Wednesday, 23 April 2025
อีสานประชารัฐ

'บิ๊กป้อม' ชู!! นโยบายใหญ่ 'อีสานประชารัฐ'  ความเจริญทั่วอีสาน เชื่อมประสานสู่ทะเล

‘บิ๊กป้อม’ ชู ‘อีสานประชารัฐ’ สร้างรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-EEC 480 กม. สร้างนิคมอุตสาหกรรม-อาชีวะ-ท่าเรือบก-ทางหลวงพิเศษ 8 เลน ลั่นจะทำให้อีสานเจริญ ‘สันติ’ เหน็บที่ผ่านมามีแต่พรรคขอแลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยคิดพัฒนาให้ บอกถ้า พปชร.เป็นรัฐบาลทำจริงทำทันที ‘ไพบูลย์’ ยันยื่นแจงนโยบายต่อ กกต.แล้ว ย้ำนโยบาย พปชร.ทำมาเพื่อชนะแลนด์สไลด์

(20 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาภาคอีสานด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดนโยบายว่า เราจะพัฒนาภาคอีสาน และภาคตะวันออก ให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ - ท่าเรือแหลมฉบัง - ท่าเรือมาบตาพุด - สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ 24 จังหวัดในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการ EEC โดยทางรถไฟจะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ  อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่ออีก 11 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ หนองคาย และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม.โดยเราได้สำรวจเส้นทางมาเรียบร้อยแล้ว และจะสร้างเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ เพื่อจะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน เพราะน้ำเขาก็น้อย การเกษตรก็มีข้อขัดข้องเยอะ คนอีสานออกมาทำงานต่างจังหวัดทั้งนั้น เราทำโครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะ อย่าเพิ่งถามถึงภาคอื่น เอาให้ภาคอีสานเจริญ โดยภาคอีสานมีทั้งหมด 133 เขต คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การมาทำโครงการใหญ่ในภาคอีสานจะเป็นการทำให้ภาคอื่นรู้สึกน้อยใจหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำอีสานก่อน จากนั้นจะทำภาคเหนือและใต้ต่อไป อันนี้คิดกันมาหลายปีแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดว่ามันจะเสร็จพรุ่งนี้

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะส่งผลต่อคะแนนเสียง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่ต้องห่วง ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ตนไม่ห่วง ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้นั้น ไม่ต้องห่วง ยังไม่ได้คิดแต่สามารถดำเนินการได้แน่นอน

ด้าน นายสันติ กล่าวว่า เราจะพัฒนาอีสาน เปิดภาคอีสานของเราให้ทันต่อโลก เนื่องจากดูแต่ละพรรคการเมืองแล้วมีแต่ที่จะขอให้ชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด และภาคตะวันออก 5 จังหวัด ขอแต่แลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดเลยที่คิดว่าจะพัฒนาภาคอีสานให้พ้นความยากจน หรือนำเงินลงทุนมหาศาลไปพัฒนา ซึ่งไม่มีเลย มีแต่ พปชร.ที่ให้ความสำคัญกับชาวอีสาน ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีภาคอีสานไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ เลย พปชร.จึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ ที่อยู่บนสุดของอีสานวิ่งตรงลงมาผ่านภาคอีสานทางตะวันออกทั้งภาค มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเปิดโลกให้ชาวอีสาน

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับรถไฟทางคู่แบบใหม่ที่เราจะทำนั้น จะมีรางขนาด 1.435 ม.ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับรถไฟความเร็วสูง จะมีการสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ จะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง กว่า 6,000 โรงงาน โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมนำสมัย นอกจากนี้ จะมีการสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก

“หลายสิบปีที่ผ่านมา ชาวอีสานได้รับการพัฒนาอย่างเชื่องช้า มีแต่คนไปขอให้แลนด์สไลด์ แต่ยังไม่เคยได้ยินพรรคใดที่ตั้งใจที่จะไปพัฒนาภาคอีสานเพื่อลูกหลานอยู่ดีกินดี เราจึงขอแรงใจทั้ง 133 เขตให้กับ พปชร.เพื่อ พปชร.จะได้มีอำนาจในการมาพัฒนาภาคอีสาน และเรามั่นใจว่าชาวอีสานจะต้องเลือก พปชร.ทั้ง 133 เขต เพื่อให้ พปชร.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และใน 133 เสียง ที่เลือกเราเข้าไปในสภาจะไปยกมือสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตนยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ทำจริง ทำทันที แต่เราจะต้องมีนายกฯเป็นคนที่จะใช้อำนาจผลักดันโครงการดีๆ เหล่านี้ได้” นายสันติ กล่าว

'สันติ' จัดเต็ม!! ชูชุดนโยบายพลังประชารัฐแบบเต็มสูบ มั่น!! บัตรประชารัฐ 700 ผสาน 'อีสานประชารัฐ' พาเฮ!!

