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ที่ผลิตโดยไฟเซอร์ อิงก์ (Pfizer Inc.) สำหรับผู้ป่วย 2 ล้านคน ทว่าไม่มีการเปิดเผยมูลค่าของยาที่ซื้อมาทั้งหมด

อย่างไรก็ดี การคำนวณตัวเลขที่เกี่ยวข้องพบว่าญี่ปุ่นยังคงมียาเม็ดโซโควาเหลือสำหรับผู้ป่วย 1.77 ล้านคน ยาแคปซูลลาเกวริโอเหลือสำหรับผู้ป่วย 780,000 คน และยาแพกซ์โลวิดเหลือสำหรับผู้ป่วย 1.75 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งคาดว่ายาที่เหลือทั้งหมดมูลค่าราว 3 แสนล้านเยน (ราว 7.04 หมื่นล้านบาท) จะถูกทำลายเนื่องจากหมดอายุแล้ว

ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้กำจัดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ไม่ได้ใช้ไปแล้ว 240 ล้านโดส ซึ่งมีมูลค่ารวม 6.65 แสนล้านเยน (ราว 1.56 แสนล้านบาท)

การเดินทางของ ‘ทุเรียนไทย’ สดใหม่ สู่ ‘ตลาดจีน’ ในไม่กี่วัน หลังรับอานิสงส์หลายด้าน ‘พิธีการศุลกากร-เก็บรักษา-วิธีขนส่ง’

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาพคนงานปีนต้นทุเรียนใช้มีดตัดผลผลิตบนยอดสูงชะลูด ก่อนโยนให้เพื่อนคนงานที่รอรับใต้ต้นอย่างชำนิชำนาญด้วยถุงกระสอบ ส่งสัญญาณการเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะปลูกทุเรียนแห่งสำคัญของไทย

ศศิธร เจ้าของสวนทุเรียนมากกว่า 2,000 ต้น ผู้ทำธุรกิจซื้อขายทุเรียนมานานกว่า 10 ปี เล่าว่าเธอจ้างคนงานตัดผลผลิตทุกวันมากกว่า 40 คนในฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนปีนี้ โดยผลผลิตของปีนี้ลดลงเพราะภัยแล้ง สวนทางกับความต้องการทุเรียนของตลาดจีนที่ยังคงสูง

"เราส่งออกทุเรียนหลายสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์กระดุมที่สุกพร้อมเก็บเกี่ยวก่อนหน้านี้และพันธุ์หมอนทองที่ชาวจีนนิยม" ศศิธรกล่าว โดยทุเรียนจากสวนของศศิธรถูกขนส่งสู่โรงงานแปรรูปใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว เพื่อคัดเลือก ชั่งน้ำหนัก บรรจุหีบห่อ และเคลื่อนย้ายสู่สายส่ง

วีระชัย ผู้จัดการโรงงานแปรรูปทุเรียน บอกกับสำนักข่าวซินหัวว่า จีนเป็นตลาดสำคัญมาก โดยปีนี้ส่งออกทุเรียน 23 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ส่วนใหญ่ส่งออก 3 ทาง แบ่งเป็นทางอากาศร้อยละ 20 ทางทะเลร้อยละ 40 และทางบกร้อยละ 40

อนึ่ง ไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก โดยข้อมูลจากสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 รวม 1.426 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนสดจากไทย 929,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 65.15 การนำเข้าทุเรียนสดทั้งหมดของจีน

ก่อนหน้านี้ผลไม้เมืองร้อนที่ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียนมักเข้าสู่ตลาดจีนได้ยาก เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาที่สั้น กอปรกับข้อจำกัดด้านการขนส่งและคลังสินค้า ทว่าปัจจุบันทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ จากอาเซียนสามารถถูกขนส่งสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกข้างต้นเป็นผลจากการเสริมสร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน การบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ตลอดจนโครงการเชื่อมต่อจำนวนมาก เช่น ระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลใหม่ (สายตะวันตก) และการพัฒนาอันรวดเร็วของระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

