Sunday, 20 April 2025
สภาพภูมิอากาศ

เปิด 8 ผลกระทบ ส่งฝนกระหน่ำหนักไทยครึ่งปีหลัง 65 ภายใต้การกู้สถานการณ์เร็ว ลดสูญเสียหนัก จากรบ. 'บิ๊กตู่'

นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากสภาพภูมิอากาศ เกิดร่องมรสุม และพายุอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

ส่งผลให้ในปีนี้ประเทศไทยมีสถิติฝนตกสูงมากกว่าปกติ และในบางจังหวัดทุบสถิติฝนตกมากที่สุดในรอบ 30 ปี

ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีดังนี้...

1. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย หลายพื้นที่ในภาคเหนือ, ตะวันตก, ตะวันออก, ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 125  มิลลิเมตร (125 ลิตรต่อตารางเมตร) ในหลายพื้นที่

2. พายุดีเพรสชัน มู่หลาน ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมแทบจะทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดน่านตอนบนที่ รองลงมาคือเชียงรายและเชียงใหม่, กาญจนบุรี, สระแก้ว และปราจีนบุรี 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

3. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 20 – 22 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดยโสธร, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, น่าน, พังงา และระนอง รองลงมาคือจังหวัด สกลนคร, อุดรธานี, พิษณุโลก, จันทบุรี และตราด 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

4. พายุดีเพรสชัน หมาอ๊อน ระหว่างวันที่ 24 – 26 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดปราจีนบุรี, ลำปาง, พังงา และภูเก็ต รองลงมาคือจังหวัดลพบุรี, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี และกระบี่ 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

5. ร่องมรสุมกำลังแรงพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 5 – 9 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, เลย, ตาก, นครสวรรค์, พิษณุโลก, ระนอง, พังงา และสุราษฎร์ธานี รองลงมาคือจังหวัดปราจีนบุรี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, เชียงใหม่, เชียงราย และ กำแพงเพชร

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร (200 ลิตรต่อตารางเมตร)

6. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 6 – 11 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, เลย, อุดรธานี, หนองบัวลำภู, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, ระนอง และพังงา

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 300 มิลลิเมตร (300 ลิตรต่อตารางเมตร)

7. พายุดีเพรสชัน โนรู ระหว่างวันที่ 28 – 30 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดอุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, ลพบุรี, ระนอง, พังงา. สุราษฎร์ธานี และสตูล รองลงมาคือจังหวัดเลย, อุดรธานี, ตาก และชุมพร

‘นายกฯ’ หารือ อดีตนายกฯ สหราชอาณาจักร ผลักดันความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศ

เมื่อวานนี้ (18 ม.ค.67) ณ ศูนย์ประชุม Congress Centre เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบหารือกับนาย Tony Blair ประธานกรรมการบริหาร Tony Blair Institute of Global Change และอดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นาย Tony Blair อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ได้มาพบและคุยเกี่ยวกับ Tony Blair Institute of Global Change ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยไม่หวังผลกำไร และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกันของโลก โดยมีความตั้งใจที่จะหาความร่วมมือกับประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human development)

โดยทางนาย Tony Blair มีความเชื่อมั่นว่า การร่วมมือระหว่างรัฐบาล และองค์กรต่าง ๆ จะช่วยทำให้ประเทศมีการพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อให้ทางสถาบัน Tony Blair Institute of Global Change ได้เข้ามาศึกษาข้อมูลในประเทศไทย เพื่อพัฒนา และต่อยอดในประเด็นต่าง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน

‘คณะกรรมาธิการยุโรป’ ประกาศลดปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 90% ตั้งเป้า!! สู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ ภายในปี 2040

(7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิภายในสหภาพยุโรปลงร้อยละ 90 ภายในปี 2040 เมื่อเทียบกับระดับในปี 1990 โดยข้อเสนอทางกฎหมายจะจัดทำโดยคณะกรรมาธิการฯ ชุดต่อไปภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในเดือนมิถุนายน

เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปซึ่งจัดทำในปี 2021 ที่มุ่งบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (climate neutrality) ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2030 เทียบกับระดับในปี 1990

คณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การกำหนดเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2040 จะช่วยวางกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรม นักลงทุน ประชาชน และรัฐบาลของยุโรปในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในช่วงทศวรรษนี้ และรับรองว่าสหภาพยุโรปจะอยู่บนเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศต่อไป

