Sunday, 20 April 2025
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขานรับ ตำรวจสากล ออกระเบียบ ระวังการส่งต่อข้อมูลล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หลังพบสถิติเด็กถูกล่วงละเมิดซ้ำทางโซเชียลมีเดีย สร้างรอยแผลทางใจแม้ว่าเหยื่อจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ภาพความทรงจำยังคงอยู่ในระบบ ลบยาก

ปิดฉากลงแล้วสำหรับ การประชุมสมัชชาใหญ่ตำรวจสากล (INTERPOL) ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน โดยมีซึ่งกลุ่มประเทศสมาชิกกว่า 195 ประเทศ และประเทศที่เพิ่งเข้าร่วมใหม่ล่าสุดอีกหนึ่งประเทศ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียงเพื่อฟังรายงานการดำเนินงานของตำรวจสากล (INTERPOL) ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นการใช้งบประมาณที่ได้จากการสนับสนุนของกลุ่มประเทศ ปีละกว่า 8000 ล้านบาท ในการจัดการปัญหาอาชญากรข้ามชาติ

นอกจากการรับฟังผลการดำเนินการมาตลอดทั้งปีแล้วที่ประชุมยังได้เสนอแผนงานที่จะทำร่วมกันในปีต่อไปในแต่ละด้าน โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตามสังคมยุคใหม่ ทำให้การก่ออาชญากรรมทำได้อย่างรวดเร็วและมีการส่งต่อข้อมูลดิจิทัล ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ผู้ก่อเหตุก็ มีช่องทางในการหลบหนีออกนอกประเทศหลังการกระทำผิด หรือไปกบดานตามประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อติดต่อกลุ่มเครือข่าย

ล่าสุดมีการนำเสนอคลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่อยู่ในประเทศเยอรมนีและปิดบังการเข้าถึงของประเทศไทยภายในคลิปแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการค้ามนุษย์ของกลุ่มคนร้าย ซึ่งแม้ว่ากรณีนี้จะมีการจับกุมตัวคนร้ายได้ แต่หนึ่งในบางท่อนของคลิปวิดีโอระบุชัดว่า คนร้ายยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้แก่ข้าราชการเพื่อเปิดช่องทางในการหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปยังประเทศปลายทางซึ่งเป็นแหล่งกบดาน

ที่ประชุมยังได้ เสนอที่จะออกระเบียบควบคุมการส่งต่อข้อมูลการล่วงละเมิดทางเพศของเด็กผ่านช่องทางต่างๆโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีความรัดกุมป้องกันข้อมูลหลุดรอดออกจากระบบไปถึงผู้ใช้รายอื่น รวมถึงการใช้ข้อมูลระหว่างประเทศเพื่อติดตามคนร้าย ป้องกันการกระทำซ้ำในรูปแบบของเครือข่าย 

ซึ่งเรื่องนี้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวในเวทีการประชุม ว่า เห็นด้วยกับแนวทางการจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศกับกลุ่มเยาวชน ซึ่งพบว่าที่ผ่านมามีความรุนแรงขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเอเชีย จะตกอยู่ในเป้าหมายของกลุ่มคนร้าย ทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ การถ่ายทำคลิปวิดีโออนาจาร และการล่อหลวงไปขายประเวณี 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังย้ำด้วยว่า คลิปวิดีโอการกระทำผิดถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็วทางโซเชียลมีเดีย จนยากจะลบออกจากระบบ ทำให้เหยื่อถูกกระทำอนาจารซ้ำซาก แม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพการถูกกระทำก็ยังฝังอยู่ในระบบ และมีข้อมูลไม่น้อยถูกส่งต่อโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ระมัดระวังในการใช้ข้อมูล ทำให้ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐตกไปอยู่ในมือของกลุ่มของคนร้าย

ดังนั้นจึงเห็นด้วย ที่จะออกระเบียบให้ทุกประเทศ เข้ามาร่วมกันจัดการปัญหาการส่งต่อข้อมูลเหยื่อถูกกระทำอนาจารอย่างระมัดระวัง และเปิดให้เข้าถึงข้อมูลในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ใช่การส่งต่อคลิปวิดีโออนาจารต้นฉบับ เข้าไปในระบบ 

นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประเทศต้นทางของผู้ต้องหาและประเทศใกล้เคียง ร่วมกันสร้างแนวทางสกัดกั้นการหลบหนีของคนร้ายจากประเทศปลายทาง โดยให้กระทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลหมายจับ เส้นทางทรัพย์สิน รวมไปถึงกลุ่มเครือข่าย
เพื่อไม่ให้กลุ่มคนร้ายสามารถไปรวมตัวกันได้ และกระทำการอนาจารซ้ำไปซ้ำมา จนยากที่จะแก้ปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป

ทั้งนี้ผลจากการส่งต่อข้อมูลอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยศูนย์เพื่อเด็กหายและถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (U.S. National Center for Missing and Exploited Children หรือ NCMEC) และคณะทำงานปราบปรามอาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดต่อเด็ก สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย (Thailand Internet Crimes Against Children หรือ TICAC) ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงแบ่งปันข้อมูลเพื่อต่อต้านการแสวงประโยชน์จากเด็ก ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย สามารถเข้าถึงรายงานของ NCMEC เกี่ยวกับคดีการแสวงประโยชน์จากเด็กอย่างรวดเร็ว 

และแม้ว่าปัจจุบัน TICAC จะได้รับข้อมูลจาก NCMEC ผ่านสำนักงานในไทยของหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงความมั่นคงแห่งสหรัฐอเมริกา แล้ว แต่การได้รับข้อมูลโดยตรง จะช่วยให้ TICAC สามารถปฏิบัติการได้รวดเร็วฉับไวต่อกรณีฉุกเฉินและเข้าถึงข่าวกรองด้านอาชญากรรมได้โดยตรง เช่น การปราบปรามการแสวงประโยชน์จากเด็ก

และนี่ทำให้สถิติการแก้ปัญหาในประเทศไทย ดีขึ้นตามลำดับ โดยพบว่า ในปี 2021 มีสถิติการจับกุมจากข้อมูล 79 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 589 ข้อมูล กระทั่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา ก็พบว่าในปี 2022 มีการจับกุมเพิ่มขึ้นจากข้อมูล 482 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 9569 ข้อมูล ขณะที่ในปี 2023 จนถึงปัจจุบันมีการจับกุมจากข้อมูล 461 เคส มีการขยายผลไปสู่ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง 8328 ข้อมูล ทำให้คลิปที่ปรากฏอยู่ในระบบเกือบ 600000 คลิป ลดลงมา เหลือเพียง 332639 คลิป ในปีปัจจุบัน

ขณะที่ นายเจอร์เก้น สต๊อก เลขาธิการตำรวจสากล  อินเตอร์โพล กล่าว ขอบคุณกลุ่มประเทศสมาชิกทั้ง 196 ประเทศที่ให้ความร่วมมือเข้ามาติดตามประเมินผลการบริหารงาน ของตำรวจสากล ซึ่งในปีนี้มีผลงานการดำเนินการที่ก้าวกระโดดจากการ แสวงหาความร่วมมือร่วมกัน และเชื่อมั่นว่าในปีต่อไปก็จะประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้นโดยในปีหน้าจะย้ายสถานที่การประชุมไปที่ประเทศสกอตแลนด์เป็นครั้งที่ 93 หรือปีที่ 101 ของการก่อตั้ง ตำรวจสากล

รรท.ผบ.ตร. เยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พร้อมส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศหายจากอาการป่วย และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจำนวน 5 นาย โดยมี พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมทีมแพทย์พยาบาล ให้การต้อนรับ

โดยพูดคุย ซักถามอาการเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากทีมแพทย์ และญาติ ให้กำลังใจ พร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่งกับครอบครัว นอกจากนี้ยังถือโอกาสเยี่ยมตำรวจหญิงที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยพูดคุยซักถามอาการ ให้กำลังใจกับตำรวจหญิง และครอบครัว หลังพบโพสต์น่าเป็นห่วงในโซเชียลของตำรวจหญิง ที่ระบุว่ารับราชการตำรวจ 1 ปี หลังรับการฝึกพบเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า มีการแชร์โพสต์จำนวนมาก ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยเร่งตรวจสอบให้ความช่วยเหลือด่วน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวขอบคุณ ทีมแพทย์ พยาบาล ของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ไม่เคยทอดทิ้งข้าราชการตำรวจ ที่เจ็บป่วย และได้รับบาดเจ็บ ให้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี ขอส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ทั่วประเทศ ให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว กลับมาปฎิบัติหน้าที่ข้าราชการตำรวจที่ดีให้กับประชาชน

