Sunday, 8 June 2025
ปราสาทตาเมือนธม

แม่ทัพภาค 2 เผยเคลียร์ใจเขมรแล้ว ย้ำต้องเลี่ยงขัดแย้งหลังเหตุทหารกัมพูชาบุกร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม

(18 ก.พ. 68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ไทยและกัมพูชาต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หลังเกิดเหตุคณะชาวกัมพูชาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันแล้ว แต่ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าเกิดขึ้นอีก หวั่นกระทบความสัมพันธ์และเสถียรภาพตามแนวชายแดน

จากกรณีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะสตรีชาวกัมพูชาจำนวน 25 คน ได้เดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร้องเพลงปลุกใจเป็นภาษากัมพูชาเพื่อให้กำลังใจทหารของตนที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ทหารไทยที่เฝ้าพื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าไปขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ล่าสุด 18 กุมภาพันธ์ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า การขึ้นมากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นกิจกรรมที่ทางไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาสามารถทำได้ในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ตามข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การร้องเพลงปลุกใจดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ

แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่าหลังเกิดเหตุการณ์ กองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าการกระทำดังกล่าวไม่สมควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ด้านกัมพูชาเองก็ยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม และได้มีการโทรศัพท์ขอโทษแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดี แต่ไทยขอให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฝากถึงประชาชนไทยว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในทางที่ดี ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายพยายามพูดคุยและรักษาความสงบเรียบร้อยเสมอ พร้อมย้ำว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงหรืออาวุธต่อกัน เพราะจะส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ความขัดแย้งอาจกระทบต่อการค้าขายตามแนวชายแดน ซึ่งประชาชนทั้งสองฝ่ายอาจได้รับผลกระทบโดยตรง

ท้ายที่สุด กองกำลังทหารของทั้งสองประเทศจะใช้ความอดทนอดกลั้น และเลือกใช้แนวทางการพูดคุยเจรจาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อให้ทั้งไทยและกัมพูชามีสันติสุขร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่ากัมพูชานำ 'พล.ต. เนียง' ต้นเหตุร้องเพลงปลุกใจ เคลียร์ทหารไทย คาดเบื้องบนสั่งบุกปราสาทไทย

(19 ก.พ.68) สื่อทางการกัมพูชารายงานว่า นาย เมียน จันยาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ได้นำคณะทหารกัมพูชา นำโดย พล.ต เนียง คิม ผู้บัญชาการพลน้อยที่ 42 เดินทางมายังบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเจรจาและกระชับความสัมพันธ์กับทหารไทย หลังเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 พล.ต เนียง คิม ได้นำกลุ่มเด็กนักเรียน พระสงฆ์ และทหารกัมพูชา ขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งนำไปสู่การประท้วงจากกองทัพภาคที่ 2 ของไทย ต่อกองบัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชาในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เหตุการณ์ลุกลามเมื่อ พล.ต เนียง นำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจอีกครั้ง จนเกิดปฏิกิริยาจากทหารไทยและการตอบโต้ทางวาจาจาก พล.ต เนียง ตามที่มีรายงานข่าว

เพจ 'OddarMeanchey' ของกัมพูชาได้เผยแพร่คลิปวิดีโอขณะ นายเมน จันญาดา นำคณะเข้าพบ พ.ท.จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและจับมือร่วมกันเพื่อลดความตึงเครียด

นาย เมียน จันยาดา กล่าวกับทหารไทยว่า “ไม่มีใครมาแย่งหรือเบียดเบียนกัน เราอยู่ร่วมกัน เรารักกัน” พร้อมย้ำว่าประเด็นพรมแดนควรเป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องระหว่างสองประเทศ ขณะที่สถานการณ์ชายแดนยังคงสงบ และปราสาทตาเมือนธมยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชายังคงตรึงกำลังในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวัง โดยเฉพาะหลังจากเกิดกระแสโซเชียลในกัมพูชา ที่มีการยกย่อง พล.ต เนียง ว่าเป็น 'ฮีโร่' ที่กล้าตอบโต้ทหารไทย ขณะที่โซเชียลไทยเองก็มีการตอบโต้กันอย่างดุเดือด

แหล่งข่าวระบุว่า การเดินทางมาของคณะผู้ว่าฯอุดรมีชัย และ พล.ต เนียง อาจเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกัมพูชา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดและรักษาความสัมพันธ์กับไทย แม้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