นอกจากนี้ เป้าหมายข้างต้นยังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของยุโรปต่อวิกฤตการณ์ในอนาคต และเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านพลังงานของสหภาพยุโรปโดยลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหภาพยุโรปในปี 2022

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะรัฐหาแรงจูงใจเอกชน ลุยธุรกิจลดโลกร้อน ปั้นระบบนิเวศให้พร้อม สู่การสร้างเงินจากสภาพภูมิอากาศ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ' (Climate Finance) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) โดยการเก็บภาษีคาร์บอน และการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียว (Green Transition) ได้อย่างราบรื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากภาคการเงินการคลังไม่ช่วยระดมทรัพยากรมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว

ประการแรก ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรของรัฐบาล เงินลงทุนส่วนใหญ่จึงต้องมาจากภาคเอกชน ภาครัฐต้องจัดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive Structure) ที่เอื้อให้เอกชนกล้าลงทุนในโครงการ/อุตสาหกรรมที่ลดโลกร้อน การเก็บภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตเป็นก้าวแรก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกเลิกการอุดหนุนคาร์บอน (Carbon Subsidies) ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน

ประการที่สอง การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นมาตรฐานและมีการรับรอง รวมทั้งการจัดกลุ่ม/นิยามกิจกรรมที่ลดโลกร้อน (Green Taxonomy) จะช่วยให้ตลาดการเงินและสถาบันการเงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้ามากขึ้น

ตลาดการเงินและธนาคารพาณิชย์เริ่มนำผลิตภัณฑ์สีเขียวมาให้บริการบ้างแล้ว สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มเป็นที่นิยม กองทุน ESG มีจำนวนมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนจะตรงกันหรือไม่ หรือบางทีอาจขัดแย้งกันด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การฟอกเขียว (Greenwashing)

ในสาขาพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ปัจจุบันยังมีโครงสร้างที่พึ่งพา Fossils อยู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าในไทยยังอาศัยก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนถึงกว่า 80% และใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคพลังงานจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง และภาคเอกชนในรูปแบบโรงไฟฟ้า IPP SPP และ VSPP รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การลงทุนและการแบ่งรับภาระความเสี่ยงระหว่างรัฐกับเอกชนร่วมกันในรูปแบบ PPP น่าจะเป็นทางออกสำคัญ IPP และ SPP เป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับเอกชนที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในภาคพลังงาน มีความเป็นไปได้ที่จะขยาย PPP ในโครงการลดคาร์บอนในสาขาอื่นๆ ด้วย

ตลาดการเงินและสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่สามารถเสริมทรัพยากรในประเทศได้ รัฐบาลประเทศร่ำรวยประกาศใน COP 28 สนับสนุนงบประมาณแก่ประเทศกำลังพัฒนา 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบริการพิเศษที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนา

ประการสุดท้าย ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว ย่อมมีกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำรายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มเติมจากภาษีคาร์บอนไปช่วยเป็นมาตรการรองรับทางสังคมแก่กลุ่มคนเหล่านี้

‘ดร.เสรี’ ชี้ ‘ไทย’ สิ้นสุดความร้อนแรงแล้ว  เตรียมรับฝน ตั้งแต่วันนี้!! อุณหภูมิลดลงทุกพื้นที่

(6 พ.ค.67) รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB, MQDC และผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ออกมาไขคำตอบ ผ่านโพสต์บนเพจ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เรื่อง ‘Climate promise 2025 สัญญาสภาพภูมิอากาศ 2568’ อาจจะทำให้คนไทยเจ็บตัวบ้างไม่มากก็น้อย ทางออกของโลก และหนึ่งเดียวของไทยคืออะไร ?

ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 67 เราจะสิ้นสุดความร้อนแรงทั่วประเทศแล้ว โดยสัปดาห์นี้ พื้นที่ที่มีโอกาส 50-80% ยังคงมีอุณหภูมิสูง > 40°C จะเป็นพื้นที่ในภาคกลาง ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐมชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง นครสววรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร และสุโขทัย ส่วนพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี จ. นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และสระแก้ว แต่ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม อุณหภูมิจะลดลงตามลำดับ (ยังคงร้อนอยู่นะครับ) ในบางพื้นที่เริ่มมีฝนตกประมาณ 10-20 mm ต่อวันให้ได้รับความชุ่มชื้นบ้างโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ พอผ่อนคลายความร้อนได้มากน่ะครับ