ขณะด่านโหย่วอี้หรือด่านมิตรภาพในเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเวียดนาม ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนไทยในปี 2023 รวม 282,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 162.4 เมื่อเทียบปีต่อปี และรับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้ ราว 48,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนสดจากไทย 13,000 ตัน

การนำเข้าและส่งออกที่เฟื่องฟูนี้เป็นผลประโยชน์จากนโยบายปลอดภาษีศุลกากรและการเพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร โดยหวงเฟยเฟย เจ้าหน้าที่ศุลกากรด่านโหย่วอี้ เผยว่ามีการอัปเกรดจุดกำกับดูแลอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการสร้างช่องทางพิเศษสำหรับทุเรียนนำเข้า และดำเนินมาตรการเกื้อหนุนพิธีการศุลกากร เช่น ช่องทางด่วนสำหรับผลไม้นำเข้า ส่วนตลาดไห่จี๋ซิงในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผลไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในกว่างซี ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดจากไทยเช่นกัน โดยโม่เจียหมิง พ่อค้าคนหนึ่ง นำเข้าทุเรียนจากไทยราว 50 ตันทุกวัน และจัดจำหน่ายสู่ตลาดในประเทศผ่านหลายช่องทาง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ร้านค้าปลีก และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

โม่เล่าว่าปีนี้นำเข้าทุเรียนราว 1,800 ตันแล้ว โดยทุเรียนจากไทยถูกขนส่งมาป้อนตลาดจีนได้เร็วขึ้นภายใน 3-5 วัน เนื่องด้วยอานิสงส์จากการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรและเทคโนโลยีการเก็บรักษาแบบห่วงโซ่ความเย็น รวมถึงมีวิธีการขนส่งให้เลือกเพิ่มขึ้น ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และทางราง

ทั้งนี้ โม่ที่ทำธุรกิจนำเข้าทุเรียนมานาน 6 ปีแล้ว เชื่อว่าตลาดทุเรียนของจีนยังคงมีศักยภาพมหาศาล โดยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-อาเซียนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น บวกกับนโยบายและมาตรการเกื้อหนุนต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูและพัฒนาตลาดผู้บริโภค ทำให้ทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ จากอาเซียนคว้าโอกาสจากตลาดจีนเพิ่มขึ้นในอนาคต

อินโดฯ ยก!! ‘หลานม่า’ หนังที่งดงาม จนต้องหลั่งน้ำตา นานาชาติเตรียมต่อคิวดึงเข้าฉาย ไม่เว้นแม้แต่กัมพูชา

(15 พ.ค.67) สร้างปรากฏการณ์น้ำตาท่วมจออีกครั้ง สำหรับภาพยนตร์ ‘หลานม่า’ ค่ายจีดีเอช ผลงานกำกับโดย ‘พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์’ ที่ได้นักแสดงสุดฮอตอย่าง บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล, และยายแต๋ว อุษา เสมคำ นางเอกวัย 78 ปี ที่ทำให้ผู้ชมหลงรักในความสัมพันธ์ของหลานกับอาม่ากันทั่วประเทศไทย จนทำรายได้เป็นอันดับ 1 ของหนังจีดีเอชในกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย และกำลังเดินหน้าไปฉายในต่างประเทศทั่วเอเชีย ประเดิมรอบพรีวิวที่แรกในประเทศอินโดนีเซีย ปรากฏว่าในรอบนี้ เหล่าผู้ชมที่เป็นอินฟูเอ็นเซอร์ชื่อดังของอินโดฯ ถึงกับหลั่งน้ำตากล่าวชื่นชมว่าเป็นภาพยนตร์ที่งดงาม เข้าถึงหัวใจผู้ชมเป็นอย่างมาก รายละเอียดของหนังเชื่อมโยงชีวิตตัวเองสะท้อนออกมาบนจอภาพยนตร์ จนทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

​นอกจากฉายที่อินโดนีเซียแล้ว หลานม่า กำลังจะเข้าฉายที่ ฟิลิปปินส์, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, กัมพูชา, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, จีน, เกาหลีใต้ และกำลังรอสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน

สกพอ. บูรณาการความร่วมมือสร้างการรับรู้ ผ่านเครือข่ายครูแกนนำ EEC ร่วมกับ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการ สกพอ. สายงานพื้นที่และชุมชน
ร่วมบรรยายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าการพัฒนา อีอีซี แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูแกนนำ EEC นำร่อง ในเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด ชลบุรี ระยอง ณ โรงเรียนบ้านบึง "อุตสาหกรรมนุเคราะห์" จังหวัดชลบุรี โดยมีนายนายจิรกร ฐาวิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยกิจกรรมดังกล่าว มุ่งเน้นให้ผู้อำนวยการและครูแกนนำของโรงเรียนทั้ง 51 โรงเรียนในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง เป็นกลไกสำคัญและเป็นตัวแทนของ อีอีซี ในการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้กับครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน เกี่ยวกับภารกิจและความก้าวหน้าของการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด อีอีซี รวมถึงประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนา ทั้งด้านแศรษฐกิจและสังคม และส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมพัฒนาบุคคลากรทางการศึกษาและนักเรียน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ สร้างความพร้อมและสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ยังสามารถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวสู่เส้นทางอาชีพต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้สามารถวางแผนกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสมรรถนะและตำแหน่งงานที่จะเกิดขึ้นใน อีอีซี และสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ระดมความคิดเห็นเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และแนวทาง จากกลุ่มผู้บริหารโรงเรียน และกลุ่มครูแกนนำ EEC ให้เป็นอีกหนึ่งแกนนำในการสร้างการรับรู้และประโยชน์จากการพัฒนา อีอีซี สู่กลุ่มนักเรียน เยาวชน และชุมชน รวมถึงระดมความคิดเห็นแนวทางในการบูรณาการเพื่อจัดทำแผนการพัฒนาครู และนักเรียน รวมถึงชุมชน อีกด้วย
ถือเป็นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ ระหว่าง สกพอ. สถานศึกษา ครู และเยาวชน อย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงประโยนชน์จากการลงทุนสู่สถานศึกษาและชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ สกพอ. ยังร่วมมือกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD
ในการเสริมทักษะครูแกนนำ EEC สร้างแรงบันดาลใจ ติดอาวุธ เสริมทักษะและเทคนิคการถ่ายทอด
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนา อีอีซี ตามแนวคิดเศรษฐกิจฐานความรู้ เช่น Knowledge Mapping
การถ่ายทอดความรู้จากสิ่งรอบตัว การเชื่อมโยงความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษา บุคลากร และนักเรียน สามารถปรับตัวให้สอดรับการพัฒนาเมือง และได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน

สตม. รวบแม่เล้าลวงหญิงไทยค้ามนุษย์ต่างแดน

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ กก.สส.บก.ตม.4 จับกุม มาดามฟา (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 102/2567 ลงวันที่ 28 มี.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กลอุบายหลอกลวง ขู่เข็ญเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี สมคบกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยการบังคับค้าประเวณี โดยร่วมกันเป็นธุระจัดหา พามาจาก จัดให้พักอาศัย โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับหลอกลวงใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและข่มขืนใจให้ผู้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือยอมหรือจำยอมต่อสิ่งใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักในพื้นที่ ต.โพธิ์ชัย อ.โคกโพธิ์ชัย จว.ขอนแก่น

กรณีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา เข้าช่วยเหลือหญิงไทยเดินทางมาจากประเทศมาเลเซียแล้วแจ้งว่าถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบพร้อมทั้งประสานสหวิชาชีพสัมภาษณ์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ได้ความว่าผู้เสียหายต้องการไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จึงติดต่อผ่านนายหน้าทางสื่อออนไลน์ แต่เมื่อไปถึงประเทศมาเลเซียกลับถูกแม่เล้าแจ้งว่าต้องพักอาศัย ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเมืองกัวลาลัมเปอร์ เพื่อทำงานค้าประเวณีชดใช้หนี้ค่าเดินทางหรือค่าแทก จำนวน 4,500 ริงกิต (ประมาณ 35,000 บาท) ขณะอยู่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และถูกกักขังไม่สามารถออกไปไหนได้โดยลำพังจนกว่าจะใช้หนี้หมด แต่เมื่ออยู่ได้ประมาณ 5 วัน จึงตัดสินใจหลบหนีกลับมาประเทศไทย แล้วเข้าขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากแม่เล้าขู่ว่าจะมีคนมาดักรอที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อจับไปขายต่อ ทีมสหวิชาชีพ ได้ลงความเห็นว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบว่า มาดามฟา ทำหน้าที่เป็นแม่เล้า ล่อลวง กักขัง บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้าประเวณี จึงรวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จนกระทั่งศาลจังหวัดนาทวีได้อนุมัติหมายจับตามข้อกล่าวหาข้างต้น ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่ามาดามฟาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.โพธิ์ชัย อ.โคกโพธิ์ชัย จว.ขอนแก่น จึงไปติดตามจับกุม ในชั้นจับกุม มาดามฟาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่า ขณะอยู่ที่ประเทศมาเลเซียทำหน้าที่เป็นธุระจัดหาหญิงไทยเพื่อค้าประเวณีแต่เป็นไปด้วยความสมัครใจ มีเด็กในสังกัดเพียง 5 - 6 คน ติดต่อลูกค้าผ่านแอปพลิเคชันวอตส์แอปป์ได้ค่าประสานงาน 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินที่เก็บได้จากเด็กในสังกัด
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอประชาสัมพันธ์ให้คนไทยที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ ติดต่อบริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกลวงไปทำงานที่ผิดกฎหมายหรืออาจถูกหลอกไปเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'อัษฎางค์' เปิดต้นตอผู้ชักนำ 'บุ้ง' สู่เส้นทางนี้ ชี้!! โลกในทวิตเตอร์ คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ

(15 พ.ค.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้งทะลุวัง เสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค.ในหัวข้อ ‘บุ้ง ตอนที่ 1 ปฐมบทก่อนไปถึงจุดสิ้นสุด ใครชักนำหรืออะไรจูงใจให้บุ้งเข้าสู่วงการ’

โลกในทวิตเตอร์ คือจุดเปลี่ยนของชีวิตของบุ้ง

BBC THAI เคยรายงานข่าว จากปากคำของโบ พี่สาวของบุ้งว่า…

บุ้งเคยเป็นคนที่คอยบอกเพื่อน ๆ นักเรียนอยู่เสมอในฐานะคณะกรรมการนักเรียนว่า ต้องดูแลทรงผมให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องทำให้ถูกระเบียบ แต่เขาเริ่มเอะใจว่า ทำไมมีเพื่อนที่เห็นต่าง มีเพื่อนที่คัดค้านเรื่องทรงผม จึงทำให้ได้ฉุกคิดว่า ตัวกฎระเบียบก็ไม่ได้แฟร์ (ยุติธรรม) สำหรับกลุ่มคนหลายกลุ่ม หากฝ่าฝืนถึงขั้นคาดโทษกัน รวมทั้งกลุ่ม LGBTQ ที่พวกเขาต้องการแต่งตัวอีกแบบ

ในระหว่างสัมภาษณ์ โบได้หยิบภาพเก่า ๆ ที่เตรียมมาด้วย และมีท่าทีภูมิใจเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของน้องสาวคนนี้ว่า "เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร" พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

จากคำถามที่ผุดขึ้นในความคิดต่อระเบียบควบคุมนักเรียนระหว่างที่บุ้งเป็นคณะกรรมการนักเรียนยังคงทำงานของมันต่อผลที่ตามมาคือการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’

ที่กลายเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องการส่งเสียงเพื่อสิทธิตัวเอง (speak for yourself) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการไว้ทรงผมนักเรียน ซึ่งประสบผลสำเร็จจนทำให้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2563 มีระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด

โบยอมรับว่า ครอบครัวของเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อปี 2557 ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งในขณะนั้นบุ้งยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากนั้นเมื่อบุ้งได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้นจากข้อมูลชุดใหม่ผ่านสังคมออนไลน์อย่าง ‘ทวิตเตอร์’ ซึ่งมีการถกเถียงประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางและหลากหลาย
จากทวิตเตอร์ ตามมาด้วยช่อ พรรณิการ์-ทนายอานนท์

The Thaiger รายงานว่า…เส้นทางชีวิตของบุ้งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตัวเอง ในวัยเยาว์ เธอเคยหลงใหลในอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่แล้ววันหนึ่ง ประกายไฟแห่งความจริงก็ได้จุดประกายความคิดของเธอให้เปลี่ยนไป

‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช คือผู้จุดประกายนั้น’

เธอเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนไร้บ้านที่ถูกสไนเปอร์ยิง ความจริงอันโหดร้ายนี้ ทำให้เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และความรู้สึกผิดต่อผู้ที่สูญเสียก็หลั่งไหลเข้ามา

จุดกำเนิด ‘โพลทะลุวัง’ : เมื่อคำถามกลายเป็นอาวุธ

ความคิดที่จะใช้ ‘คำถาม’ เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจบุ้ง หลังจากได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับ ‘ทนายอานนท์ นำภา’ ผู้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการตั้งคำถามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

ใครกัน อำมหิตหลอกใช้เยาวชนและประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากนักเรียนดีสู่การเป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนเลว ต่อเนื่องไปสู่กลุ่มทะลุวัง เกิดจากการที่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนหลงผิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ปลุกปั่นจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีต่อประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติหรือไม่

หากจะหาผู้มีส่วนต่อการจากไปของบุ้งหรือคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดีในเรื่องที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็คงต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องร่วมมือกันป้องกันและกำจัดผู้ไม่หวังดี ที่ใช้ยุทธวิธีทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมาปลุกปั่นเยาวชนและประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของไทย

อย่างไรก็ตาม เราในฐานะประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนในการป้องกันหรือกำจัดคนที่อำมหิตเหล่านั้น ก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับบุ้งและคนอื่น ๆ

ดังนั้นเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและกำจัดขบวนการเหล่านี้

ทันควัน! หนุ่มต่างชาติลวงหญิงแลกเงินคริปโต จับคลุมหัวรีดเงิน ตม.รวบก่อนเตรียมเผ่นหนี

ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ สภ.ฉลอง จับกุม Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดนและรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานภูเก็ต จว.ภูเก็ต ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในกรณีนี้ ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ว่า Ms.Diera (นามสมมติ) อายุ 23 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหาย ได้มาแจ้งความว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 23.00 น. ได้นัดกับ Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดน/รัสเซีย ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ที่วิลล่าแห่งหนี่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต เพื่อนำเงินสดจำนวน 25,000 บาท มาแลกกับเงินคริปโตเคอเรนซี่ จำนวน 700 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อผู้เสียหายไปถึงที่นัดหมายได้พบกับ Mr.Oleksandr ในระหว่างที่พูดคุยกันในช่วงที่คนร้ายอีกคนกำลังเดินเข้ามาที่นัดหมายซึ่งผู้เสียหายไม่ทันระวังตัว Mr.Oleksandr ได้จับผู้เสียหายล็อค เอาถุงคลุมศีรษะ มัดแขน มัดขา และยึดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พร้อมกับบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับคนร้ายเพิ่ม และได้ทำร้ายผู้เสียหายด้วยการตบใบหน้าจนผู้เสียหายยอมบอกรหัสโทรศัพท์ ซึ่งไม่มีเงินในบัญชีออนไลน์แล้ว Mr.Oleksandr จึงบังคับให้ผู้เสียหายติดต่อเพื่อนซึ่งอยู่ห้องพักใกล้กับผู้เสียหายให้นำเงินสดในห้องพักของผู้เสียหายมาให้ โดยมีชายสัญชาติรัสเซีย ร่วมกับ Mr.Oleksandr ทำหน้าที่เป็นผู้ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย จำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินสกุลไทยอีกจำนวน 6,000 บาท มาให้ Mr.Oleksandr รวมทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกประทุษร้ายไปเป็นจำนวนเงิน 104,546 บาท หลังจาก Mr.Oleksandr ได้ทรัพย์สินแล้วจึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 2 คน