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลตำรวจให้ทีมแพทย์ พยาบาลดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วย ด้วยภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลตำรวจ มีเพจ "Depress We Care "ซึมเศร้าเราใส่ใจ  และเพจ  "Because We Care" ซึ่งทีมแพทย์ พยาบาล ทีมจิตแพทย์  กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด พร้อมสหวิชาชีพ จะให้คำปรึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด 

จากสถิติการตรวจสุขภาพจิตประจำปีของข้าราชการตำรวจ ปีงบประมาณ 2565-2566 สำรวจ ณ วันที่ 13 ก.พ. 2567 พบว่า ในปีงบประมาณ 65 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้า รุนแรง 301 คน  ภาวะเครียด 1108  คน  ปีงบประมาณ 66 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง 196 คน ภาวะเครียดรุนแรง 1,552คน และภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง ในปีงบประมาณ 65 จำนวน 150 คน ปีงบประมาณ 66 จำนวน 315 คน

หากโรงพยาบาลตำรวจพบข้าราชการตำรวจมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตนักจิตวิทยา โรงพยาบาลตำรวจจะโทรศัพท์ พูดคุยให้คำปรึกษา รวมถึงติดตามอาการ และส่งต่อเข้าสู่กระบวนการบำบัด โดยในปีงบประมาณ 66 มีการให้คำปรึกษาจำนวน 1,366 คน เหลือติดตามต่อเนื่อง 219 คน อีกทัังได้จัดทำคู่มือการดูแลสุขภาวะทางจิตใจของข้าราชการตำรวจ รวมไปถึงอบรมโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจ และครอบครัว และอบรม “โครงการครูแม่ไก่”( จิตแพทย์น้อย)  โดยอบรมเชิงบรรยายและเชิงปฏิบัติการแก่ข้าราชการตำรวจ ในการดูแลรักษาสุขภาพจิต ไม่ให้เกิดภาวะเครียดหรือซึมเศร้า และให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต ตรวจประเมินสุขภาพจิตให้กับข้าราชการตำรวจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงห้องตรวจจิตเวชและยาเสพติด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทีมแพทย์และผู้ป่วยด้วย

หากข้าราชการตำรวจหรือครอบครัวรวมไปถึงประชาชนประสบภาวะเครียดหรือซึมเศร้าหรือ สามารถติดต่อ โรงพยาบาลตำรวจได้หลายช่องทาง ผ่านทางเพจ “Depress We Care” และเพจ “Because We Care“ อีกทั้งสายด่วน 081 932 0000 ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา รวมถึงการป้องกันและรักษาในเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

#PGH
#โรงพยาบาลตำรวจ
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรและโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ

ตชด. จัดอุปสมบทหมู่ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

วันนี้ (26 มีนาคม 2567) เวลา 08.00 น. ที่วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชทานแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2567 ในโอกาสนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เข้าร่วมอุปสมบทพร้อมข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน รวม 28 นาย ภายในงานประกอบด้วยพิธีมอบผ้าไตรและบาตร หลังจากนั้นได้มีพิธีบรรพชาและอุปสมบท โดยมีพระธรรมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์ และมีผู้บังคับบัญชา ข้าราชการตำรวจและครอบครัวเข้าร่วมพิธี

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ (2 เมษายน ) อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2541 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อตำรวจตระเวนชายแดนและพสกนิกรชาวไทย อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่กำลังพลผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท มีโอกาสให้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยตลอดระยะเวลาที่บรรพชาจะได้ฝึกปฏิบัติธรรม วิปัสสนาและเจริญภาวนา ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และลาสิกขาในวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยวันที่ 2 เมษายน 2567 พระภิกษุ ตชด. ทั้ง 28 รูป จะเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อีกด้วย

พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เปิดเผยว่า “ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามราชกุมารี อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 40 ปี ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพสกนิกรชาวไทยและตำรวจตระเวนชายแดน โดยเฉพาะงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและคนในชุมชนชายแดนได้อย่างยั่งยืน”  ซึ่งในการอุปสมบทในครั้งนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต  ได้รับฉายา “ปิยกิตติโก” (ปิ-ยะ-กิต-ติ-โก) แปลว่า ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่รักของคนทั้งหลาย

รรท.ผบ.ตร.สั่งลงดาบย้าย ผกก.สน.พญาไท หลังกองปราบฯ จับบ่อนพนันให้พื้นที่ พร้อมกำชับเข้มทั่วประเทศ ห้ามมีบ่อน ปราบปราบเด็ดขาด คาดโทษย้ายจริง

วันนี้ (27 มีนาคม 2567) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) สั่งการกำชับตำรวจทุกพื้นที่ ทุกหน่วยทั่วประเทศ ให้เร่งรัดปราบปรามอบายมุข การพนัน การกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ซึ่งได้ประชุมเน้นย้ำกำชับผ่านผู้บัญชาการทุกหน่วยไปแล้ว โดยเฉพาะการปราบปรามบ่อนการพนัน ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการปฏิบัติการจับกุมอย่างต่อเนื่อง

รรท.ผบ.ตร.สั่งการเน้นย้ำอีกครั้งให้ทุกหน่วยปราบปรามอย่างเข้มงวดจริงจัง เด็ดขาด และย้ำทุกพื้นที่ทั่วประเทศ หากปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่ หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่ต้องรับผิดชอบ โดยจะมีคำสั่งย้ายไปช่วยราชการทุกราย ไม่มีการละเว้น ถือเป็นการลงโทษในทางปกครอง และหากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการเรียกรับ หรือได้รับผลประโยชน์จะต้องดำเนินการทางอาญาด้วย ถือเป็นข้อตกลงที่จะทำให้สำนักงานแห่งชาติเป็นที่ยอมรับของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ขอให้ตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม อย่างเด็ดขาด ทำตามนโยบายรัฐบาล และ รรท.ผบ.ตร.อย่างเคร่งครัด โดยจะสั่งการให้หน่วยปฏิบัติของส่วนกลางลงไปตรวจสอบด้วย

กรณีล่าสุดที่ตำรวจกองบังคับปราบปราม จับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่ สน.พญาไท นั้น รรท.ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ออกคำสั่งให้ ผกก.สน.พญาไท มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.น.1 แล้ว ถือเป็นตัวอย่างของการละเลยไม่ปฏิบัติตามนโยบาย

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ประชุม ศปอส.ตร.สั่งเข้มรุกฆาตปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างจริงจัง เด็ดขาด ขีดเส้น 1 เดือนตรวจสอบการทำงานของทุกกองบัญชาการ

วันนี้ (4 เม.ย. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการทำงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ครั้งที่ 2/2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. เข้าร่วมประชุม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า หน้าที่การทำงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นหน้าที่หลักของทุกหน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ทุกหน่วยงานต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นอาชญากรรมที่พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบ สูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก ซึ่ง ศปอส.ตร.เป็นเครื่องมือสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการขับเคลื่อนนโยบาย กำหนดเป้าหมาย และประสานงานกับหน่วยงานข้างเคียงที่จะสนับสนุนข้อมูลอุปกรณ์ช่วยเหลือการปฏิบัติงานของ ศปอส.ตร.ในระดับกองบัญชาการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ในด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันเหตุ โดยสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนทางช่องทางต่างๆ โดยใช้กรณีที่เกิดขึ้นจริงและแก้ไขได้จนประสบผลสำเร็จ รวมถึงการประสานความร่วมมือจากอินฟลูเอ็นเซอร์ เพื่อช่วยขยายปริมาณการรับรู้ การให้ความรู้แก่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น และให้ ศปอส.ตร. และ ศปอส.น./ภ. มุ่งเน้นการปราบปรามเป้าหมายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะการอายัดบัญชีม้า ที่ต้องทำทันทีด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ประชาชนผู้เสียหายมีโอกาสได้เงินคืนเร็วที่สุด นอกจากนี้ เน้นย้ำการปราบปรามการพนันออนไลน์ โดยให้เปิดช่องทางแจ้งข้อมูลเบาะแสผู้กระทำผิดไว้เฉพาะ และจะต้องมีรูปแบบขั้นตอนการทำงานในการรับแจ้งเบาะแส การสืบค้น และการประสานการปฏิบัติกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปิดเว็บไซต์ และต้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในการทำงานโดยตลอด

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า เน้นย้ำให้ทุกกองบัญชาการต้องเดินหน้าป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับ บช.สอท. ทั้งการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ การขายสินค้าผิดกฎหมายทางออนไลน์ ฯลฯ ให้สร้างผลงานเชิงรุก “รุกฆาต”กับผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เด็ดขาด พร้อมย้ำว่าการตรวจสอบการทำงานอย่างจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในเวลา 1 เดือนนั้น จะไม่ตรวจสอบเพียงแค่ บช.สอท.ซึ่งได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีโดยตรงเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น แต่จะมีการตรวจสอบชี้วัดผลการปฏิบัติงานในทุกกองบัญชาการในระยะเวลา 1 เดือนเช่นเดียวกันด้วย

รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานปรับทัศนคติการทำงาน เดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ห้ามไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อให้องค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติเดินหน้าต่อไป คืนความเชื่อมั่นศรัทธาและเป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชนโดยแท้จริง

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ”สั่งตำรวจบูรณาการทุกภาคส่วน ร่วมตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชน เหตุโรงงานน้ำแข็งสารเคมีรั่วไหลที่บางละมุง ได้รับผลกระทบเกือบ 100 ราย กำชับการสอบสวนสาเหตุ เร่งทำความจริงให้ปรากฎ หากพบเป็นความผิดให้ดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและเด็ด

จากกรณีโรงงานน้ำแข็งในใพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี สารแอมโมเนียรั่ว ทำให้สารเคมีฟุ้งกระจายไปทั่ว เมื่อช่วงกลางคืนที่ผ่านมานั้น วันนี้ (18 เม.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท. สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 นำตำรวจร่วมกับฝ่ายปกครองและทุกภาคส่วนเข้าควบคุมสถานการณ์ ตั้งจุดช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมอพยพคนไม่เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นมีประชาชนได้รับผลกระทบเกือบ 100 ราย เป็นพนักงาน , ประชาชนที่สัญจรผ่านด้านหน้าโรงน้ำแข็ง และประชาชนที่พักอาศัยอยู่บริเวณข้างเคียง ส่วนใหญ่มีอาการ แสบตา แสบจมูก แต่มี 9 ราย พบอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และ 3 ราย มีบาดแผล และอาการซึม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ยังได้สั่งการให้เร่งสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร มีผู้ที่ต้องรับผิดชอบหรือไม่ เร่งทำความจริงให้ปรากฎ ตามพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยตั้งเป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน หากพบเป็นความผิดอาญาให้ดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมทั้งการสอบสวนปากคำประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ให้อำนวยความสะดวกกับพี่น้องประชาชนให้เกิดความสะดวกมากที่สุด นอกจากนี้ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจในพื้นที่ดูแลความปลอดภัย และร่วมช่วยเหลือประชาชนละแวกโรงน้ำแข็งที่อพยพมาอยู่ที่หอศาลาประชาคมอย่างเต็มที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ให้กำลังใจเยาวชนในการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครั้งที่ 10 "สองเล เกมส์" ซึ่งมีนักเรียนกว่าพันคนทั่วประเทศร่วมแข่งขัน

วันนี้ (24 เมษายน 2567) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เดินทางไปให้กำลังใจนักเรียนระดับประถมศึกษาสังกัดโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครั้งที่ 10 ประจำปี 2567 ชิงถ้วยพระพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “สองเลเกมส์” ที่สนามกีฬาราชนิเวศน์กรีฑาสถาน กองกำกับการ 1 กองบังคับการฝึกพิเศษ (ค่ายพระรามหก) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยมี พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมคณะ ร่วมต้อนรับอย่างอบอุ่น สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ มีกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 เมษายนนี้ โดยมีนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 1,400 คนทั่วประเทศร่วมการแข่งขัน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้ขอบคุณและชื่นชมกรมพลศึกษาและกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ที่ได้ร่วมกันจัดการแข่งขันกีฬาในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับน้องๆ นักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจากทั่วประเทศ ในโอกาสนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้มอบเหรียญรางวัลให้แก่นักกีฬาที่ชนะการแข่งขันกรีฑา รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี ด้วย