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญไปพูด แลกเปลี่ยนเรียนรู้หลายเวทีเช่น สถานทูตเนเธอร์แลนด์ (Amphibious transformation by design) การไฟฟ้านครหลวง (โลกเดือด) สำนักข่าวกรอง (การจัดการภัยพิบัติจาก Climate change) เพื่อชี้ให้ทุกหน่วยได้ตระหนักว่า เรากำลังเผชิญกับวิกฤติสภาพอากาศรุนแรงทั่วโลก คนไทยทั่วทุกภูมิภาคเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกเหนือจากผลกระทบต่อสุขภาพ ผลผลิตภาคเกษตรเสียหายรุนแรง โดย GDP ภาคการเกษตรสาขาพืช -6.4% (ทุเรียนสุกเร็วไม่หวานเสียหาย 30-40% มะพร้าวไม่ติดลูกเสียหาย 90% องุ่นให้ผล และน้ำน้อยเสียหาย 70% เป็นต้น) โลกจะไปอย่างไรต่อ ? คนไทยจะอยู่กันอย่างไร ? ภาคธุรกิจจะปรับตัวอย่างไร ? ภาครัฐจะมียุทธศาสตร์อะไร ?

ล่าสุด UNDP ได้ออกแคมเปญ ‘Climate promise 2025 สัญญาสภาพภูมิอากาศ 2568’ Dr. Cassie Flynn ผู้อำนวยการด้าน Climate change, UNDP ได้กล่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมาว่า โลกยังมีความหวัง โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง (Ambition, Acceleration และ Inclusivity) ผมฟังดูแล้วรู้สึกเหนื่อย และเป็นกังวลในฐานะคณะทำงาน IPCC ว่าเราจะเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร ? ในขณะที่ประเทศร่ำรวย 10 % มีส่วนสำคัญในการปล่อย GHG 60 % แต่ประเทศกำลังพัฒนากว่า 60% มีสัดส่วนการปลดปล่อยไม่ถึง 10%

ภายใต้แรงกดดันของสังคมโลก สงครามการค้า (Below 1.5°C by 2025) ภาครัฐ ภาคเอกชน และคนไทยต้องเจ็บตัวกันไม่มากก็น้อยน่ะครับ กลุ่มเปราะบางจะเปราะบางมากขึ้น ค่าครองชีพจะเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น จากราคาอาหาร และวัตถุดิบต่างๆ ในขณะที่รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องปรับแผนยุทธศาสตร์ สร้างความได้เปรียบบนฐานทรัพยากรที่มีอยู่ เปลี่ยนวิกฤติทั่วโลกให้เป็นโอกาส “ครัวของโลก” เปลี่ยนผ่านประเทศด้วยนวัตกรรมการปรับตัวภาคเกษตรกรรม 

ฉะเชิงเทรา-บลูเทค ซิตี้ร่วมกับ สพฐ.จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10

เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน

วันนี้( 25 ก.ค. 67) ที่ โรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน” อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา คุณกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ มอบหมายให้ นายสุเทพ คล่องโยธา หัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โครงการนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้  เข้าร่วมกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน โดยมี รองฯสุกัญญา แสงสุข รองศึกษาธิการจังหวัดฉะเชิงเทรา ประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วย คุณสาโรช กิจประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าบางปะกง , ผอ.กฤษณะ ซื้อสัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน”

โรงเรียนบางปะกงบวรวิทยายน ตั้งอยู่ในอําเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี ความสําคัญทางระบบนิเวศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปากแม่น้ําบางปะกงที่ไหลลงสู่อ่าวไทย การที่เราได้ริเริ่ม โครงการนี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทรงสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถในการดูแลรักษาป่าไม้และแหล่งน้ํา จึงเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการน้อมนําแนว พระราชดําริมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น และประเทศชาติ โดย โครงการเพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้นนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก รวมถึงชุมชน ของเราด้วย ต้นไม้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนกลับสู่อากาศ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ โครงการเพาะกล้ารักษ์ยังส่งผลอีกหลายประการ อาทิเช่น

1. เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น
2. สร้างแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์น้ำและนกนานาชนิด
3. ช่วยลดอุณหภูมิในชุมชนและโรงเรียนของเรา
4. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพกายใจของนักเรียนและชาวบางปะกง 5. สร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ชุมชน โครงการของเราในวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของลูกหลานชาวบางปะกงและประเทศไทย เป็น การสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนให้แก่ท้องถิ่นของเรา ขอเชิญชวนให้นักเรียน คณะครู และชุมชนทุกท่านร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ เพียงแค่การร่วมปลูกต้นไม้ในวันนี้เท่านั้น แต่ขอให้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ใน ชีวิตประจําวัน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลดการใช้พลาสติก และร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และชุมชนของเรา

