Wednesday, 3 July 2024
ยามเฝ้าแผ่นดินไทย

'ดร.หิมาลัย' แนะ 'อุ๊งอิ๊ง' เลิกท่องวาทกรรม 'รัฐประหาร' ได้แล้ว ซัด!! มีดีอะไร ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ข้ามหัวคนทั้งพรรค

(20 เม.ย.66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณี 'แพทองธาร ชินวัตร' แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ออกมาประกาศว่า “ดูหน้าดิฉันไว้ ใครจะอยากจับมือคนทำรัฐประหาร” โดยระบุ การที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ออกตัวว่าจะไม่จับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ ทั้งที่ยังไม่ทราบผลการเลือกตั้ง อาจจะเป็นการดูแคลนพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่มีโอกาสจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน รวมยังใช้วาทกรรมตอกย้ำเรื่องรัฐประหารอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่จะเลือกตั้งอีกไม่กี่วันแล้ว

‘ดร.หิมาลัย’ ชี้ชัด!! รทสช.เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาล ยืนยัน!! อุดมการณ์ทำเพื่อชาติ อดมื้อ กินมื้อ ก็ต้องพร้อมทำใจ

(3 ก.พ. 67) จากกรณีของคุณเจ๋ง ดอกจิก โดนกล่าวหาว่าไปพัวพันกับขบวนการตบทรัพย์ท่านอธิบดีกรมข้าวที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ ด้าน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

ต้องเรียนพี่น้องประชาชนทุกท่านเลยนะครับ ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเจ๋งล้วนๆ เป็นเรื่องที่คุณเจ๋งจะต้องไปตอบสังคมและต่อสู้คดีเอาเอง    

คุณเจ๋ง ดอกจิกเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติตามโครงการสมานฉันท์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ภายใต้แนวความคิดของการอยู่ร่วมกันบนความเห็นต่าง ที่ไม่ต้องการให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนในชาติแบ่งแยกกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นสีอีกต่อไป เรียกว่าเป็นการสลายสีเสื้อ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งพรรคร่วมไทยสร้างชาตินั้นเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองในการที่จะสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติ บำรุงรักษาศาสนา ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข 

การร่วมงานตามอุดมการณ์ของพรรค ทุกคนจึงมีอิสระในการทำงานตามแนวทางของตัวเอง แต่ที่นี่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้แสวงหา การบริหารพรรคโดยท่านหัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และท่านเลขาธิการพรรค นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้ที่มีโอกาสได้บริหารงานราชการการเมืองในตำแหน่งต่างๆ จึงต้องเร่งขยันสร้างผลงานให้ปรากฏต่อสายตาของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ผู้เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ทำงานรับใช้พวกท่านทั้งหลาย

จุดแข็งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของพรรค ในบางครั้งอาจกลายเป็นจุดอ่อน หากผู้เข้ามาร่วมงานการเมืองของพรรค ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือลาภอันมิควรได้ บุคคลเหล่านี้จึงอาจจะต้องไปหาหนทางจากที่อื่น ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของพรรค

พรรคการเมืองจึงเป็นที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน มาช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติตามนโยบายและแนวทางของพรรคนั้นๆ ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาลที่จะมานั่งคอยอบรมสั่งสอนควบคุมความประพฤติของสมาชิกและผู้ร่วมงาน แต่ละท่านที่มาร่วมอุดมการณ์ย่อมต้องระวังตัว ควบคุมจิตใจตัวเองให้ยึดมั่นและมั่นคงในอุดมการณ์แม้จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก อดมื้อกินมื้อ แต่นั้นคือเกียรติยศทางการเมืองของแต่ละท่าน 

เรื่องที่เกิดขึ้น จึงเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่จะเข้าสู่ถนนการเมืองได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ ส่วนคุณเจ๋ง ดอกจิกนั้น คงต้องเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ที่จะต้องไปพิสูจน์ตัวเองตามวิถีทางของขบวนการยุติธรรมและบริบทของสังคมต่อไป

รู้จัก 'การยิงแตกอากาศ' การร้องขอครั้งสุดท้ายของวีรบุรุษ  เกียรติแห่งทหารกล้า 'ปกป้อง-นำพา' แผ่นดินไทยให้ดำรงสืบต่อไป

(5 ก.พ.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้ออกบทความเนื่องในวันทหารผ่านศึก ระบุว่า...