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” พบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 โครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการสนับสนุนด้านการศึกษาเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชน

วันนี้ (9 พฤษภาคม 2567) เวลา 07.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ โซนซี ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 นำผู้เข้าร่วมโครงการ “เรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2” ระหว่างวันที่ 7-9 พฤษภาคม 2567 โดยมีนักเรียนจำนวน 61 คน และครู จำนวน 20 คน จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จำนวน 53 แห่ง 

ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 กล่าวว่า การศึกษานับเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน การจัดการศึกษาของประเทศไทยได้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง จากประสบการณ์ของตนเองที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมุ่งเน้นการเรียนรู้ในลักษณะของการบูรณาการสาระความรู้ต่างๆอย่างสมดุล สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการศึกษานอกสถานที่เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง จะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษาอย่างแท้จริง ถือเป็นวิธีการทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ และสามารถพัฒนาผู้เรียนในด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม ได้เป็นอย่างดี กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จึงจัดทำโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ได้รับการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ปฏิบัติจริง และเกิดความพร้อมทั้ง 4 ด้านดังกล่าว และเพื่อเป็นการมอบโอกาสอันดี เป็นรางวัลให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในสังกัด ที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี หรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านที่มีผลงานดีเด่น

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ว่า นักเรียนทุกคนเป็นตัวแทนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 และเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดังนั้น เมื่อทราบว่าทางกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จัดโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ขึ้น จึงได้ขอให้ผู้จัดโครงการได้จัดตารางเวลาให้มีโอกาสมาพบปะ สนทนากับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วย เพื่อแสดงความตั้งใจ และยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านการศึกษา และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในการเรียนรู้นอกสถานที่ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของนักเรียนทุกคน ที่ได้พบ ได้ยิน ได้ฟัง รวมถึงมีข้อสังเกต มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นในใจ เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนรู้ การค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ต่างๆในชีวิตของนักเรียนทุกคน

จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ฯ ได้พูดคุยกับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ พร้อมจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ให้กับนักเรียนในเรื่อง การสังเกต จดจำลักษณะ ใบหน้า เพื่อการสเก็ตช์ภาพคนร้าย โดยมี พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ บูรณะ อดีตรอง ผบก.ศพฐ.1 ผู้ชำนาญการสเก็ตช์ภาพใบหน้าคนร้าย เป็นวิทยากร

นอกจากนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จะได้มีโอกาสไปเรียนรู้นอกสถานที่ ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร , ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ และชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี , เรียนรู้เยี่ยมชมสวนนงนุช และฟังการบรรยาธรรมจากพระอาจารย์เอกชัย ศิริญาโณ ณ สวนนงนุช จ.ชลบุรี

ทั้งนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการต่างขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ที่เปิดโอกาสให้ได้เข้าร่วมโครงการดีๆ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่อยากเป็นตำรวจ และครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โดยส่วนใหญ่กล่าวว่า ได้เห็นตัวอย่างและได้รับแรงบันดาลใจที่ดีจากครูตำรวจตระเวนชายแดน และผู้บังคับบัญชาทุกท่าน

“พล.ต.อ.กรไชยฯ” ตรวจสอบอาคารที่ทำการ สตม. และ บช.สอท. รวมทั้ง อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สตม. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตำรวจและผู้ติดต่อราชการ

(1 เม.ย. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้ร่วมสำรวจความเสียหายของอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ (อาคาร 30 ชั้น) ที่ทำการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี และอาคารที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจ จากกรณีเเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. , พล.ต.ต.สมิทธิ สุวรรณสุขโรจน์ ผู้บังคับการกอง
โยธาธิการ และคณะผู้เชี่ยวชาญ ร่วมตรวจสอบ

