Sunday, 20 April 2025
ปิติศรีแสงนาม

'รศ.ดร.ปิติ' เผยความประทับใจใน 'อ.สมเกียรติ โอสถสภา' หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญที่สุดคนหนึ่งของไทย

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ให้ความเคารพ อ.สมเกียรติ โอสถสภา อย่างสูง สำหรับ ‘รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม’ ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยไม่นานมานี้ อ.ปิติ ได้โพสตฺ์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กราบลา อ.สมเกียรติ ความว่า...

ผมพบอาจารย์สมเกียรติตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะท่านจะมารับส่งลูกชายที่เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เสมอๆ แม้ตอนนั้นจะไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่เด็กสาธิตจุฬาฯ ก็จะแสดงความเคารพเสมอๆ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่พวกเรามักจะเป็นอาจารย์จุฬาฯ

จนผมเข้าเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ 1997-1998 Asian Financial Crisis หรือที่คนไทยเรียกว่า #วิกฤตต้มยำกุ้ง นั่นคือช่วงเวลาที่ผมได้เรียนกับท่านอาจารย์สมเกียรติ

จำได้ว่า ขณะนั้นท่านสอนวิชา International Monetary Policy เรื่องแรกที่ท่านสอน คือ 'หากพวกคุณเป็นลูกหนี้แล้วไม่มีเงินจ่ายหนี้ เทคนิคในทางปฏิบัติเพื่อไปขอเจรจาปรับลดยอดหนี้กับสถาบันการเงินต้องทำอย่างไร' 

โคตรสนุกครับ!! อาจารย์เริ่มตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม ว่าต้องแต่งตัวยังไง ที่ห้ามเด็ดขาดคือ ห้ามใส่นาฬิกา แล้วออกจากบ้านไปแบงก์ ให้นั่งรถเมล์ไป ให้ไปสายประมาณ 20 นาที ให้เดินไปแบงก์จากป้ายรถเมล์เอาให้เหงื่อออก เพื่อเวลาไปคุยกับ Banker เขาจะได้รู้ว่าคุณไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ เจรจาลดหนี้จะง่ายขึ้น เพราะนายแบงก์จะคิดทันทีว่ากำขี้ดีกว่ากำตด จ่ายคืนบางส่วน แบงก์ยังได้เงิน ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เวลานั้นคือ โคตรสนุก ตลอดเทอมอาจารย์จะค่อยๆ เอาประสบการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ช่วงที่ท่านไปเรียนที่เนเธอร์แลนด์ ช่วงที่ทำงานกับองค์ระหว่างประเทศ และช่วงที่ลงพื้นที่ 

อาจารย์สมเกียรติเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโครงการ #หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ปัจจุบันเรานิยมเรียกกันว่า #GMS Greater Mekong Subregional อาจารย์ลงพื้นที่ ศึกษาข้อมูลกับคน กับสิ่งแวดล้อม กับหน้างานจริงๆ แล้วคิด วิเคราะห์กับทฤษฎี รวมกับประสบการณ์จริงจากการทำงานในระดับนานาชาติ เพื่อหวังจะเห็นการพัฒนาประเทศ อาจารย์เป็นหนึ่งในบุคคลต้นแบบที่ทำให้ผมอยากจะลงพื้นที่ทำงานวิจัยในชนบทและประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อผมเรียนจบ กลับมาเป็นอาจารย์ สถานที่ที่ๆ มักจะพบกับอาจารย์บ่อยๆ คือ อาจารย์จะมานั่งตรงม้าหินของ รปภ. ใกล้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตรงที่จอดรถหน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ นั่นคือสถานที่ที่ผมมักจะลงไปคุยเรื่องราวต่างๆ ฟังการวิเคราะห์ของอาจารย์อย่างสนุกสนานเป็นกันเอง 

บางคนอาจมองว่าท่านคือ ลุงคนนึงมารอรับหลานที่หน้าคณะ แต่สำหรับพวกเรา นั่นคือ หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เอกอุใน Mainland ASEAN เพียงแต่ท่านชอบมานั่งตรงที่นั่ง รปภ ก็เท่านั้นเอง

นอกนั้นก็จะมีโอกาสได้พบท่านบ้างในงานเสวนาต่างๆ โดยเฉพาะของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์ผ่าน FB