ทั้งนี้ ยังร่วมกันปล่อยพันธ์ปลาสวาย จำนวน 5,000 ตัว กลับลงสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ รักษาระบบนิเวศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนและโรงเรียน ต่อไป

'ไซบีเรียที่กำลังลุกไหม้' วิกฤตไฟป่ารัสเซียทวีความรุนแรง ท่ามกลางภาวะสงครามและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไฟป่าได้กลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและต่อเนื่องในรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคไซบีเรียที่มีพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ ความรุนแรงของไฟป่าในปี ค.ศ. 2024 และต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2025 ได้จุดกระแสความวิตกกังวลทั้งในประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไฟป่าในไซบีเรียจึงมิใช่เพียงแค่ภัยธรรมชาติ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของความเปราะบางในเชิงนโยบายรัฐ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในยุคแห่งความไม่แน่นอน

ภูมิภาคไซบีเรียมีลักษณะเป็นพื้นที่ทุนธรรมชาติที่สำคัญของโลกโดยเฉพาะป่าทุนดราและไทกาซึ่งทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในภูมิภาคนี้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสองเท่าส่งผลให้แหล่งพีตและดินเยือกแข็ง (permafrost) เริ่มละลายทำให้เชื้อไฟเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันฝุ่นควันจากไฟป่าได้แพร่กระจายไกลถึงแคนาดาและยุโรปส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และคุณภาพอากาศโลก

จากรายงานจากหน่วยงานควบคุมป่าไม้ของรัสเซีย «Рослесхоз» ระบุว่า ในช่วงเมษายน ค.ศ. 2025 พื้นที่ป่าที่ได้รับความเสียหายจากไฟมีมากกว่า 500,000 เฮกตาร์ในไซบีเรียตะวันออกและตะวันตก โดยเฉพาะในแคว้นครัสโนยาสค์ «Красноярский край»  แคว้นอีร์คุตสค์ «Иркутск» สาธารณรัฐบูเรียทเทีย «Бурятия» และสาธารณรัฐซาฮาหรือยาคูเทีย «Республика Саха (Якутия)» สาเหตุหลักเกิดจากอุณหภูมิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและความแห้งแล้งยาวนาน ซึ่งเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ไฟป่าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในไซบีเรีย แต่ขอบเขตของมันในช่วงหลังเริ่มมีลักษณะเรื้อรังและควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ไฟป่าส่วนใหญ่เกิดจากการเผาหญ้าในไร่ที่ควบคุมไม่ได้ ผนวกกับสภาพอากาศแห้งจัดและลมแรง ทำให้ไฟลุกลามรวดเร็ว หลายหมู่บ้านถูกตัดขาด การอพยพดำเนินได้อย่างจำกัดเพราะทรัพยากรฉุกเฉินไม่เพียงพอ

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้ไฟป่ามีความรุนแรงมาจาก 1) สภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิสูงผิดปกติ: ภูมิภาคไซบีเรียเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พื้นดินแห้งและเป็นเชื้อเพลิงที่ดีสำหรับไฟป่า 2) ไฟซอมบี้ (Zombie Fires) หรือที่บางครั้งเรียกว่า “Holdover Fires” หรือ “Overwintering Fires” คือไฟป่าที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ใต้ดินในชั้นพีต (peat) หรืออินทรียวัตถุในดินแม้ผ่านฤดูหนาวไปแล้วกลับมาปะทุอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศแห้งและมีเชื้อเพลิงเพิ่มเติม โดยแทบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ไฟเหล่านี้สามารถปะทุขึ้นมาอีกครั้งและลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยคำว่า “ซอมบี้” ใช้อุปมาว่าไฟพวกนี้เหมือนซากที่ไม่ยอมตายแม้จะถูกฝัง (ด้วยหิมะหรือความเย็น) แต่ก็ยังคง “มีชีวิต” อยู่ในความมืดใต้พื้นดิน แล้วกลับมา “ลุกขึ้น” ใหม่อย่างเงียบเชียบและอันตราย โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Copernicus Atmosphere Monitoring Service (CAMS) และ University of Alaska ได้ระบุว่าไฟซอมบี้อาจกลายเป็นปรากฏการณ์ประจำปีของไซบีเรีย 3) การขาดแคลนทรัพยากรในการดับไฟ: เนื่องจากรัสเซียมีการส่งทหารจำนวนมากไปยังแนวรบในยูเครน ทำให้กำลังพลและอุปกรณ์ในการควบคุมไฟป่ามีจำกัด ส่งผลให้การดับไฟเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทั่วถึง