หลังจากได้บันทึกข้อมูล Mr.Oleksandr ในบัญชีเฝ้าดู ในเวลาต่อมา ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจาก ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต ว่า Mr.Oleksandr กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยเพื่อเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จึงได้ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ฉลอง ไปจับกุม Mr.Oleksandr ในฐานความผิด ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว ส่วนผู้ต้องหาอีกหนึ่งคนซึ่งทำหน้าที่ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย ได้หลบหนีเดินทางออกจากประเทศไทยไปก่อนแล้ว ซึ่งจะได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับและติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘กมธ.อุตฯ’ เร่งขยายปม-ความคืบหน้าไฟไหม้โรงงาน หลังสงสัยเหตุ ‘ระยอง-อยุธยา’ อาจเป็นการวางเพลิง

(15 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงกรณีกากแคดเมียมที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุม กมธ. ว่า วันนี้ กมธ.อุตสาหกรรม ได้เชิญปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงาน, กรมเหมืองแร่, กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจน ปปง., ป.ป.ท. ร่วมหารือว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการขนย้ายกากแคดเมียม ส่วนวันนี้จะติดตามความคืบหน้าในการขนย้ายกากแคดเมียมว่าแล้วเสร็จกี่จุด จำนวนกี่ตัน

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับเบื้องต้นในกรุงเทพฯ มีการขนย้ายเสร็จแล้ว จึงจะสอบถามคืบหน้าว่าที่ จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง มีการขนย้ายแล้วเสร็จหรือไม่อย่างไร

ส่วนกรณีเรื่องใบอนุญาตของโรงงานนั้น ประธานกมธ.การอุตสาหกรรม? กล่าวว่า เนื่องจากมีใบอนุญาตโรงงานค้างอยู่จำนวนมาก โดยในการประชุมครั้งที่ผ่านมาได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานมาชี้แจง พบว่าปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารไม่ครบถ้วน จึงต้องมีการส่งกลับไปให้บริษัทยื่นเอกสารมาเพิ่ม แต่คาดว่าจะมีการส่งกลับมาที่กรมแล้ว หากเอกสารครบทางอธิบดีก็จะเริ่มออกใบอนุญาตโรงงาน หรือ รง.4 ให้

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทาง กมธ.การอุตสาหกรรม ก็ได้ให้ความเห็นว่า การออกใบ รง.4 ตามที่ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมฯ เร่งรัดไปนั้น เป็นเรื่องจำเป็น เพราะประเทศจะต้องตอบรับการลงทุนจากนักลงทุน

“การที่ใบ รง.4 ออกช้า ก็กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุน แต่สิ่งสำคัญคือ หากให้ใบอนุญาตแล้ว ต้องไปกำกับผู้ประกอบการให้อยู่ในกฎหมายและปฎิบัติตามระเบียบ ไม่ใช่ว่าให้ใบอนุญาตไปแล้ว ขาดการกำกับดูแล ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการละเมิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม มลภาวะในชุมชน” นายอัครเดช กล่าว

ส่วนกรณีไฟไหม้โรงงานที่ผ่านมานั้น มีการบ่งชี้ว่าอาจจะมาจากการวางเพลิงหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นก็อาจเกิดได้บ่อยครั้ง ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันได้แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมเพลิงให้ได้รวดเร็ว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ดังนั้นวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเพลิง อาทิ ปภ., กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมการอุตสาหกรรม เข้ามาชี้แจงว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้ มาตรฐานในการประเชิญเหตุหรือแผนในการควบคุมเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดูความพร้อมในการควบคุมเพลิง

นายอัครเดช เสริมอีกด้วยว่า ส่วนกรณีที่เป็นเหตุวางเพลิงนั้น ในการเผาทำลายหลักฐาน หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสงสัยว่าเหตุเพลิงไหม้ที่จังหวัดระยองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจเกิดจากการวางเพลิง ซึ่งต้องเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดให้ได้ และคิดว่ากระบวนการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงมาดำเนินคดีตามกฎหมายมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งดำเนินการอยู่