ผมเขียนบทความเรื่องนี้ ในคืนวันที่ 3 ก.พ.67 ซึ่งเราถือว่าเป็นวันทหารผ่านศึก เพื่อระลึกและเชิดชูเกียรติให้กับทหารและพลเรือน ที่เข้าสู่สนามรบในสมรภูมิต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบและนอกแบบ บางครั้งเป็นสงครามการสู้รบที่เปิดเผย หลายครั้งเป็นการสู้รบทางลับ เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยของเราไว้ให้ลูกหลาน

ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานนี้ ช่วงต้นๆ ปี มียูทูบเปอร์หญิงท่านหนึ่ง ลงทุนไปใช้ชีวิตกับทหารตามแนวชายแดนเพื่อเรียนรู้จากการลงพื้นที่และปฏิบัติจริง เพื่อนำมาเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ แต่น่าเสียดาย ที่มีการด้อยค่าจากผู้เห็นต่างทางความคิด รุมถล่มหรือที่เขาเรียกว่าทัวร์ลง จนเจ้าตัวแทบจะย่ำแย่เลยทีเดียว หากมองในแง่ของสื่อมวลชนแล้ว ต้องยกย่องคุณ pigkaploy ยูทูบเปอร์ท่านนี้ด้วยซ้ำไป ที่ลงทุนลงแรงปฏิบัติด้วยตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อย

วลี 'ทหารมีไว้ทำไม' เกิดขึ้นจากนักวิชาการการเมืองบางท่าน ที่ตั้งคำถามขึ้นมาเพียงเพื่อเอาชนะกันทางการเมือง โดยไม่คิดถึงผลกระทบระยะยาวที่จะตามมา มีการพยายามสร้างความแตกแยกเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับทหาร นักการเมืองบางท่านต้องการเอาชนะ ต้องการมีอำนาจทางการเมือง ถึงขนาดเสกสรรปั้นแต่งประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อบั่นทอนความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย

โชคดี ที่วันนี้ความพยายามเหล่านี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ความรู้สึกเกลียดชังกันในสังคม ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง ความรู้สึกรักและผูกพันกันของบุคคลในชาติยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทหาร อาจจะมีการกระทำที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจท่านไปบ้าง แต่ท่านทั้งหลายมั่นใจเถอะครับ ถึงท่านจะเกลียดทหาร เพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาวิกฤตมาถึง ทหารจะเป็นคนแรกที่จะเอาร่างกายและชีวิตเข้าปกป้องรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้ท่านและลูกหลานท่านสืบไป

ย้อนกลับไปสมัยที่ผมยังเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมทหารตลอดจนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วิชาทหารจะมีวิชาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'วิชายุทธวิธี' จะมีการสอนเกี่ยวกับการรบและหลักนิยมของสงครามและการรบแบบต่างๆ พวกเราซึ่งจะต้องจบออกไปเป็นนายทหารและนำหน่วย จะถูกสอนย้ำแล้วย้ำอีกให้ยึดมั่นในภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด ภารกิจที่ได้รับมอบหมายย่อมมีความสำคัญเสมอ แม้แต่ชีวิตของพวกเราก็ต้องพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อปฎิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ 

มีคำศัพท์ในวิชาทหารคำหนึ่ง ที่พวกเราจะต้องเรียนรู้และจดจำ เพราะคำนี้จะมีความสำคัญมาก หากเราได้รับภารกิจให้รักษาฐานที่มั่นที่ใดที่หนึ่ง ในการตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารนั้น สิ่งที่พวกเราจะต้องกระทำทุกครั้งคือ การส่งพิกัดที่ตั้งฐานของเราเองให้กับหน่วยทหารปืนใหญ่ที่จะช่วยยิงสนับสนุนให้กับฐานของเรา 

การส่งพิกัดที่ตั้งให้กับหน่วยปืนใหญ่นั้น เป็นการแจ้งให้ทราบว่าหน่วยของเราตั้งอยู่ที่ใด เพื่อเวลาขอความช่วยเหลือจากการโดนโจมตีจากข้าศึก ปืนใหญ่จะได้ช่วยทำการยิงสนับสนุนได้ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุด ปืนใหญ่จะสามารถสนับสนุนการร้องขอครั้งสุดท้ายของพวกเราในฐานะผู้บังคับหน่วยได้