ภายใต้ยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน การจัดการไฟป่ามีลักษณะเฉพาะ 3 ประการ
1) การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization) นับตั้งแต่การปฏิรูปรัฐบาลภูมิภาคในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินพยายามลดบทบาทของผู้ว่าการท้องถิ่น โดยให้รัฐบาลกลางควบคุมการแต่งตั้งบุคลากรเจ้าหน้าที่และทรัพยากร ส่งผลให้เมื่อเกิดไฟป่าหน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจจำกัดในการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ
2) การจัดการเชิงภาพลักษณ์ (Symbolic Leadership) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินมักลงพื้นที่หรือมีการประชุมวิดีโอแสดงความห่วงใยทุกครั้งที่เกิดไฟป่าใหญ่ เช่น เหตุการณ์ในแคว้นครัสโนยาสค์ หรือยาคูเทีย แต่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ตามมา ทำให้เกิดคำวิจารณ์ว่าภาวะผู้นำของปูตินเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
3) การโยนความรับผิดชอบ (Blame Deflection) รัฐบาลมักอ้างว่าสาเหตุของไฟป่ามาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือ พฤติกรรมมนุษย์ โดยหลีกเลี่ยงการพูดถึงข้อจำกัดของกลไกรัฐ ในบางกรณีประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินออกมาตำหนิรัฐบาลท้องถิ่นและสั่งการผ่านสื่อโดยไม่มีกลไกสนับสนุนอย่างเป็นระบบ

ท่ามกลางภาวะสงครามงบประมาณรัฐจำนวนมากถูกเบนไปยังการทหาร ทำให้ขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Greenpeace Russia ระบุว่าในปี ค.ศ. 2023 พื้นที่ไฟป่าในไซบีเรียเกิน 4 ล้านเฮกตาร์ ขณะที่รัฐสามารถควบคุมได้เพียงไม่ถึงครึ่ง เนื่องจากหน่วยงานดับเพลิงในบางพื้นที่ขาดงบประมาณและบุคลากรเนื่องจากทรัพยากรถูกเบนไปสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน จากรายงานของสื่ออิสระ The Insider มีการเปิดเผยว่าเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์สำหรับดับเพลิงในบางภูมิภาคถูกปรับใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารในยูเครน  เจ้าหน้าที่ภาคสนามจำนวนมากถูกส่งไปเป็นทหารหรือขาดงบในการฝึกอบรม ส่งผลให้ไฟป่าหลายแห่งลุกลามโดยไม่มีหน่วยงานรัฐเข้าไปควบคุมได้ทันท่วงที ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟในหลายภูมิภาคต้องทำงานภายใต้ทรัพยากรจำกัด ในขณะที่การสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับภัยไฟป่ากลับไม่โปร่งใส ระบบเตือนภัยและการสื่อสารชำรุดล้าสมัยไม่ได้รับการพัฒนา เนื่องจากงบประมาณด้านความมั่นคงเน้นที่การทหาร ทั้งนี้วิกฤตไฟป่าจึงสะท้อนความล้มเหลวของรัฐในการวางนโยบายสิ่งแวดล้อมและจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน  สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “รัฐบาลของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินสามารถรักษาความมั่นคงภายในได้จริงหรือไม่ ขณะที่ประเทศกำลังสู้รบภายนอก?”

ไฟป่าในไซบีเรียมีผลกระทบของต่อความมั่นคงและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างมาก ไฟป่าได้เผาทำลายพื้นที่ป่าไทกา (Taiga) ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญของโลก นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซีย เช่น น้ำมัน แร่ และไม้ ซึ่งไซบีเรียมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจพลังงาน ไฟป่าอาจกระทบต่อเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมระหว่างรัสเซีย จีน และเอเชียตะวันออกไฟป่ายังส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาการทำป่าไม้ การล่าสัตว์ และการเกษตร ทั้งยังทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและเครือข่ายไฟฟ้า ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากต้องอพยพ โดยไม่มีการชดเชยหรือการดูแลอย่างเป็นระบบ ในระดับมหภาคเศรษฐกิจรัสเซียที่เผชิญการคว่ำบาตรจากตะวันตกอยู่แล้วยิ่งได้รับผลกระทบซ้ำจากภัยพิบัติดังกล่าว สถานการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายลงในพื้นที่ที่มีความตึงเครียดเชิงชาติพันธุ์ เช่น แคว้นที่อยู่ทางด้านตะวันออกที่ประชากรเป็นชนกลุ่มน้อย 