จนปัจจุบันไม่มีแล้วทั้งตู้โทรศัพท์ ที่จอดรถหน้าคณะ และท่านอาจารย์สมเกียรติ

‘อ.ปิติ’ กางตำรา ‘สมรภูมิพลิกอำนาจโลก’ ตีแผ่ชนวนรบ ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ การแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ สู่สงครามตัวแทน ‘สหรัฐฯ-มุสลิม’

(8 ต.ค. 66) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีสถานการณ์ ‘ภาวะสงคราม’ ระหว่างประเทศอิสราเอล ปะทะกับกลุ่มฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์ โดยระบุว่า…

“ความขัดแย้งครั้งล่าสุดในดินแดนตะวันออกกลาง ที่กลุ่ม #ฮามาส #Hamas เรียกร้องให้ ชาว #ปาเลสไตน์ ที่ถูกย่ำยีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาโดย #ชาวยิว ออกมาใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้อง #มัสยิดอัลอักศอ #AlAqsaMosque ในดินแดน #กาซา มีปฐมบทอย่างไร?

ทั้งนี้ เนื่องจาก ได้เห็นข้อความ X (Twitter) ของท่านนายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ แล้วมีความห่วงกังวลครับ การแสดงออกเรื่องการประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ แต่เนื้อความในส่วนต่อจากนั้นที่ค่อนไปทางอิสราเอล อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมนัก เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้น เอาเข้าจริงมีเหตุผลมาจากทั้ง 2 ฝ่าย และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนบ้านมุสลิมของไทยสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างมาก ดังนั้น การเขียนข้อความที่เลือกข้างอิสราเอลอย่างชัดเจน ทั้งที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับทั้ง 2 ฝ่าย อาจถูกตีความได้หลายมิติ

ดังนั้น เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจสถานการณ์ ขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ ‘Amidst the Geopolitical Conflict #สมรภูมิพลิกอำนาจโลก’ ที่ ผม ปิติ ศรีแสงนาม และ ‘จักรี ไชยพินิจ Chakkri Chaipinit’ ร่วมกับเขียน และจะวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 12-23 ตุลาคมนี้ โดย Matichon Book - สำนักพิมพ์มติชน มาเผยแพร่ เพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับการติดตามสถานการณ์นะครับ”

“ประเด็นปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่าง #อิสราเอล และ #ปาเลสไตน์ เป็นปัญหาที่มีรากฐานมาอย่างยาวนานหลายช่วงอายุคน โดยเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านศาสนา และเป็นปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงความวุ่นวายจากการที่ชาติมหาอำนาจเข้ามามีบทบาทในดินแดนบริเวณนี้ และการเขียนประวัติศาสตร์ที่มีทั้งรูปแบบเข้าข้างอิสราเอลและเข้าข้างปาเลสไตน์ ความสลับซับซ้อนของเหตุการณ์ความขัดแย้งนี้ จึงทำให้การเมืองในตะวันออกกลางซับซ้อนไปด้วย

หากย้อนไปเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ดินแดนอิสราเอลหรือพื้นที่เยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นข้อพิพาทในปัจจุบัน เคยอยู่ในการครอบครองของชาวยิวมาก่อน แต่ในฐานะที่อาณาบริเวณแห่งนี้เป็น ‘ทางแยก’ ที่อยู่กลางแผนที่ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของทั้งศาสนา #ยูดาห์ #คริสต์ และ #อิสลาม จวบจนกระทั่งจักรวรรดิออตโตมันได้เข้ามาปกครองบริเวณแถบนี้ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงตั้งชื่อ ‘เยรูซาเล็ม’ และบริเวณโดยรอบว่าเป็น ‘ปาเลสไตน์’ โดยชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณแถบนี้ก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘ชาวปาเลสไตน์’

จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปะทุขึ้น อังกฤษได้ให้คำมั่นสัญญากับชาวยิวว่า หากให้ความช่วยเหลือกับอังกฤษจนได้รับชัยชนะในสงคราม พวกเขาจะได้รับดินแดนปาเลสไตน์เป็นการตอบแทน บทสรุปของสงครามทำให้ชาวยิวได้เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ตามสัญญา อย่างไรก็ดี จุดเริ่มต้นของสถานะชาวยิวในดินแดนแถบนี้ก็มาพร้อมกับความขัดแย้งระหว่างยิวและอาหรับอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ความสลับซับซ้อนของสถานการณ์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทำให้ชาวยิวสามารถสถาปนารัฐเอกราชได้สำเร็จในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1948 ในชื่อว่า ‘อิสราเอล’ การเกิดขึ้นขององค์การสหประชาชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งดินแดนออกเป็นของชาวยิวและชาวอาหรับ โดยมีเยรูซาเล็มเป็น ‘#ดินแดนร่วม (common land)’ สำหรับทั้ง 2 ฝ่ายตามมติ ค.ศ.1947

ในสายตาของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ การแบ่งแยกดินแดนนี้เป็นการยุติปัญหาอย่างสันติ แต่กลับกลายเป็นว่า ความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับได้ยกระดับกลายเป็น ‘สงครามระหว่างประเทศ’ ที่มีคู่ขัดแย้งหลักคืออิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยมีพันธมิตรจากโลกตะวันตกและจากโลกมุสลิมเป็นฉากทัศน์ของความขัดแย้งที่ดำเนินไปนี้

ตลอดช่วงสงครามเย็น ความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้น ฝ่ายอิสราเอลได้รับประโยชน์โดยได้ดินแดนที่เพิ่มขึ้น ปาเลสไตน์ที่เพลี่ยงพล้ำในการรบ จึงได้จัดตั้ง #องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (#PLO) เพื่อเคลื่อนไหวแบบกองโจรในการขับไล่อิสราเอล กระนั้นก็ตาม ในเหตุการณ์สำคัญอย่าง ‘#สงครามหกวัน’ ใน ค.ศ.1967 อิสราเอลก็สามารถผนวกเอาฉนวนกาซา และเขตเวสต์แบงก์ซึ่งเคยเป็นดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเองได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง อาทิ #วิกฤติการณ์อินทิฟาดา (#Intifada) ครั้งที่ 1 (ค.ศ.1987-1993) และครั้งที่ 2 (ค.ศ.2000-2005) รวมไปถึงการเกิดขึ้นของกองกำลังฮามาส (Hamas) ซึ่งมีวิธีการรบที่ดุดันมากกว่ากลุ่มองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ถึงแม้ว่านานาชาติจะพยายามไกล่เกลี่ยผ่านข้อตกลงสำคัญ เช่น #การเจรจาที่แคมป์เดวิด (ค.ศ.1978)  #ข้อตกลงออสโล (ค.ศ.1993 และ 1995) แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้ง 2 ฝ่ายมีแนวโน้มการใช้อาวุธหนักมากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป

ปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ทำหน้าที่เสมือนเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐฯ และโลกมุสลิมไปโดยปริยาย ความขัดแย้งที่ดำเนินมากว่า 7 ทศวรรษจะคลี่คลายหรือดำเนินไปในลักษณะใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อหน้าตาของภูมิรัฐศาสตร์ใหม่แบบสามก๊กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รูปที่นำมาให้ชมคือ แผนที่แสดงภาพการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ระหว่างปี ค.ศ. 1917-2020 ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจว่าเพราะเหตุใดกลุ่ม Hamas ถึงเรียกร้องว่า ชาวปาเลสไตน์ถูกกดดันย่ำยีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพราะบ้านของพวกเขาถูกยึดเอาไปทีละน้อยๆ และพื้นที่ศักสิทธิ์สุดท้ายที่พวกเขาต้องปกป้องคือ ‘มัสยิดอัลอักศอ’ (Al-Aqsa Mosque) 1 ใน 3 สถานที่สำคัญสูงสุดของชาวมุสลิม (ร่วมกับ มัสญิดอัลฮะรอม ในนครมักก๊ะฮฺ ซึ่งเป็นที่ตั้งของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ และ มัสญิดนะบะวีย์ หรือ ‘มัสญิดของท่านนบีมุฮัมมัด’ ซึ่งตั้งอยู่ที่นครมะดีนะฮฺ)

และในขณะเดียวกัน ชาวยิวก็เชื่อว่าสถานที่เดียวกันนี้คือที่ตั้งของ Temple Mount ซึ่งคัมภีร์ฮีบรูระบุว่าพระเจ้าโซโลมอน (สุไลมาน) ราชโอรสแห่งกษัตริย์เดวิด โปรดให้สร้างพระวิหารแรก (First Temple) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาห์ตามบทบันทึกคัมภีร์ฮีบรู

ถามว่า แล้วพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเลยหรือ?