'การยิงแตกอากาศ' คือการร้องขอให้ปืนใหญ่ที่ยิงสนับสนุนนั้น ยิงปืนใหญ่ใส่ฐานที่มั่นตนเอง โดยให้กระสุนปืนใหญ่ระเบิดแตกกลางอากาศเหนือที่หมาย ตามพิกัดที่เราส่งให้ไว้ เป็นคำขอของผู้บังคับหน่วยทหารที่พึงกระทำเพื่อรักษาฐานที่มั่นตามคำสั่งทางทหารด้วยชีวิต แปลง่ายๆ ครับ คือการฆ่าตัวตายยกหน่วยพร้อมข้าศึก 

การร้องขอครั้งสุดท้ายของวีรบุรุษของเรา มีเกิดขึ้นจริง หลายครั้งหลายหนในหลายสมรภูมิ 'ทหารมีไว้ทำไม' หลายท่านคงมีคำตอบที่หลากหลาย แตกต่างกันไป แต่คำตอบที่ทหารทุกคนคงจะตอบเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นนายพล หรือ พลทหาร ทหารมีไว้เพื่อรักษาประเทศชาติและผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน แม้จะต้องใช้ชีวิตเข้าแลกก็ตาม ตามคำปฎิญานตนของทหารทุกคนที่ว่า "ตายในสนามรบ คือ เกียรติของทหาร"

ท้ายสุดนี้ ผมขอกราบคารวะ สดุดี ทหารผ่านศึกทุกท่าน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้วก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้เถิดว่า ลูกหลานของท่านได้รับรู้และรับทราบความเสียสละของพวกท่าน ซาบซึ้ง สำนึกในบุญคุณ และภาคภูมิใจในตัวพวกท่านเสมอ

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' เตือนภัยทองปลอมระบาดช่วงตรุษจีน ห่วง!! ผู้ที่คิดจะซื้อ ต้องเลือกร้านที่มีชื่อเสียงการันตีเท่านั้น

(7 ก.พ. 67) ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. เข้าร่วมตรวจสอบ หลังได้รับรายงานจากกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ ที่ทำหน้าที่ตรวจพิสูจน์วัถตุของกลางปลอมปนว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีการนำของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและได้ร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ นำทองรูปพรรณ-ทองคำแท่งมาตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์กลางและที่หน่วยตรวจพิสูจน์หลักฐานทั่วประเทศ

โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา มีจำนวน 12 คดี และหากตรวจสอบสถิติย้อนหลัง 3 ปี (พ.ศ. 2564-2566) พบว่าทั่วประเทศมีการตรวจพิสูจน์ทองคำ 2,271 คดี โดยประมาณ 2,000 คดีจะมีประเด็นปัญหาเรื่องเปอร์เซ็นและส่วนผสมการเจือปนของทองคำ โดยปี 2564 มี 122 คดี ปี 2565 มี 200 คดี และปี 2566 มีจำนวนถึง 1,633 คดี ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 35 ล้านบาท สำหรับการตรวจสอบสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) จะนำทองมาตรวจสอบโดยใช้เครื่องเอกซเรย์ X-ray Fluorescence (XRF) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทันสมัย มีความแม่นยำสูง เป็นเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานสากล 

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่าก็ขอเตือนภัยในช่วงตรุษจีนที่จะมาถึงว่าขณะนี้มูลค่าทองคำบาทละ 34,000 บาท การไปซื้อทองคำ หรือร้านทองที่รับซื้อทองหรือโรงรับจำนำก็ดีขอให้ตรวจสอบ ถ้าจะซื้อทองก็ต้องซื้อร้านที่มีชื่อเสียงมีการการันตี เนื่องจากมีการใช้ผงโลหะทังสเตนที่มีน้ำหนักใกล้เคียงทองคำไปผสมในทองคำหรือยัดไส้ไว้ในทองคำ โดยนิยมทำเป็นลักษณะทองรูปพรรณเก่าเก็บทำให้ไม่สามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า เพราะการตรวจสอบทั่วไปรวมถึงห้องปฏิบัติการตรวจสอบขนาดเล็กที่มีเครื่องมือไม่เพียงพอ ยากต่อการตรวจสอบส่วนผสมดังกล่าว 