การปล่อยให้ไฟป่าลุกลามในพื้นที่กว้างโดยไม่สามารถควบคุมได้ อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงในหลายระดับ ดังนี้ 
1) ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม: ไฟป่าทำลายระบบนิเวศ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก และเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน 
2) ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ: สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมไม้ การเกษตร และสุขภาพของประชาชน
3) ความมั่นคงทางสังคมและการเมือง: ความไม่พอใจของประชาชนในภูมิภาคที่รู้สึกว่าไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะในบริบทของสงครามอาจจุดชนวนให้เกิดการต่อต้านหรือกระแสชาตินิยมระดับภูมิภาคได้

โดยดานิล เบซโซนอฟ «Даниил Безсонов» นักรัฐศาสตร์ชาวรัสเซียเคยชี้ว่า “ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นเป็นเหมือนสัญญาณอ่อนแอ (weak signal) ที่บ่งบอกถึงการเสื่อมถอยของกลไกรัฐในระดับภูมิภาค” นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศหลายคนได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียหันมาสนใจปัญหาภายในประเทศก่อน โดยเฉพาะเรื่องไฟป่าในไซบีเรีย ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่จัดการอย่างจริงจัง อาจกลายเป็นมหันตภัยรุนแรงซ้ำรอยอดีตอีกครั้ง องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและประชาชนทั่วไปมีการเปิดคำร้องผ่านเว็บไซต์ change.org เรียกร้องให้ทางการจัดการไฟป่าอย่างจริงจัง ซึ่งล่าสุดมีการรวบรวมลายมือชื่อมากกว่า 800,000 คน

การจัดการไฟป่าที่ล้มเหลวกลายเป็นแหล่งความไม่พอใจในบางภูมิภาคของไซบีเรีย เช่น การประท้วงในยาคูเตียและคราสโนยาร์สค์ที่ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลกลางสนับสนุนการดับไฟมากขึ้น รวมถึงการวิจารณ์จาก NGOs และสื่ออิสระที่ถูกจำกัดการนำเสนอข้อมูลโดยรัฐ องค์กร NGOs เช่น Greenpeace Russia ที่นำเสนอข้อมูลด้านลบถูกประกาศเป็น 'องค์กรต่างชาติ' (foreign agent)

การรับมือกับไฟป่าในไซบีเรียยังมีมิติเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากฝุ่นควันจากไฟป่าได้เคลื่อนข้ามพรมแดน และรัสเซียเองก็เป็นภาคีในความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การบริหารจัดการภายในประเทศกลับสวนทางกับพันธะสัญญานานาชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลกเสื่อมถอยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหาไฟป่าในไซบีเรียกลายมาเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานวิพากษ์นโยบายรัฐรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับสงครามมากกว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยรัสเซียถูกกล่าวหาว่าละเลยพันธะในสนธิสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยเฉพาะเมื่อไฟป่าในไซบีเรียเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงต่อเนื่องกันหลายปี

บทสรุป ไฟป่าในไซบีเรียคือวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เชื่อมโยงกันระหว่างสงคราม การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และการบริหารจัดการของรัฐในระยะยาว หากไม่มีการปฏิรูประบบจัดการสิ่งแวดล้อมและคืนอำนาจแก่ท้องถิ่นในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ไฟป่าจะไม่เพียงเผาผลาญต้นไม้ แต่จะกัดกร่อนเสถียรภาพของรัฐและความมั่นคงในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมกันนั้นสถานการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความลักลั่นในการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลกลางที่ให้ความสำคัญกับสงครามภายนอกมากกว่าสวัสดิภาพของประชาชนภายใน หากรัฐไม่สามารถหาจุดสมดุลระหว่าง “ความมั่นคงทางทหาร” กับ “ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษย์” ได้ในระยะยาว ปัญหาอย่างไฟป่าอาจกลายเป็นชนวนเรื้อรังที่คุกคามเสถียรภาพของรัสเซียจากภายในต่อไปในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top