จากข้อซักถามที่ว่า จะมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือนประชาชนอย่างไรบ้าง? นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของการเกิดเหตุเพลิงไม่ว่าจะเป็นกรณีการวางเพลิง หรืออุบัติเหตุ สิ่งที่สำคัญคือแผนในการเผชิญเหตุ จะมีการให้ข้อเสนอในที่ประชุมวันนี้ อย่างน้อยในกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ประชาชนควรจะได้รับข่าวสารและเตรียมตัว รวมถึงการปฎิบัติตัวอย่างไรหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงผู้ดำเนินการ จะต้องปฏิบัติอย่างไรระหว่างควบคุมเพลิง

‘เจ้าอาวาสวัดไผ่ฯ’ ให้สติ!! ผู้สนใจลอง 'วิชาครอบหม้อ' หากคิดจะมารักษาด้วยวิธีนี้ ควรใช้สติเป็นหลักด้วย 

(15 พ.ค.67) จากกรณีโซเชียลที่มีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤาษีปู่ตรัย ศาสตร์ภูมิปัญญาทำการรักษาโรคด้วยวิชาครอบหม้อ เพื่อรักษาโรคให้กับศิษย์และคนทั่วไป โดยใช้วิธีใช้หม้ออลูมิเนียมไปครอบศีรษะ แล้วท่องคาถา อ้างว่าสามารถ เปิดตาเป็นตาที่สามได้ รักษาโรคได้สารพัดโรค มีประชาชนจากหลายจังหวัดแห่ไปรักษาเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อาจารย์ปู่ตรัย ได้ใช้เป็นสถานที่ในการทำการรักษาด้วยวิชาครอบหม้อ ไปพบกับพระอาจารย์ ชาญ วุฑฒิโก เจ้าอาวาสวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า สถานที่ทำการรักษาด้วยหม้อที่เห็นในโซเชียลนั้น เป็นที่วัดไผ่เจริญสมณะกิจ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤษีปู่ตรัย ที่เคยเป็นญาติธรรม เคยเป็นคนที่ร่วมสร้างวัดแห่งนี้ และได้มาขอทางวัดใช้สถานที่ลานพญานาค ในการทำพิธีกิจกรรมบำบัดรักษาตามศาสตร์ตามสูตรของฤษีปู่ตรัย ซึ่งพระอาจารย์ก็เลยอนุญาตให้ใช้สถานที่ไป

พระอาจารย์ ชาญ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของพิธีทำการรักษาโรคให้กับลูกศิษย์ด้วยการวิชาครอบหม้อ นั้นส่วนตัวไม่เคยเห็นการทำวิธีแบบนี้มาก่อน เคยเห็นแต่วิธีใช้พัดปัดเป่าในการรักษา ซึ่งเขาเรียกว่าการเป่ามหาระงับ ซึ่งการรักษาแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าถือเป็นการหน้าจะการรักษาทางใจ ที่อาจจะเป็นศาสตร์การรักษาของทางฤษีปู่ตรัย ซึ่งอาจจะเป็นสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่มารักษา

นอกเหนือจากไปรักษาทางอื่น ๆ แล้วไม่ดีขึ้น ไม่หาย เลยหาวิธีอื่น ๆ มาช่วยในการักษาให้หายจากโรคจากอาการที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้มารักษาด้วยวิธีแบบนี้ควรที่ใช้สติในการรักษาเป็นหลักด้วย

‘แอร์ฯ สาว’ แชร์อุทาหรณ์ สานสัมพันธ์รัก 3 หนุ่ม 3 เชื้อชาติในวันเดียว สุดท้ายตั้งท้อง ต้องลาออก และต้องอยู่ต่อให้ได้เพียงลำพังกับลูก

(15 พ.ค. 67) แอร์โฮสเตสสาวชาวมาเลเซียรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวของเธอบนสื่อสังคมออนไลน์และถูกนำมาเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวาง ถึงพฤติกรรมที่ขาดความยั้งคิดของตนเอง จนกระทั่งทำให้เธอตั้งครรภ์กับคนแปลกหน้า