พล.ต.ท ไตรรงค์ ผิวพรรณ พูดถึง ‘ผู้กองอุ้ม’

“ผมได้ฟังน้องพนักงานสอบสวน ‘ผู้กองอุ้ม’ พูดถึงปัญหาของพนักงานสอบสวนแล้ว ผมเข้าใจเลย น้องไม่ต้องกังวลนะครับ ว่าสิ่งที่น้องพูดจะเป็นปัญหากับความเจริญก้าวหน้าของการรับราชการ เพราะน้องนำเสนอความจริงที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนานในวงการตำรวจเรา และกิริยาท่าทางตลอดจนเนื้อหาที่น้องพูด มีความสุภาพอ่อนน้อม สมกับเป็น ผู้กองหญิง ที่มีวุฒิภาวะ เป็นที่พึ่งของประชาชน สะท้อนปัญหาให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ ยิ่งทราบว่าน้องเคยได้รับรางวัลตำรวจต้นแบบมาแล้ว ผมเชื่อว่าน้องอุ้ม จะต้องเติบโตและจะมีส่วนในการพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป

ปัญหาพนักงานสอบสวนขาดแคลนนั้น นอกจากการที่ต้องปรับอัตรากำลังพล ให้เหมาะสมกับปริมาณงานแล้ว ปัญหาพนักงานสอบสวนหนีไปช่วยราชการหรือไม่ยอมรับคดี โดยอ้างว่าไม่ได้ทำสำนวนมานานแล้ว (ในกรณีถูกแต่งตั้งกลับมาในสายงานสอบสวน) โดยการทำให้พนักงานสอบสวนกลุ่มนี้ กลับมารับคดี ทำสำนวนการสอบสวน จะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนได้เร็วที่สุด ซึ่งตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว พนักงานสอบสวนทุกคน จะต้องรับคดี มีสำนวนการสอบสวนในความรับผิดชอบ จึงจะสามารถเบิกเงินประจำตำแหน่ง และรับรองผลการปฏิบัติงานการสอบสวนประจำปีได้ (เพื่อใช้ในการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ในสถานีตำรวจหรือหน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวน)

ในเรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาในระดับ กองบัญชาการ และกองบังคับการ ที่กำกับดูแลสถานีตำรวจ จะต้องจริงจังกับคำสั่งดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงที่ผมเคยดำรงตำแหน่ง รอง ผบช.น. (สอบสวน) ได้พยายามดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว สามารถพาน้องๆ พนักงานสอบสวนกลับบ้าน (มารับคดี ทำสำนวน) กว่า 80 คน โดยเฉพาะของ บก.น.4 พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู รอง ผบก.น.4 ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น พาน้อง ๆ กลับมาได้ถึง 30 คน

สำหรับกลุ่มที่ทำสำนวนการสอบสวนไม่คล่องแล้ว เนื่องจากทิ้งมานาน หัวหน้างานฯ/หัวหน้าสถานี จะต้องจัดพี่เลี้ยงให้ เข้าเวรคู่กัน และให้ช่วยฝึกทำสำนวน โดยให้เริ่มทำสำนวนคดีที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เช่น คดีศาลแขวงฯ คดีไม่รู้ตัว คดีเสพฯ หรือครอบครองยาเสพติด เป็นต้น โดยไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง รอง ผกก. (สอบสวน) หรือ สว. (สอบสวน) ก็ตาม ต้องมีสำนวนในความรับผิดชอบ แต่ผู้บังคับบัญชา ก็ต้องให้ความเห็นใจ/ใส่ใจ/ให้โอกาส กลุ่มนี้ด้วยนะครับ อย่าคิดว่าเขาไม่อยากทำงาน

และอีกหนึ่งประเด็น ในปัจจุบันคดีความต่างๆ มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำการสอบสวนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ท่าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้ทราบปัญหา ซึ่งอยู่ในระหว่างการแก้ไข คำสั่งต่าง ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

สำหรับแนวคิดในเรื่องการเจริญเติบโตในสายงานสอบสวน ถ้ามีโอกาสจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อไปครับ”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ
10 ก.พ. 2567