'สันติ' โชว์กึ๋น!! ยกนโยบายพลังประชารัฐ มุ่งมั่นแก้ปัญหาความยากจน ชู!! บัตรประชารัฐ 700 บาท พร้อมเผย 'อีสานประชารัฐ' เมกะโปรเจกต์หยุดแลนด์สไลด์ ช่วยประชาชนต้องอยู่ดี กินดี อย่างยั่งยืน

เรียกว่าเป็นอีกดีเบตเอาใจกองเชียร์ 2 ลุง (ป้อม-ตู่) แห่งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มาแลกหมัดกันเอง ผ่านรายการ 'คมชัดลึก Debate แลกหมัดนโยบาย' เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566

แน่นอนว่าทั้ง 2 พรรคนี้ ล้วนมีบุคลากรที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน หากแต่ปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างก็เดินตามเส้นทางการเมืองของตนผ่านพรรคที่แตกต่าง เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้ คือ ในบางนโยบายอาจจะมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน จะแย่งฐานเสียงกันเองมากแค่ไหน? หรือไม่?

อย่างไรก็ตามจากดีเบตในครั้งนี้ ทาง THE STATES TIMES ได้ตามเกาะติดชุดนโยบายที่กำลังสร้างกระแสอย่างมากในช่วงนี้จาก 'พรรคพลังประชารัฐ' ที่ครั้งนี้ได้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มาแสดงวิสัยทัศน์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ...

นายสันติ เปิดฉากในรายการว่า “หลายๆ ท่าน (2 พรรค) เคยอยู่ร่วมกัน แม้ตอนนี้ต้องแยกกันไปในทิศทางการเมืองของตน แต่สำหรับรวมไทยสร้างชาติ และท่านหัวหน้าพรรค พลเอกประยุทธ์ ก็เป็นที่เคารพรักของพี่น้องในพรรคพลังประชารัฐอย่างมาก แต่ว่าในเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชน ฉะนั้นในเมื่ออยู่คนละพรรคเราก็ขอมาช่วยกันรังสรรค์ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเพื่อก้าวข้ามปัญหาต่างๆ

"อะไรที่สามารถสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือ สร้างงาน สร้างอาชีพแก่พี่น้องประชาชนในบางส่วนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล จุนเจือให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในอนาคต เพื่อให้พวกเขาได้ก้าวข้ามความยากจนให้ได้ ภายใต้นโยบายของแต่ละพรรค ที่มุ่งมั่นคิดถึงแต่ความอยู่ดีกินดีของประชาชน” 

เมื่อถูกถามว่า นโยบายของพรรค พปชร.ด้านใดที่กำลังมัดใจประชาชนได้ดีที่สุด? นายสันติ กล่าวถึงเรื่องบัตรสวัสดิการของพลังประชารัฐ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันกับทางรวมไทยสร้างชาติ ว่า...

“จะพรรคไหนก็ตามแต่ หากมองเห็นว่าบัตรประชารัฐหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เราก็ควรช่วยกันส่งเสริม ผมเองในฐานะที่อยู่กระทรวงการคลัง และเป็นประธานคณะกรรมการบัตรประชารัฐบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อน มองเห็นมิติในเนื้อนโยบาย ระเบียบ และกฎเกณฑ์แบบรอบด้าน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกพัฒนาและมีการปรับกฎเกณฑ์โดยพรรคพลังประชารัฐให้มีความทันสมัยขึ้น ดียิ่งขึ้น