นอกจากนี้ วานนี้ (31 มีนาคม 2568) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กรไชยฯ พร้อมคณะ ได้ร่วมตรวจสอบอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคาร 32 ชั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.ภาณุวัฒน์ ร่วมรักษ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง , ผู้บังคับการกองโยธาธิการ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบ

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่สำรวจอาคารที่ทำการและที่พักอาศัย หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงาน ผู้ที่พักอาศัยในอาคาร และประชาชนที่ติดต่อราชการต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงาน ปปง. แถลงผลปฏิบัติการปราบปรามการฟอกเงิน 2 ไตรมาส  ยึดทรัพย์สินได้กว่า 1,900 ล้านบาท

(9 เม.ย. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปปง.ตร.) ร่วมกับ นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ชัยพจน สูวรรณรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2/เลขานุการ ศปปง.ตร. พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค , และ พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผู้บังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ห้วงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 6 เมษายน 2568 ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นศูนย์อำนวยการและสั่งการ ติดตามสถานการณ์ ประสานงาน และรายงานผลการปฏิบัติในภารกิจสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานฟอกเงิน 29 มูลฐานความผิด และส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการปราบปราม และการบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ได้มอบหมายให้ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้นสร้างความเดือดร้อนรำคาญ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า และประชาชนรอบข้าง โดยเฉพาะเยาวชน โดยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันกับสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดมาตรการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการคุมเข้มปราบปรามการครอบครอง และการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ตามโรงเรียน สถานศึกษา หรือที่มีแหล่งข่าวว่าเป็นสถานที่พัก  ลักลอบเก็บอุปกรณ์ โกดัง ร้านค้า เพื่อนำออกไปจำหน่าย รวมทั้งร่วมบูรณาการกับกรมศุลกากรในการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าในราชอาณาจักร

พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปปง.ตร. กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ 2568 ห้วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง  31 มีนาคม 2568 ได้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งมีผลการดำเนินคดีอาญาฟอกเงินในภาพรวม จำนวน 252 คดี และสามารถยึดอายัดทรัพย์ได้ จำนวน 1,902,710,831.63 บาท 

ในส่วนของการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าตามนโยบายรัฐบาล    พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยทั่วประเทศเร่งปราบปรามปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้า การครอบครอง และการจำหน่าย ในการนี้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปปง.ตร.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่ดำเนินการจับกุมผู้กล่าวหารายงานตามระเบียบสำนักงานนายกรัฐมนตรีฯ ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ลักลอบเก็บอุปกรณ์ การนำออกไปจำหน่าย และการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นพฤติการณ์เข้าข่ายการกระทำความผิดมูลฐาน ลักลอบหนีศุลกากร ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ปัจจุบันมีผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 6 เมษายน 2568 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา 2,337 ราย ของกลาง 1,610,443 ชิ้น มูลค่าของกลาง 296,170,159 บาท จำแนกเป็นคดีสำคัญรายใหญ่ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้จำนวน 22 คดี ของกลาง 839,948 ชิ้น มูลค่า 202,863,310 บาท

นายกมลสิษฐ์ฯ รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ในการการดำเนินการตามกฎหมายของสำนักงาน ปปง. เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้านั้น หากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร จะเป็นความผิดมูลฐานไปสู่การยึดอายัดทรัพย์สินได้ โดย ปปง. จะสามารถดำเนินการได้ 2 แนวทาง คือ การดำเนินการดำเนินการทางอาญาในความผิดมูลฐาน “ฟอกเงิน”และทางแพ่งในการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและการดำเนินการทางอาญาในความผิดมูลฐาน “ฟอกเงิน”

พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้กำชับให้ทุกหน่วยทั่วประเทศเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบ มิให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำเข้า จำหน่าย ครอบครอง หรือเป็นแหล่งซุกซ่อน หากพบการกระทำความผิด ให้สืบสวนขยายผลให้ได้ข้อเท็จจริง พยานหลักฐานและนำไปสู่การดำเนินคดีตามความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการ  ฟอกเงินฯ ทุกกรณี 

ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top