Wednesday, 23 April 2025
อุตสาหกรรมรถยนต์

ส.อ.ท. หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน ยอดขายในประเทศ-ส่งออกทรุด หวังมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปีดันยอด

(25 พ.ย.67) นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงถึงการปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ประจำปี 2567 จากเดิม 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน หลังตลาดทั้งในและต่างประเทศได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเป้าหมายการผลิตใหม่แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ 450,000 คัน ลดลงจากเดิม 550,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน ลดลงจากเดิม 1,150,000 คัน

ข้อมูลการผลิตรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2567 พบว่า ผลิตได้ 118,842 คัน ลดลง 25.13% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปี 2566 และลดลง 2.81% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนปี 2567 เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7.00% และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงถึง 51.70% ขณะที่ยอดรวมการผลิตระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 มีทั้งหมด 1,246,868 คัน ลดลง 19.28%

ปัจจัยที่มีผลต่อการลดลงของยอดขายรถยนต์ในประเทศมาจากการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ โดยจำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาสสามลดลงเหลือ 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี และลดลงจากไตรมาสสามปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชี ขณะที่ยอดหนี้รวมของผู้กู้ซื้อรถยนต์อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสอง และลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสามปี 2566

นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีงานมอเตอร์เอ็กซ์โปในปลายเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ แต่สถาบันการเงินยังคงมีมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้เสียยังสูง ดังนั้นคาดว่าเป้าหมายยอดขายในประเทศปีนี้ที่เคยตั้งไว้ที่ 550,000 คัน จะปรับลงเป็น 450,000 คัน

ในส่วนของตลาดส่งออก ปัจจัยสำคัญคือสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่อาจกระทบตลาดในตะวันออกกลางและยุโรป รวมถึงสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่น ๆ หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด

'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน

(28 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย หลังจากมีข่าวบริษัทผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ปลดคนงาน โดยระบุว่า แรงงาน 4.45 แสนคนยังได้ไปต่อ... 'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน

ทั้งนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ได้เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นเพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าพบหารือกับ นายมุโต โยจิ รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองประเทศ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่ METI มีความร่วมมืออันดีที่มีต่อไทย และย้ำถึงความสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันได้หารือแนวทางและมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยเฉพาะรถยนต์ที่เป็น Product champion ได้แก่ รถปิคอัพ และ Eco car ที่กำลังถูกดิสรัป (Disrupt) จากการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (xEV)

พร้อมทั้งได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้สร้างฐานการผลิตในไทยจำนวน 6 บริษัทแบบตัวต่อตัว (One to One) โดยได้พบหารือกับผู้บริหารระดับ CEO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ โตโยต้า มาสด้า มิตซูบิชิ และอีซูซุ และผู้บริหารระดับ EVP จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ ฮอนด้า และนิสสัน ซึ่งได้แสดงความห่วงใยต่อผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในไทยหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของไฟแนนซ์ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว รวมทั้งปัญหาค่าครองชีพและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ความต้องการและกำลังซื้อของประชาชนลดลง โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็น Product Champions ของไทย ได้แก่ รถปิกอัพ และรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car)

อย่างไรก็ตาม ผลหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายญี่ปุ่นได้รับสัญญาณบวกที่ชัดเจนว่า ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการผลิตและส่งออกของประเทศไทย และจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการผลิตรถปิกอัพ รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car) และรถยนต์ไฮบริด เพื่อตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก (ทั้งในรูปแบบของรถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนครบชุด) โดยคาดว่า ในช่วงเวลา 3-5 ปีนี้ มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 120,000 ล้านบาท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top