‘ดร.หิมาลัย’ รับลูก!! ‘พีระพันธุ์’ ขึ้น ‘ลำปาง’ รับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม หลัง รพ.แห่งหนึ่ง วินิจฉัยโรคผิด สุดท้ายผู้ป่วยอาการทรุดจนเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ ได้เดินทางมาให้กำลังและรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก นายวัชระ บุรณะเครือ ประชาชนชาวตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง บุตรชาย ของนายณรงค์ บูรณะเครือ เป็นผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ซึ่งวินิจฉัยโรคผิดจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ทางด้าน ดร.หิมาลัย เปิดเผยว่า “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากการเผยแพร่ในโซเชียลต่างๆ จึงได้มอบให้ตนเอง ในฐานะคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมสอบถามข้อเท็จจริงในเบื้องต้น และรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่บ้านพักของนายบอล ลูกชายของผู้เสียชีวิต พร้อมเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว หลังจากนี้ ทาง ผอ.รพ.ลำปางก็ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องของการรักษาผู้ป่วยจนเสียชีวิต ว่าเกิดปัญหามาจากอะไร และจะมีการแสดงความรับผิดชอบกรณีนี้อย่างไร” ดร.หิมาลัย กล่าว

ด้านนายวัชระ ได้เปิดเผยว่า ตนเองได้ประสานขอความเป็นธรรมผ่าน ดร.นงค์เยาว์ อาทิตยานนท์ สถานียุติธรรมพรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดลำปาง ให้ติดต่อขอยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ว่าวินิจฉัยโรคผิด ทำให้บิดาของตนเองคือ นายณรงค์ ผู้ป่วยและเสียชีวิต 

โดยนายวัชระ ได้ให้รายละเอียดว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ของวันที่ 8 ก.พ. 67 นายณรงค์  บิดาของตนซึ่งมีอายุ 60 ปี เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงทุรนทุราย หายใจติดขัด ตนจึงได้เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัยมารับตัว และได้ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลฯ ได้มีเจ้าหน้าที่เวรเปลมารับตัวผู้ป่วย และได้ส่งตัวไปรอคิวตรวจที่ห้องกระดูกและข้อ จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตนเองได้ไปสอบถามมารดาที่รอเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน และถามว่าคนไข้ยังอยู่ที่จุดใด และได้ทราบว่าทางโรงพยาบาลส่งคนไข้ไปยังห้องตรวจตึกผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นห้องตรวจกระดูกและข้อ 

ตนเห็นว่ามันไม่ตรงกับอาการของผู้ป่วย และตนได้สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยในขณะนั้นหายใจติดขัด ดิ้นทุรนทุรายหนักขึ้น ตนจึงได้รีบแจ้งกับเจ้าหน้าที่พยาบาลฯ ให้รีบนำบิดาของตนส่งไปยังห้องฉุกเฉินเป็นการด่วน พยาบาลให้ความเห็นว่าถ้ารอเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะล่าช้า จึงให้ตนนำบิดาซึ่งเป็นผู้ป่วยไปส่งด้วยตนเอง ตนจึงได้นำบิดาไปส่งยังห้องฉุกเฉิน ในขณะนั้น คนไข้มีอาการชีพจรหยุดเต้นทีมแพทย์จึงรีบให้การรักษา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้ป่วยมีอาการเส้นเลือดโป่งพองในช่องท้องและแตก เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต

ตนและครอบครัวจึงได้รับศพนายณรงค์ฯ บิดาของตน ไปบำเพ็ญกุศล และได้ฌาปนกิจที่สุสานร่องสามดวงในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตนและครอบครัวได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุของการเสียชีวิตของบิดาของตน น่าจะเกิดจากความล่าช้าในรักษามีการวินิจฉัยโรคผิดตั้งแต่ต้น ทำให้เสียเวลารักษาเกือบ 2 ชั่วโมง เนื่องจากการรักษาครั้งนี้ ตนและครอบครัวได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นเงินร่วม 600,000 บาท 

ดังนั้น ตนและญาติจึงได้มาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้โรงพยาบาลดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบ และเป็นอุทาหรณ์เป็นกรณีตัวอย่าง ในการดูแลรักษาผู้ป่วย จะได้ไม่เกิดการสูญเสียเหมือนบิดาของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดเหตุทางโรงพยาบาลดังกล่าว ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อชี้แจงแต่อย่างใด

'ดร.หิมาลัย' ฉายภาพจริงในถิ่นมะกัน แค่วันหาเสียงของ 'ไบเดน' ยังต้องปิดถนน สะท้อน 'จนท.-ปชช.' ให้เกียรติ 'คนสำคัญ' หากไม่ทำใครชาติไหนจะให้เกียรติตาม

(29 ก.พ.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ 'การให้เกียรติผู้นำประเทศ' ระบุว่า...