ชมคลิปข่าว: https://www.youtube.com/watch?v=Orl7Mjy18d0&embeds_referring_euri=https%3A%2F%2Fpressocm.gov.kh%2F&source_ve_path=MjM4NTE

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘ภูมิธรรม’ ถอนกำลังจาก ‘ตาเมือนธม’ ทำไทยเสี่ยงเสียดินแดนย้ำ!! เป็นของไทย 100 % ตามสนธิสัญญา ‘ไทย - ฝรั่งเศส’ พ.ศ.2447 - 2450

(3 พ.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็นว่า …

ผมเห็นข่าวคุณภูมิธรรมสั่งทหารไทยให้ถอยร่นออกจากปราสาทตาเมือนธม แล้วก็หวั่นใจว่าการกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการจงใจสละการครอบครองดินแดนซึ่งไทยมีอำนาจอธิปไตยอย่างชัดแจ้งตามสนธิสัญญา ไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงทำกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชาในช่วงปี พ.ศ. 2447-2450 ซึ่งกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน และชัดเจนว่า หากใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน ปราสาทตาเมือนธมก็อยู่ในเขตแดนอธิปไตยของไทย ส่วนเขตแดนตาม Google map นั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายระหว่างประเทศได้  

นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่งโดยการครอบครองต้องประกอบด้วยหลัก 2 ประการ คือ 

1. จะต้องมีการควบคุมดินแดนอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง  จะต้องควบคุมดินแดนนั้นอย่างเปิดเผยและมีความต่อเนื่องโดยมีเจตนาที่จะมีอำนาจอธิปไตย และมีการกระทำในลักษณะของการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น และ 

2. จะต้องมีเจตจำนงที่จะใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นด้วย กล่าวคือ การครอบครองดินแดนของรัฐจะต้องเป็นไปเพื่อมีอำนาจอธิปไตย และใช้อำนาจอธิปไตยนั้นหรือดินแดนที่ครอบครอง โดยอาจจะพิจารณาที่การแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนนั้นนั่นเอง

พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ยึดตามหลักสันปันน้ำแล้ว ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนใดแน่นอน แต่หากรัฐไทยไม่ได้ทำการควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าวโดยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างจริงจัง แล้วมีทหารหรือแม้แต่พลเรือนกัมพูชามาทำการแสดงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติกัมพูชา หรือถือธงกัมพูชาบ่อย ๆ พอวันเวลาผ่านไป นานวันเข้า กัมพูชาอาจได้ดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษ์ (Acquisitive Prescription) ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ  ต่อเนื่องกัน 2. จะต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น 3. จะต้องเป็นการครอบครองที่เปิดเผยต่อสาธารณะ 4. จะต้องเป็นการครอบครองที่คงทนในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรที่จะเห็นได้ว่ามีการครอบครองปรปักษ์มาอย่างต่อเนื่องคงทน

ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทำโดยด่วนคือส่งกองกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมทั้งหมด เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ และมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าวโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ฐานทำให้ไทยเสียดินแดนครับ ด้วยความปรารถนาดี

‘ภูมิธรรม’ แจงชัด ถอยทหารแค่จุดรุกล้ำตาม ‘MOU 43’ ยืนยัน ‘ปราสาทตาเมือนธม’ ยังอยู่ในความดูแลไทย วอนหยุดบิดเบือน

(6 พ.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถอยกำลังทหารจากพื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ว่าเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อตกลง MOU43 และไม่มีการเสียดินแดนตามที่มีการกล่าวอ้าง ยืนยันไม่มีการเจรจาลับ และไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

นายภูมิธรรม ระบุว่าการหารือเกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) โดยมีตัวแทนระดับสูงจากทั้งสองฝ่ายร่วมรับฟังอย่างเปิดเผย ฝ่ายไทยนำโดยตนเอง ร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือแบบ 1 ต่อ 1 กับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันแนวปฏิบัติตาม MOU 43 โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลักแต่อย่างใด โดยเฉพาะในจุดที่ทหารไทยดูแลอยู่เดิม เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม

นายภูมิธรรมย้ำว่า คำว่า “ถอยทหาร” หมายถึงการถอยจากจุดที่รุกล้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่ถอนกำลังทั้งหมด และยังคงยืนยันอธิปไตยในพื้นที่เดิม ทหารยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ท้ายที่สุด นายภูมิธรรมเรียกร้องให้หยุดนำเสนอข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะอาจกระทบความเชื่อมั่นในรัฐบาลโดยไม่จำเป็น พร้อมยืนยันว่ากองทัพยังยึดมั่นในการปกป้องแผ่นดิน และไม่มีใครขายชาติอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามกล่าวหา

พี่ทหารพาน้องนักเรียนเที่ยว 'One Day Trip' ที่ ‘ปราสาทตาเมือนธม’ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ซึมซับความพอเพียงและศรัทธา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

(9 พ.ค. 68) กองกำลังสุรนารีจัดกิจกรรม 'One Day Trip' นำคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนดงรักวิทยา และโรงเรียนจันทน์หอมตาเสก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เดินทางทัศนศึกษายังแหล่งสำคัญใน จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี โดยจุดแรกได้พาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เพื่อศึกษาอารยธรรมโบราณที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความงดงามทางประวัติศาสตร์

จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังโครงการทหารพันธุ์ดี ร.6 พัน.3 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เพื่อเรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางศาสตร์พระราชาในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปิดท้ายทริปด้วยการเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดพระธาตุหนองบัว เพื่อเสริมสิริมงคลในชีวิต

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน เสริมสร้างประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้จริง และเข้าใจบทบาทของกองทัพในพื้นที่ชายแดน อีกทั้งยังช่วยจุดประกายแรงบันดาลใจและความตระหนักรู้ในหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ

ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เคยกล่าวถึงประเด็นพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมว่า ไทยยังคงรักษาอธิปไตยตามกรอบ MOU 43 พร้อมย้ำแนวทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญลุกลามเป็นความขัดแย้ง พร้อมยืนยันว่าการลดกำลังทหารต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติอย่างมั่นคง

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ยัน!! ‘ช่องบก-สามเหลี่ยมมรกต-ปราสาทตาเมือนธม’ เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินของ ‘ร.5’ ระบุชัด!! เคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน

(1 มิ.ย. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ช่องบกของไทยแน่นอน” เนื้อหาระบุว่า ขอยืนยันว่า ช่องบก สามเหลี่ยมมรกตและปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทยแน่นอน แผ่นดินนี้เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีรัฐชาติสมัยใหม่ สยาม ฝรั่งเศสได้ทำความตกลงกำหนดเขตแดน ตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส อาศัยแนวสันปันน้ำ ความจริง เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ เคยเป็นของไทยที่ในหลวงรัชกาลที่ยอมเสียเพื่อแลกจังหวัดตราดกลับคืนมาเป็นของไทย

ผมเคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน ข่องบก สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ฝั่งไทยจะตั้งอยู่บนแนวสันปันน้ำชัดเจน แผ่นดินฝั่งกัมพูชาจะลึกลงไปอยู่ในหุบ ลึกระดับเป็นเมตรๆ ศาลาตรีมุขตรงสามเหลี่ยมมรกตที่ถูกเผา ฝั่งไทยก็เป็นที่สูง ส่วนฝั่งลาวและกัมพูชา จะเป็นหุบต่ำลงไปมาก

บริเวณนี้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน หลักเขตหลักที่ 1 ไทยกัมพูชา ตั้งอยู่ช่องสะงำ  ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ ไล่ไปจนถึงหลัก 73 แหลมสารพัดพิษ ตราด ซึ่งจะใช้เป็นหลักอ้างอิงกำหนดแนวเขตในทะเล ยืนยัน ช่องบกของไทยแน่นอนตั้งแต่อดีต

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ปราสาทตาเมือนธม ตอกย้ำ เป็นของไทยชัดเจน ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ปราสาทตาเมือนธม โดยมีเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ ทหาร และประชาชนไทย ในพื้นที่เฝ้าฯ รับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2523 เพื่อทรงทัศนศึกษาและทอดพระเนตรงานสำรวจทางโบราณคดี 

ปราสาทตาเมือนธมนั้น กรมศิลปากร ทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478  หรือเมื่อ 90 ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี (ขณะที่กัมพูชาได้รับเอกราชคืนจากฝรั่งเศส ปี 2496 และเป็นที่ยอมรับจากสหประชาชาติ ปี 2498)

เป็นของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่ของกัมพูชา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top