โดยรายงานข่าวระบุว่า เหมย ลี่ (นามสมมุติ) เข้าทำงานที่สายการบินนานาชาติแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี เธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างเต็มเหนี่ยวในขวบปีแรกของการทำงาน เติมเต็มความฝัน เดินทางไปทั่วโลกและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตาจากประเทศต่าง ๆ

"ขณะหยุดพักระหว่างทาง ปกติแล้วฉันจะไปออกเดทแบบสบาย ๆ ไม่ผูกมัด ฉันชอบพบปะกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ ระหว่างรอเที่ยวบินถัดไปสำหรับเดินทางกลับบ้าน" เธอกล่าว นอกจากนี้แล้ว เหมย ลี่ เผยด้วยว่าเธอยังใช้เวลาว่างเข้าแอปพลิเคชันหาคู่ ออกเดทกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ และมีความสุขให้มากที่สุด เท่าที่เธอจะตักตวงจากพวกเขาได้

เหมย ลี่ ถึงขั้นบอกว่าหนึ่งในความฝันของเธอ คือการได้อยู่กับหนุ่ม ๆ จากทั่วโลก "ฉันอยากรู้ว่า มันจะเป็นอย่างไร ตอนที่ฉันเดินทางไปทั่วโลก"

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตอนจบ และ เหมย ลี่ พบว่าตนเองตั้งครรภ์ โดยหลังจากพบว่าประจำเดือนของตนเองมาช้า เธอตัดสินใจตรวจครรภ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในค่ำคืนที่เธอเชื่อว่าอาจเป็นวันที่ทำให้เธอตั้งครรภ์นั้น เป็นวันที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า 3 คน ในคราวเดียว

"ฉันจำคืนนั้นได้ เครื่องบินของฉันเพิ่งลงจอด และฉันรู้สึกอยากผจญภัยอันเร่าร้อน ตอนที่ฉันไปถึงโรงแรม ฉันเปิดแอปพลิเคชันและเริ่มค้นหา ฉันหาทางเติมเต็มจินตนาการของการพบปะกับหนุ่ม ๆ 3 คนในคราวเดียว"

"คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความร่วมมือ แต่มันน่าประหลาดใจมาก เมื่อสามารถหาชายแปลกหน้า 3 คน ยินยอมพร้อมใจกันอย่างง่าย ๆ ระหว่างชาย 3 คนในคืนดังกล่าว ทั้งหมดเป็นคนเชื้อสายต่างกัน คนหนึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว คนหนึ่งเป็นชาวไนจีเรียเกิดในอังกฤษ และอีกคนเป็นชายจากอาร์เจนตินา ฉันรู้ว่าตนเองทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ฉันไม่อาจทำแท้งลูกได้"

"ฉันต้องการมีลูกมาตลอด แต่ไม่ใช่ในกรณีแวดล้อมเช่นนี้ ฉันอยากมีอายุมากกว่านี้ แต่งงานและมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันต้องการมีลูกกับสามี ไม่ใช่เพียงลำพัง" เธอกล่าว

เหมย ลี่ บอกด้วยว่าการมีลูกอาจทำให้เธอต้องตัดสินใจลาออกจากงานแอร์โฮสเตส เนื่องจากวิธีชีวิตที่วุ่นวายจากอาชีพนี้ไม่เหมาะกับการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง และด้วยที่เธอไม่มีใครนอกเหนือจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด 2 คน ที่เธอสามารถปรับทุกข์ได้ เหมาย ลี่ จึงรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผ่าน ๆ มาของตนเอง

"ถ้าฉันมีลูก ฉันคงจะต้องลาออกจากงานในท้ายที่สุด และต้องหาทางหารายได้อื่นมาเลี้ยงชีพและดูแลลูก อีกด้านหนึ่งหากฉันตัดสินใจทำแท้ง ฉันเกรงว่าฉันจะต้องทุกข์ทรมาน แบกรับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top