มาหาลูกชายที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ลูกชายเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่นี่ กำลังเดินอยู่บนถนน เห็นรถติดกับมีตำรวจเดินตรวจมากผิดปกติ ลูกชายเปิดมือถือดู ถึงรู้ว่าท่านประธานาธิบดีเดินหาเสียงอยู่ที่ถนนใกล้เคียง ซึ่งเป็นอีกถนนหนึ่ง มีการปิดถนนในช่วงที่ท่านหาเสียง 

ย้ำนะครับ!! ปิดถนนช่วงที่หาเสียง และเนื่องจากถนนที่เราเดินอยู่ใกล้เคียง รถเลยติดต่อเนื่องมาด้วย 

จนท.ตำรวจ มีการวางกำลังตรวจดูความเรียบร้อยในถนนรอบๆ ใกล้เคียงถนนที่หาเสียง สังเกตดู ไม่เห็นมีใครโวยวายหรือต่อว่า จนท.สักคน แล้วเขาก็ส่งแจ้งเตือนเข้ามือถือคนที่เดินอยู่ใกล้ๆ บริเวณหาเสียงว่าการจราจรติดขัดเพราะอะไร ที่สำคัญเขารถติดเป็นชั่วโมงเลยครับ

ผมมานึกถึงบางประเทศที่คนบางคนไม่เคยให้เกียรติผู้นำหรือบุคคลสำคัญของประเทศเลย ไม่มีใครใหญ่หรือสำคัญไปกว่ากู ชอบอ้างสิทธิเสรีภาพที่กูไม่ยอมเสียให้ใคร แต่พร้อมละเมิดคนอื่นเขาตลอดเวลา 

ถ้าเราไม่ให้เกียรติผู้นำหรือบุคคลสำคัญของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของประเทศแล้ว ใครเขาจะมาให้เกียรติเรา ยิ่งบางทีพอมีคนต่างชาติต่างภาษามาด่าว่าผู้นำหรือบุคคลสำคัญของเรา กลับไปแสดงความชื่นชม นิยมชมชอบ เหมือนคนอยู่ในบ้าน พ่อแม่เลี้ยงดูมา พี่น้องอยู่กันมา พอโตหน่อย ออกไปข้างนอกบ้าน เขาพูดชมเชยยกยอปอปั้น ให้เศษเงินนิดหน่อย ก็หันกลับมาด่าพ่อแม่พี่น้องตัวเอง 

ลองปรับความคิดใหม่ซิครับ เรื่องในบ้านเราก็เป็นเรื่องภายใน มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆ แก้ไขกันไป ใครขึ้นมาเป็นผู้นำ เราก็ควรให้เกียรติ การต่อสู้ทางความคิดก็ทำไป คนในบ้านทะเลาะกัน ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่บ้านไหนก็เป็น แต่คนนอกบ้านไม่ควรมาเสือก เป็นเรื่องของคนในบ้านเขาจะใช้สิทธิใช้เสียงแก้ไขกันเอง

พูดไปไกลเลยครับ จริงๆ อยากให้เห็นขบวนหาเสียงของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย เขาอยู่บนความจริง ไม่ดัดจริต การรักษาความปลอดภัยผู้นำ การใช้กำลัง จนท.รัฐ ก็ใช้เหมือนเดิมเพราะถือว่ายังเป็นประธานาธิบดีอยู่ 

ตอนผมเจอวันจันทร์ (26 ก.พ.) เวลาประมาณบ่ายๆ ยังเป็นเวลาทำการอยู่ การจัดขบวนรักษาความปลอดภัยก็จัดเหมือนเดิม แต่ลดขนาดลง พอถาม จนท.เขาบอกว่า ถ้าเป็นงานตามกำหนดการราชการ รถขบวนจะเต็มถนน มีการปิดถนน เคลียร์ถนนรอบๆ เหมือนที่เราเห็นในข่าวเลยครับ จะไม่มีให้รถมาวิ่งร่วมขบวน เขาให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญอย่างมาก ไม่ต้องถึงประธานาธิบดีหรอกครับ กำหนดการงานของนายกเทศมนตรี เขาบอกว่าก็มีรถนำขบวน ปิดถนนเหมือนกัน 