"อย่างเช่น ค่าโดยสารในระบบขนส่งมวลชนของรัฐและเอกชนร่วม ซึ่งกำหนดไว้ให้ 750 บาทต่อเดือนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ก็จะปรับขึ้นเป็น 1,500 บาท เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งชาวต่างจังหวัดและชาวกรุงเทพฯ ได้ใช้บริการรถโดยสารหลากรูปแบบด้วยความเสมอภาค ทั้งรถตู้ รถไฟฟ้าบนดิน ใต้ดินหลากสี

"เช่นเดียวกันกับค่าครองชีพผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่เดิมจะอยู่ที่ 200-300 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในยุคนี้แล้วนั้น ก็จะขยับเพิ่มเป็น 700 บาท โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐภายใต้พรรคพลังประชารัฐนั้น จะเป็นการนำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หลังจากได้รับเลือกตั้ง โดยจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ ประมาณ 18 ล้านคน จากเดิมที่ปัจจุบันได้รับกันอยู่ราว 14.5 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม นายสันติ มองว่า พลังประชารัฐก็ไม่ได้มองว่าบัตรประชารัฐที่ถูกยกระดับเพื่อเติมให้แก่ประชาชนในกรอบ 22 ล้านคนบ้าง หรือ 14.5 ล้านคนบ้างนั้น จะถูกใช้เป็นกลไกเดียวในการช่วยเหลือปัญหาปากท้องประชาชน หากแต่ทางพรรคยังได้เตรียมแนวทางอื่นไว้อีกด้วย โดยเฉพาะแนวทางในการเร่งมอบเงินเพิ่มให้ในบัตรอีก 30,000 บาท แก่ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐ ให้สามารถเอาไปเป็นเงินเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพได้

"นอกเหนือจากการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรเป็น 700 บาทต่อเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายพยุงฐานะในครอบครัวให้สามารถมีความเป็นอยู่พอไปได้แล้วนั้น ทางพรรคพลังประชารัฐก็เตรียมทุนให้กับผู้ถือบัตรประชารัฐอีกคนละ 30,000 บาท ได้นำไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพโดยนำทุนไปประกอบสัมมาอาชีพต่างๆ ได้ แต่เราไม่ได้ให้เปล่านะ เพราะเขาจะต้องมาฝึกอาชีพก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว ขายอาหาร เปิดร้านของชำ เป็นเกษตรกร ปลูกพืชไร่ ปลูกผักปลูกผลไม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ พอเข้ามาฝึกแล้ว เราก็จะเติมทุนให้ เพื่อที่จะไปมีอาชีพ แล้วจะพ้นจากความยากจนต่อไป"

ไม่เพียงแค่นโยบายการเติมค่าครองชีพและต่อยอดอาชีพโดยพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น นายสันติ ยังกล่าวถึงอีกแนวนโยบายสำคัญ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่จะช่วยพลิกความเป็นอยู่ของคนอีสานแบบขนานใหญ่ ผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์แห่งภาคอีสานในชื่อ 'อีสานประชารัฐ' ผ่านเวทีแห่งนี้อีกด้วย

"สำหรับแรงผลักดันสำคัญของ 'อีสานประชารัฐ' นั้น ก่อนอื่นผมคงต้องเรียนแบบนี้ว่า โครงการดังกล่าวถูกคิดขึ้นมาจากท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของเรา หลังจากที่ท่านได้ลงไปทำงานดูแลเรื่องน้ำของทั่วประเทศ ไม่ว่าจะน้ำแล้ง หรือแม้แต่น้ำท่วมในภารเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ซึ่งท่านก็ไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการดูแลเรื่องที่ทำกินเรื่องที่ดิน ด้วยการนำที่ดินเสื่อมโทรมที่อยู่ในป่าสงวน มาทำเป็นเอกสารสิทธิให้พี่น้องประชาชนนำไปใช้เพาะปลูกเพื่อทำมาหากินหลายล้านไร่ โดยไม่ถูกส่วนราชการจับไปดำเนินคดี เหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ท่านพลเอกประวัตร อยากเห็นโครงการที่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างประเทศที่จะนำมาสู่ความยั่งยืนแก่ประชาชนและประเทศ