คำตอบคือ ได้ครับ และได้มาตลอดหลายร้อยปีด้วย โดยผมมีแผนที่ยืนยัน

ดูจากแผนที่แสดงการแบ่งเขตพื้นที่การอยู่ร่วมกันของพหุวัฒนธรรมในเขตเยรูซาเล็ม ก่อนการเกิดขึ้นของรัฐอิสราเอล นี่คือ ‘การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ ก่อนที่จะมีการแทรกแซงของมหาอำนาจอย่างอังกฤษและสหรัฐภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นอกจากดินแดนแห่งนี้แล้ว ในหนังสือเล่มนี้ พวกเรายังพิจารณาว่า ทั่วโลกยังมีจุดปะทุที่คนไทยต้องให้ความสนใจอีก 8 แห่ง ได้แก่ 

1.) NATO vs รัสเซีย : สงครามเย็นที่ไม่สิ้นสุด
2.) เอเชียใต้ : ดินแดนแห่งตัวแปรของภูมิรัฐศาสตร์
3.) แอฟริกา : กาฬทวีปที่ถูกมองข้าม
4.) ตะวันออกกลาง : ทางแยกของแผนที่โลก
5.) คาบสมุทรเกาหลี : ภูมิรัฐศาสตร์เก่าในบริบทใหม่ (บทความพิเศษ โดย Seksan Anantasirikiat)
6.) ช่องแคบไต้หวัน : การช่วงชิงพื้นที่ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
7.) ทะเลจีนใต้ : เขตอิทธิพลของจีนกับประเด็นพิพาทของอาเซียน
8.) Zomia : จากดินแดนแห่งเทือกเขาสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์การเมืองในเมียนมา

‘ดร.ปิติ’ ชี้ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ตีแผ่ความจริง ที่ไม่เคยมีในหนังสือเรียน ย้ำ ต้องศึกษาให้ละเอียด ป้องกัน ผู้ไม่หวังดี บิดเบือนประวัติศาสตร์

(16 มี.ค.67) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และรองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ  แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution หรือ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยได้ระบุว่า ...

ถึงแม้ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณจะทำให้ 2475 Dawn of Revolution หรือ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมีงานภาพที่ไม่ถึง รวมทั้งการบอกเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา ด้วยวิธีเล่าเรื่องตามลำดับเวลา จะทำให้ animation เรื่องนี้มีรสชาติที่ไม่ร้อนแรง

แต่ในห้วงเวลาที่ประวัติศาสตร์กำลังถูกบิดเบือนด้วยความไม่ปรารถนาดีของบุคคลบางกลุ่ม 

ในห้วงเวลาที่คนบางกลุ่มถูกขังอยู่ใน Echo chamber ที่เต็มไปด้วย disinformation 

ในห้วงเวลาที่คิดว่าตนเองรู้ดี แต่กลับไม่ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม

Animation เรื่องนี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในการ ตีแผ่ความจริง ที่ไม่เคยมีอยู่ในหนังสือเรียน ได้อย่างที่ตัวละครในเนื้อเรื่องได้กล่าวไว้

สุดสัปดาห์นี้ ใครมีเวลาว่างๆ แนะนำให้ดูครับ

https://youtu.be/rmNvPB6Jxzo?si=hKTN_aliLagHFHyH

เมื่อดูการ์ตูนจบแล้ว ใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมในรายละเอียด Chayodom Sabhasri อาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือแนะนำ

2475 untold history ด้วยครับ 20 ตอน ตอนละ 10 นาที ทำ 3 ปีก่อน 
สาระละเอียดกว่าการ์ตูน แต่สอดคล้องกัน กินใจยิ่งกว่าการ์ตูน เพราะนำเอกสารจริงมาแสดง
https://youtu.be/bJifRslul34?si=GvoxM9IhvjGC3Dzl

ต่อจาก Animation และสารคดี ใครอยากเห็นของจริง Kidakorn Angkanarak แนะนำ
ดู ๒๔๗๕ Dawn of Revolution แล้วก็ขอเชิญเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ (King Prajadhipok Museum) ด้วยนะครับ แหล่งความรู้มากมาย เปิด 09:00 - 16:00 น. ปิดวันจันทร์ อยู่ถนนหลานหลวงตัดกับถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ใกล้ ภูเขาทอง ป้อมมหากาฬ โลหะปราสาท
https://maps.app.goo.gl/wKpGDN8RE9X4EYfq5?g_st=ic


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top