เลยขอให้ลูก Copy คลิปที่เขาส่งเข้ามือถือมาให้ กับถ่ายรูปผมที่ริมถนนส่งมาให้ดูเป็นหลักฐานว่ามาจริง ไม่ได้โม้ครับ 

ฝากไว้นิดครับ ความเห็นต่าง ขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องผิดครับ แต่การให้เกียรติและมีมารยาทที่ดีต่อกัน ก็เป็นเรื่องที่ควรทำครับ สังคมเราก็จะน่าอยู่ยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

'มูลนิธิพระราหู' ลงพื้นที่ 'เกาะกูด' เยี่ยม 'ทหาร-ตำรวจ' พร้อมมอบถุงยังชีพ เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจ พร้อมยกย่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ดูแลปกป้องชายแดน

เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.67) เวลา 15.00 น.ที่หน่วยปฏิบัติการ เกาะกูด (นปก.เกาะกูด) อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู พร้อมด้วย พล.ท.ปธาน ทองขุนนา ที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู และคณะ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพ มอบเงิน ให้แก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการชายแดนเกาะกูด จ.ตราด 

โดยมี พล.ร.ต.นิรัตน์ ทากุดเรือ ผู้บัญชาการศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน/ผู้บัญชาการโรงเรียนทหารนาวิกโยธินฯ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธนกฤษ พาภิรมย์ รอง ผบก.ภ.จว.ตราด พร้อมทั้งหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด นำโดย น.ท.อนุรักษ์ คงคา (รน.),หน่วย ชพส. 1305ฯ นำโดย น.ต.ไพศาล ไคร่ครวญ (รน.), ชุดเฝ้าตรวจนาวิกโยธิน พื้นที่เกาะกูด นำโดย ร.ท.สุเมธ สีอินมน (รน.) และสภ.เกาะกูด นำโดย พ.ต.ท.คมสัน ศรีงิ้ว รอง ผกก.(ป) นำกำลังพลของหน่วยปฏิบัติการเกาะกูดและข้าราชการตำรวจ สภ.เกาะกูด ร่วมให้การต้อนรับและร่วมรับมอบถุงยังชีพ 

ในโอกาสนี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ได้กล่าวทักทายและชื่นชมกำลังพล การปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด สุจริตจริงใจ จากนั้นได้ขับกล่อมบทเพลง 'สุดแผ่นดิน' เพื่อเป็นกำลังใจ แด่ข้าราชการ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ รักษาอธิปไตย น่านน้ำทะเลไทยพื้นที่เกาะกูด จ.ตราด ราชอาณาจักรไทย รวมทั้ง กล่าวให้กำลังใจข้าราชการตำรวจ สภ.เกาะกูด ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ ด้วยความสงบเรียบร้อยโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น

สำหรับในส่วนของ หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด (นปก.) เป็นหน่วยเฉพาะกิจของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ที่ขึ้นการควบคุมทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีที่ตั้งหน่วยบนเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราดโดยกองทัพเรือจัดตั้งหน่วยตรวจการณ์พิเศษที่ 1 บนเกาะกูด เมื่อปี พ.ศ.2521 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2529 กองทัพเรือได้อนุมัติเปลี่ยนชื่อจากหน่วยตรวจการณ์พิเศษที่ 1เป็นหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด จนถึงปัจจุบัน และในปี พ.ศ.2534 สอ.รฝ.อนุมัติให้ กรมรักษาฝั่งที่ 1 เป็นหน่วยรับผิดชอบในการจัดกำลัง

ทั้งนี้ นปก.มีภารกิจ ได้แก่ การป้องกันการคุกคามทางทะเล และทางอากาศ คุ้มครองเรือประมงไทย สนับสนุนการปฏิบัติการของเรือและกำลังทางบก ปฏิบัติการจิตวิทยา และประชาสัมพันธ์กับส่วนราชการ และราษฎรในพื้นที่เกาะกูด สนับสนุนและร่วมกับหน่วยงานราชการ ประชาชนร่วมทำจิตอาสาพัฒนาชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่ง นปก.มีความสัมพันธ์อันดีและประสานการปฏิบัติงานร่วมกัน มาอย่างต่อเนื่อง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top