"อีสานประชารัฐ จึงเป็นโครงการที่ท่านต้องการพัฒนาให้พื้นที่ภาคอีสาน กลายเป็นพื้นที่สร้างอาชีพ สร้างงาน ให้คนถิ่น ได้ทำงานที่บ้านเกิด ซึ่งตนยังไม่เคยเห็นว่าพรรคไหนคิดในเรื่องของการพัฒนาภาคอีสานเพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวภาคอีสานได้มีการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้อยู่ดีกินดี เพิ่มทักษะความรู้ความสามารถแบบนี้ ยังไม่มีใครมีนโยบายเหล่านี้จริงๆ แต่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเหล่านี้ นโยบายที่จะทำให้พี่น้องชาวอีสาน ได้สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้อย่างเต็มที่ ทำจริง ทำทันที เพื่อคนอีสาน"

'พปชร.' มาเหนือเมฆ ชู 'อีสานประชารัฐ' มีโอกาสทำ 'แลนด์สไลด์' สะดุด

(22 เม.ย.66) นับถอยหลังเหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะเข้าสู่ช่วงของการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และยิ่งนับวันยิ่งเกิดการแข่งขันที่รุนแรงแน่นอนว่าพื้นที่ภาคอีสาน ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทุกพรรคหมายมั่นปั้นมือ จะต้องบุกปักธงให้สำเร็จ เพราะเคยมีคำกล่าวที่ว่า หากพรรคใดคว้าชัย ได้ ส.ส.อีสานมากที่สุด หรือกวาดหมดยกภาคได้ ก็แทบจะการันตีได้ทันที ว่าจะเป็นพรรคอันดับ 1 มีโอกาสเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลค่อนข้างสูง เพราะเป็นพื้นที่ที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดถึง 133 คน จาก 20 จังหวัด 

ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีฐานเสียงและจำนวน ส.ส.ภาคอีสานมากที่สุดในการเลือกตั้งแทบทุกครั้ง ครั้งก่อนเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 กวาดไปถึง 84 ที่นั่ง ตามมาด้วยอันดับสองพรรคภูมิใจไทย 16 ที่นั่ง

และพลันที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะชนะเลือกตั้งครั้งนี้ แบบแลนด์สไลด์ นั่นก็เพราะความมั่นใจว่าจะสามารถกวดที่นั่งในภาคอีสานแบบถล่มทลายเช่นเดิม

แต่ทว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ การจะกวาดที่นั่งเป็นกอบเป็นกำเหมือนที่ผ่านมา คงไม่ง่ายนัก เพราะพรรคคู่แข็งอย่างภูมิใจไทยมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในพื้นที่อีสานใต้ นั่นยังไม่นับรวมคู่แข่งที่มาจากฟากเดียวกัน อย่างเช่น พรรคก้าวไกล และพรรคไทยสร้างไทย ที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ล้วนเคยอยู่กับพรรคเพื่อไทยมาก่อน

ขณะที่อีกหนึ่งพรรคที่จะมองข้ามไม่ได้ นั่นก็คือ 'พรรคพลังประชารัฐ' ภายใต้การนำของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่หมายมั่นปั้นมือจะได้จำนวน ส.ส.ไม่น้อยกว่าการเลือกตั้งในปี 2562 ที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 3 ด้วยจำนวน 11 ที่นั่ง แม้ว่าขณะนี้กระแสของพรรค อาจจะไม่แรงเท่าเลือกตั้งครั้งก่อน แต่จากผลงานของพลเอกประวิตร ในเรื่องบริหารจัดการน้ำ ทำให้ภาคอีสานมีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาด ตามคำประกาศที่ว่า “มีเราไม่มีแล้ง” ก็ช่วยให้ฐานเสียงของพรรคฯ เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศนโยบาย “อีสานประชารัฐ” เตรียมผุดโปรเจ็กยักษ์ เพื่อพี่น้องชาวอีสานอีกหลายโครงการ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า พรรคพลังประชารัฐ ให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้อย่างมาก และพร้อมจะพัฒนาพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

โครงการพัฒนาภาคอีสาน ที่ทางพรรควางไว้นั้น ประกอบด้วย ด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา เป็นการพัฒนาพื้นที่ 24 จังหวัดภาคอีสานและภาคตะวันออก สอดรับโครงการอีอีซี ระยะทาง 480 กม. ซึ่งได้สำรวจเส้นทางเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งจะสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ และจะสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง รองรับกว่า 6,000 โรงงาน 

นอกจากนี้ จะสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯ ละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้น ก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top